วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2561

นักการตลาด กับ ABCD


A B C D สำหรับนักการตลาด
โดย...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
             Attraction  Marketing เป็นการตลาดทำการตลาด ที่ดึงความสนใจของผู้บริโภค ของผู้มุ่งหวัง ให้มาขอซื้อสินค้าหรือมาขอทำธุรกิจเครือข่ายกับเรา โดยที่เราไม่ต้องไปเสนอขอให้เขามาทำธุรกิจเครือข่ายหรือซื้อสินค้าจากเรา ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดเดิมๆ ที่ต้องไปเสนอขายสินค้าหรือนำเสนอขายธุรกิจเครือข่าย ซึ่งทำให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย ความน่ารำคาญ จากลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง จากพฤติกรรมการตามตื้อ ตามง้อของเรา
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่า เมื่อใช้การตลาดแบบ Attraction Marketing คนจะไม่ปฏิเสธหรือถูกโดนปฏิเสธจากลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเพราะเป็นธรรมดางานขายหรืองานนำเสนอจะต้องมีทั้งการตอบรับและการถูกปฏิเสธ
                การตลาดแบบ Attraction  Marketing ส่วนใหญ่มักจะทำกันในโลกอินเตอร์เน็ตหรือโลกออนไลน์ เพราะ โลกออนไลน์มีลักษณะเป็น Mass สูง เป็นโลกของ Social ที่ทันสมัย  แต่คนจำนวนมากมักคิดว่า ถ้าอย่างไร เราต้องโพสต์หรือส่งข้อความของบริษัทของเรา สินค้าของเรา ตัวเรามากๆ คนเขาจะได้เข้ามาซื้อหรือเข้ามาติดตาม
           การตลาดแบบ Attraction Marketing  จะต้องมีการนำเสนอ Content และการนำเสนอ Profile ที่น่าสนใจ จึงจะสามารถดึงดูดผู้คนรวมทั้งลูกค้าและผู้มุ่งหวังมาให้สนใจเรามากกว่าการโพสต์หรือการส่งข้อความเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีความแตกต่าง ไม่มีความน่าดึงดูด ให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาสนใจ
            กล่าวคือ เราจะต้องสร้างมูลค่าให้กับตัวเราเองเสียก่อน การสร้าง Brand จึงเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะต้องนำเอามาใช้ เพราะการสร้าง Brand จะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความจดจำ สร้างความศรัทธาภายในใจของกลุ่มเป้าหมายจนกระทั่งกลุ่มเป้าหมายอยากที่จะซื้อสินค้าหรืออยากจะทำงานร่วมกับเรา
                Brand หรือ แบรนด์  มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำการตลาด การขาย การสร้างธุรกิจ เพราะ Brand จะทำให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านธุรกิจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา เรื่องของคุณค่าทางด้านจิตใจ  การเชื่อถือการไว้วางใจ จนกระทั้งลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำ และเกิดความศรัทธาใน Brand
ตรงกันข้าม ถ้าหากธุรกิจใดไม่สร้าง Brand ไม่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของ Brand  ธุรกิจนั้น องค์กรนั้น ก็จะเสียเปรียบทางด้านการแข่งขันในระยะยาวได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกำหนดราคา ลูกค้าไม่มีความเชื่อถือ ไม่ไว้วางใจ และสามารถเปลี่ยนใจไปบริโภค อุปโภค หรือใช้บริการกับสินค้าบริษัทอื่นๆได้ทุกเวลา
ถ้าหากธุรกิจใด ต้องการผลกำไรอย่างยั่งยืน ธุรกิจนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงทุนเกี่ยวกับเรื่องของ Brand  เช่น เมื่อเราพูดถึงเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม พวกเรามักคิดถึง Brand ยี่ห้ออะไร  ถ้าให้ผมตอบ พวกเราก็คงตอบว่า โค้ก หรือ เป็ปซี่  แต่ถ้าไปถามคนทั่วโลกว่าคิดถึง น้ำอัดลมยี่ห้ออะไร คนส่วนใหญ่ทั่วโลกมักจะตอบว่า “ โค้ก” เพราะผลจากการสำรวจมูลค่าของ Brand ของสินค้าและบริการต่างๆทั่วโลก ประจำปี 2555  ของบริษัท Interbrand พบว่า โค้ก หรือ Coca-Cola ยังเป็นแชมป์อันดับหนึ่งของโลก และพวกเราเชื่อไหมครับว่า ถ้าหากบริษัท โค้ก ขาย Brand อย่างเดียวโดยไม่รวมทรัพย์สินอื่นๆ เช่น โรงงาน , ขวดแก้ว , ที่ดินต่างๆ ฯลฯ บริษัท โค้ก จะขาย Brand อย่างเดียวได้มูลค่าถึง 71 พันล้านดอลาร์ (ถ้าอยากทราบว่าเป็นเงินสกุลไทยก็ลองเอา 30 บาทไปคูณ 71 พันล้านดอลาร์ จะได้มูลค่าถึง 2,130,000,000,000 บาท )      
และถ้าพูดถึงรองเท้าเรามักจะคิดถึง Nike  ร้านกาแฟเรามักคิดถึง Starbucks  ร้านอาหารสมัยใหม่เรามักคิดถึง แมคโดนัลด์ อะไรที่ทำให้เราคิดถึง Brand เหล่านี้ก่อน Brand อื่นๆ สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญก็คือ บริษัทเหล่านี้ให้ความสำคัญต่อการสร้าง Brand เป็นอย่างมากนั้นเอง
Brand ก็เหมือนกับคน กล่าวคือ Brand มีวงจรชีวิต มีปฏิสนธิหรือการเริ่มวางแผนสร้าง Brand  มีการเกิด หรือมี Brand ออกสู่ตลาด มีการเติบโต แข็งแรงตามวัยต่างๆ วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงานและวัยชรา แล้วก็ตาย ฉะนั้น หากต้องการให้ Brand แข็งแรง บริษัทต่างๆจำเป็นจะต้องเอาใจใส่ ดูแล ไม่ให้ Brand เกิดการเจ็บป่วยแล้วล้มตาย เพราะถ้าหากบำรุงดูแลรักษาไม่ดี Brand ก็จะทรุดโทรมเร็ว
อีกทั้งควรคำนึงถึงการเพิ่มคุณค่าให้แก่ Brand ก็มีความสำคัญไม่น้อย เช่น การพัฒนาคุณภาพของสินค้า , การเพิ่มความหลากหลายในตัวของสินค้า , บรรจุภัณฑ์ หีบห่อ รูปร่าง รูปทรงต่างๆ , การบริการหลังการขาย , การจัดส่งสินค้าหรือเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย , การสร้างภาพลักษณ์ของ Brand ให้ปรากฏต่อสังคม  เป็นต้น
                   Celebrity Marketing (เซเลบริตี้ มาร์เก็ตติง) คือ การนำบุคคล คนดัง คนมีชื่อเสียง เช่น ดารา นักร้อง นักการเมือง นักสื่อสารมวลชน นักกีฬาชื่อดัง มาช่วยในการทำการตลาด เพราะบุคคล คนดัง มักจะเป็นที่รู้จักของสาธารณชนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเสียเวลาในการแนะนำตัว อีกทั้ง บุคคล คนดัง มักจะมีแฟนคลับหรือคนที่ติดตามผลงานอยู่เป็นจำนวนมาก
                ดังนั้น บุคคล คนดัง มักจะเป็นผู้นำทางความคิด จิตวิญญาณ เป็นต้นแบบ ของผู้ติดตาม จึงทำให้บุคคลที่เป็นแฟนคลับหรือผู้ติดตามเลียนแบบทั้งทางด้านพฤติกรรม เลียนแบบการใช้ชีวิต เครื่องแต่งกาย ทรงผม รวมไปถึงการใช้สินค้าและบริการของบุคคล คนดังหรือบุคคลที่เป็นต้นแบบ   การตลาดสมัยใหม่จึงนำสิ่งเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ ซึ่งบางบริษัทสามารถนำเอาไปใช้จนได้ผลทำให้เกิดกระแสโด่งดังขึ้นในสังคม ซึ่งการตลาดแบบ Celebrity Marketing มีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจหลายอย่างดังนี้
1.Celebrity Marketing ช่วยทำให้สินค้าติดตลาดได้อย่างรวดเร็ว
2.Celebrity Marketing ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการเป็นจำนวนมาก เป็นการเพิ่มยอดขาย
3. Celebrity Marketing ช่วยส่งเสริมภาพพจน์หรือภาพลักษณ์ในตัวของสินค้าและบริการ
4. Celebrity Marketing ช่วยให้ภาพการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ฉะนั้น จากข้อความข้างต้น การใช้บุคคล คนดัง หรือ  Celebrity Marketing มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งถ้ารู้จักประยุกต์ใช้ เพราะจะทำให้สินค้าและบริการของเรา ติดตลาดในช่วงเวลาอันสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้บุคคลที่ไม่มีชื่อเสียงโฆษณา ประชาสัมพันธ์ สืบเนื่องมาจาก เมื่อผู้บริโภคเห็นบุคคล คนดัง ก็มักจะนึกถึงสินค้าและบริการ ที่บุคคล คนดัง โฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือ เมื่อผู้บริโภคเห็น สินค้าและบริการที่โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ก็จะคิดถึงบุคคล คนดัง   อีกทั้งช่วยให้เกิดยอดขายเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดยอดขายมากขึ้น ธุรกิจก็มีโอกาสในการคืนทุนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
  Digital Marketing คือ อะไร  Digital Marketing คือ การทำธุรกิจ การขายสินค้า การทำการตลาดเชิงสร้างสรรค์ผ่านช่องทางในโลก Internet และ Technology โดยใช้ Social Network เป็นเครื่องมือทางการตลาด
Digital Marketing Trend – แนวโน้มและภาพรวมในตลาดดิจิทัล มีงานสำรวจของ Morgan Stanley Research ในปี 2010 มีผู้ใช้สื่อ Social Network ผ่าน WebSite ต่างๆมีจำนวนเกือบ 900 ล้านล้านคนและมีอัตราการเพิ่มขึ้นเกือบ 40%ต่อปี เลยทีเดียว
ดังนั้น A B C D จึงมีส่วนสำคัญต่อการทำการตลาดของสินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ องค์กร หน่วยงาน บุคคล ซึ่งนักการตลาดท่านใดสามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้ก็จะประสบความสำเร็จในการทำการตลาดในยุคปัจจุบัน


บทความ การตลาดสมัยใหม่

บทความของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์...ในวารสาร TPA News ฉบับที่ 261 ข่าว ส.ส.ท. ปีที่ 22 ฉบับที่ 261 เดือน กันยายน 2561... เรื่อง  " การทำการตลาดยุคใหม่"



วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

ศิลปะการเป็นวิทยากร

ศิลปะการเป็นวิทยากรมืออาชีพ
Train The Trainer
โดย...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์และการสื่อสาร
www.drsuthichai.com
วิทยากร หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวการสำคัญ ที่จะทำให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกิดความรู้ความเข้าใจ เกิดทักษะ เกิดทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับเรื่องที่อบรม จนกระทั่งผู้เข้ารับการอบรมเกิดการเรียนรู้และสามารถจุดประกายความคิด เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ หรือพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ของเรื่องหรือวิชานั้นๆ ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว วิทยากรจึงมีบทบาทที่สำคัญหลายประการเช่นอาจเป็นทั้งผู้บรรยาย ผู้สอน ผู้ฝึก พี่เลี้ยง ผู้กำกับการแสดง ตลอดจนผู้ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ เป็นต้น( สุวิทย์ มูลคำ,2543:24)

วิทยากร(Trainer) หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งมีความรู้ ความสามารถตลอดจนการพูด หรืออภิปรายและใช้เทคนิคต่างๆ ในเรื่องนั้นๆ อันจะทำให้ผู้รับการฝึกอบรมได้เกิดความรู้(Knowledge) ความเข้าใจ(Understanding) ทัศนคติ(Attitude) ความชำนาญ(Skill) จนสามารถทำให้ผู้รับการฝึกอบรมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ(นิพนธ์ ไทยพานิช.2535:251 อ้างถึงใน อ้อม ประนอม,2552:73)

วิทยากร หมายถึง คนที่จะต้องทำให้ผู้เข้ารับการอบรมได้มีความรู้ และเข้าใจในเนื้อหาที่เข้ารับการฝึกอบรม จนเกิดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะ ตลอดจนเกิดการปรับเปลี่ยนทัศนคติที่ดีในการทำงาน หรือการใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น(ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์,2555:10)

สำหรับผมแล้ว วิทยากรน่าจะหมายถึง ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอดองค์ความรู้โดยอาศัยเทคนิคต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม เกิดความรู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ เกิดการพัฒนาตนเองไปในทางที่ดีขึ้นตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการในการจัดการฝึกอบรม

คุณสมบัติของวิทยากร

ในการจัดการฝึกอบรมที่ดีมีองค์ประกอบหลายๆอย่างที่ทำให้การฝึกอบรมประสบความสำเร็จ เช่น ห้องฝึกอบรม ระบบเสียง หลักสูตร เนื้อหา อาหาร การจัดรูปแบบโต๊ะเก้าอี้ ขนาดของห้องฝึกอบรม แต่ความจริงแล้วองค์ประกอบที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆก็คือตัวของวิทยากร ฉะนั้นวิทยากรจึงควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

1.ต้องมีความรู้ วิทยากรที่ดีต้องมีองค์ความรู้เนื้อหา ทั้งลึกและกว้าง ในหัวข้อที่ตนเองบรรยายหรือให้ความรู้แก่ผู้ที่เข้ารับการอบรม วิทยากรต้องรู้จริง รู้ละเอียด อีกทั้งต้องตอบคำถามผู้เข้ารับการอบรมได้อย่างมีหลักฐาน มีเหตุผล อ้างอิง อีกด้วย

2.ต้องมีบุคลิกภาพที่ดี วิทยากรต้องมีบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือ น่าศรัทธา มีความเป็นกันเอง รู้จักการวางตัว ซึ่งบุคลิกภาพนี้ตัวของวิทยากรต้องมีบุคลิกภาพที่ดีทั้งภายใน เช่น ความกระตือรือร้น ความเชื่อมั่นในตนเอง มีความมั่นคงทางด้านอารมณ์ ไหวพริบปฏิภาณ ฯลฯ และบุคลิกภาพภายนอก เช่น การแต่งตัว ท่าทาง การเดิน การยิ้ม ภาษากาย รูปร่างหน้าตา ฯลฯ

3.ต้องมีความสามารถหลายๆด้าน เช่น สามารถนำกิจกรรมเพื่อการศึกษาได้ มีความสามารถในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในการนำเสนอ มีความสามารถในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นต้น

4.ต้องมีประสบการณ์ วิทยากรที่ดีเมื่อไปบรรยายในหัวข้อใด ตัววิทยากรควรมีประสบการณ์ตรงในด้านนั้นด้วยถึงจะดี เพราะเวลาตอบคำถามหรือเวลาบรรยาย ก็สามารถนำเอาประสบการณ์จริงมาบอกเล่าได้ ไม่ใช่อ่านแต่ในหนังสือแล้วนำมาเล่า เพราะประสบการณ์ที่ตัววิทยากรได้สัมผัสของจริงจะทำให้ทั้งตัวของวิทยากรและผู้เข้ารับการอบรมเห็นภาพและเข้าใจถึงปัญหานั้นๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

5.ต้องมีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา การเตรียมความพร้อมมีความสำคัญมาก ดังเราจะเห็นได้ว่า นักมวยที่ต้องชกเพื่อชิงแชมป์โลก เขาต้องทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนัก บางคนใช้เวลาเป็นปีๆ เพื่อที่จะขึ้นไปชกชิงแชมป์โดยใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งการเตรียมพร้อมนี้ ควรรวมไปถึง การอ่าน การฟัง การเรียนรู้ การศึกษา สิ่งใหม่ๆเพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการบรรยาย

6.ต้องมีใจรัก วิทยากรเป็นอาชีพ อาชีพหนึ่งที่สามารถทำเป็นอาชีพ หาเลี้ยงตนเอง และครอบครัวได้ อีกทั้งวิทยากรมืออาชีพหลายๆท่าน สามารถสร้างความร่ำรวยจากอาชีพนี้ได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ การประกอบอาชีพใดๆ สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ ผู้ประกอบอาชีพนั้นๆจะต้องมีใจรักในอาชีพของตนเองเสียก่อน เขาจึงจะประสบความสำเร็จในการทำงาน เพราะหากว่าเรามีใจรักในอาชีพวิทยากร เราจะมีความอดทน เราจะมีความตั้งใจ เราจะมีความพยายามและเราจะไม่เลิกล้มก่อนเวลาที่จะประสบความสำเร็จ ผู้เขียนก็เช่นกัน ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในทุกๆเวที ยิ่งช่วงเป็นวิทยากรใหม่ๆ ต้องประสบกับความล้มเหลวอยู่หลายเวที หากว่ามัวแต่ท้อแท้ เลิกล้ม ไม่กล้า บัดนี้ก็คงไม่ได้ประกอบอาชีพวิทยากร

7.ต้องมีจรรยาบรรณของวิทยากร อาชีพทุกๆอาชีพควรมีจรรยาบรรณ อาชีพวิทยากรก็เช่นกัน ควรมีจรรยาบรรณ เพราะการมีจรรยาบรรณจะทำให้เป็นที่เคารพ เป็นที่น่าเชื่อถือ ศรัทธา แก่ผู้พบเห็น สำหรับจรรยาบรรณของวิทยากรไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจนดังเช่นกฎหมาย แต่ก็ควรยึดหลักของความถูกต้อง ความมีศิลธรรม ความไม่เอาเปรียบ เช่น เมื่อรับงานบรรยายงานฝึกอบรมแล้วก็ควรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ควรไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ , เมื่อรับงานบรรยายงานแรกแล้ว ก็ไม่ควรรับงานที่สองในช่วงวันเวลาเดียวกัน แต่มีวิทยากรบางท่านเมื่อเห็นว่างานที่สองได้รับเงินเป็นจำนวนมากกว่างานแรก จึงโทรศัพท์ไปขอยกเลิกงานแรก เช่นนี้ก็ไม่ควรปฏิบัติ , วิทยากรที่ดีไม่ควรกล่าวโจมตีคู่แข่งหรือวิทยากรด้วยกัน เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561

การอ่านเพื่อชีวิต


การอ่านกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต
โดย...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์และการสื่อสาร
       การอ่านมีความสำคัญและมีความจำเป็นในการพัฒนาตนเอง ถ้าอยากประสบความสำเร็จจงรักการอ่าน แต่ในยุคปัจจุบัน เป็นยุคแห่งการแข่งขัน การเร่งรีบ สังคมโลกเป็นสังคมแห่งข้อมูลข่าวสาร ความรู้ เรามีหนังสือ มีเอกสารต่างๆ มากมาย ใครที่อ่านหนังสือได้เร็วจึงได้เปรียบกว่าคนที่อ่านหนังสือได้ช้ากว่า

                การอ่านหนังสือได้เร็วช่วยพัฒนาตัวเราได้หลายอย่างและมีประโยชน์ต่อตัวเรา เช่น

                1.ช่วยประหยัดเวลา มีคนเป็นจำนวนมากที่ขาดทักษะการเรียนรู้ เทคนิคในการอ่านหนังสือเร็ว คนเหล่านี้มักจะเสียเวลาเป็นชั่วโมงหรือหลายๆชั่วโมงในการอ่านหนังสือพิมพ์เพียงแค่เล่มเดียว แต่ถ้าหากท่านมีทักษะและพัฒนาการอ่านของท่านให้เร็วกว่าปกติ ท่านสามารถอ่านหนังสือพิมพ์ได้เป็นจำนวนที่มากขึ้นแต่ใช้เวลาอ่านในจำนวนที่เท่ากัน หรือ การอ่านหนังสือได้เร็วขึ้นจะทำให้ท่านมีเวลาที่เพิ่มขึ้นและสามารถนำเวลาเหล่านั้นไปอ่านหนังสือได้อีกเป็นจำนวนมาก

                2 ช่วยพัฒนาสมอง การอ่านหนังสือได้เร็วจะทำให้มันสมองของเราได้รับการฝึกฝน ได้คิด ได้ออกกำลังแต่เป็นการออกกำลังสมอง การอ่านหนังสือได้เร็วจะทำให้คลื่นสมองของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

                3.ช่วยพัฒนาการพูด ความสามารถในการพูดมักเกิดจากความคิดที่ดี และการที่คนเราจะมีความคิดที่ดี เกิดจากหลายปัจจัย เช่น เรื่องของประสบการณ์ การรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ การอ่านหนังสือก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเราเกิดความคิดที่กว้างไกล ทันสมัย รอบรู้ การอ่านหนังสือได้เร็วจะทำให้เราได้รับข้อมูลข่าวสาร ความรู้ที่มากขึ้นกว่าคนที่อ่านหนังสือได้ช้า

                4.ช่วยให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น นักบริหาร นักธุรกิจ นักเขียน  มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาการอ่านให้อ่านได้เร็วขึ้น หากท่านเป็นนักบริหาร นักธุรกิจ ในยุคปัจจุบัน ท่านจะต้องพบกับแฟ้มเอกสารต่างๆ ที่มีมากมาย หากท่านอ่านหนังสือได้ช้า ก็จะทำให้การทำงานของท่านช้าไปด้วย แต่ตรงกันข้ามหากท่านอ่านหนังสือได้เร็ว ท่านก็จะได้อ่านจดหมาย เอกสาร หนังสือต่างๆได้ไวขึ้น แล้วจะทำให้การทำงานของท่านรวดเร็ว ผู้ที่เป็นนักเขียนก็เช่นกัน การจะเขียนได้ต้องมีข้อมูล และข้อมูลส่วนใหญ่ก็จะมาจากการอ่านหนังสือ หากอ่านหนังสือได้เร็ว ท่านก็จะมีข้อมูลที่มากขึ้น

                5.ช่วยให้สอบผ่านและได้คะแนนดี การอ่านหนังสือเร็วจะช่วยในการเรียนหนังสือได้เป็นอันมาก เนื่องจากการเรียนจะต้องเรียนหลากหลายวิชา อีกทั้งบางวิชา ครู อาจารย์ ยังต้องให้มีการอ่านหนังสือเสริมหรือหนังสือภายนอกเพื่อใช้ในการสอบอีกด้วย การอ่านหนังสือได้เร็วจะทำให้ท่านอ่านหนังสือได้ทันตามเวลาที่ ครู อาจารย์ กำหนด

                6.ช่วยให้ได้รับความบันเทิง หลายท่านเมื่อได้เห็นหนังสือนิยาย หนังสือประวัติศาสตร์ หนังสือกำลังภายในจีน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความหนาอีกทั้งมีจำนวนหน้าที่มีมาก หากอ่านช้าคงต้องเสียเวลาหลายวัน อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเช่าหนังสือเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่หากท่านอ่านได้เร็ว ท่านสามารถได้รับความบันเทิงจากการอ่านหนังสือได้หลายเรื่องในช่วงระยะเวลาที่มีจำกัด

                ทั้งหมดข้างต้น คือประโยชน์ของการอ่านหนังสือได้เร็ว แต่การอ่านหนังสือได้เร็ว กระผมไม่ได้หมายถึงการอ่านหนังสือแบบลวกๆ เมื่ออ่านเสร็จแล้วจำอะไรไม่ได้ แต่ตรงกันข้าม หากอ่านจบเราสามารถสรุปเนื้อหาและทราบเรื่องราวต่างๆ ได้เหมือนกับการอ่านปกติ เมื่อท่านอ่านหนังสือได้เร็วแล้วท่านลองทดสอบโดยการถามคำถามในเรื่องราวที่ท่านได้อ่านเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าท่านเข้าใจในสิ่งที่ท่านได้อ่านมากน้อยเพียงใด

ลองถกกับหนังสือที่ท่านอ่าน แล้วจะทำให้ท่านเกิดการพัฒนาการอ่านของท่านได้ดียิ่งขึ้น

การพูดของผู้นำ


พูดแบบผู้นำ
โดย...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์และการสื่อสาร
บทความนี้ ผมอยากเขียนเกี่ยวกับการพูดของผู้นำระดับโลก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่สาธารณะชนหรือการพูดต่อหน้าที่ชุมชน ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้นำมักจะต้องใช้การพูดเพื่อจูงใจให้คนจำนวนมากคล้อยตาม

            เช่น JFK หรือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี  ,  อับราฮัม ลินคอล์น , บารัก โอบามา  ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา หรือ Tony Blair (โทนี่ แบลร์) อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ หรือ -  อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์  อัจฉริยะบุคคลระดับโลก

            หากเรานำเอาคำพูดของบุคคลเหล่านี้มาวิเคราะห์ดูเราจะพบว่า พวกเขามีเทคนิคในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนและใช้เทคนิคต่างๆดังนี้

1.มีการสอดใส่อารมณ์ต่างๆลงไปในน้ำเสียง เราจะเห็นว่า สุนทรพจน์ของผู้นำระดับโลกมีชีวิตชีวา เพราะเขาสอดใส่อารมณ์ ความรู้สึก ลงไปในน้ำเสียง จึงทำให้ผู้ฟังเกิดความกระตือรือร้น อยากฟัง อีกทั้งมีความซาบซึ้งกินใจ ในเวลาฟังอีกด้วย
2.มีการใช้ วรรคทอง ซึ่งการใช้วรรคทองทำให้ผู้ฟังเกิดการจดจำ
 อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐได้กล่าวในการไว้อาลัยแก่ผู้สูญเสียชีวิตในสงครามกลางเมือง ว่า “รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ” หรือ “ คุณอาจจะหลอกคนทุกคนได้ในบางเวลา คุณอาจจะหลอกคนบางคนได้ตลอดเวลา แต่คุณไม่สามารถหลอกคนทุกคนตลอดเวลาได้”
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์  อัจฉริยะคนหนึ่งของโลก “ Learn from yesterday, live for today, hope for tomorrow.”   เรียนรู้จากวันวาน ใช้ชีวิตอยู่ในวันนี้ มีความหวังกับวันพรุ่งนี้”
JFK หรือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี  กล่าววรรคทองในวันรับตำแหน่งประธานาธิบดีว่า “ โปรดอย่าถามว่าประเทศชาติของท่านจะทำอะไรให้กับท่านได้บ้าง แต่จงถามว่า ท่านจะทำอะไรให้แก่ประเทศชาติของท่าน ”
นางอินทิรา คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของอินเดีย “ถ้าท่านมีเงินหนึ่งรูปี และฉันมีเงินหนึ่งรูปี แล้วนำเงินนั้นมาแลกกัน ก็จะไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าคุณมีความเห็นหนึ่งความคิดเห็น ฉันมีหนึ่งความคิดเห็นและนำมาแลกกัน เราจะได้ความคิดเห็นเพิ่มเป็นสองความคิดเห็น”
3.มีการใช้คำอุปมาอุปไมย  หรือคำเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นคำที่สั้น   กะทัดรัด  ซึ่งนิยมพูดกันในชีวิตประจำวัน  อาจจะเป็นคำพูดในเชิงต่อว่าหรือเปรียบเปรย (ทั้งในทางดีและทางร้ายก็ได้)  โดยผู้นำจะพูดโดยยกเอาเหตุการณ์หรือสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นมาเทียบเคียง เพื่อให้ผู้ฟังเห็นภาพไปตามนั้น  มักจะมีคำเชื่อมว่า  “ เป็น , เหมือน , เท่า,  ราวกับ ” เป็นคำที่ใช้เชื่อมประโยค

4.มีการยกตัวอย่าง ผู้นำที่พูดเก่งมักจะใช้ตัวอย่างประกอบเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจได้ง่าย ซึ่งตัวอย่างนั้นจะต้องสอดคล้องกับเรื่องที่พูด อีกทั้งเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ  ผู้นำหลายคนมักใช้ตัวอย่างของตนเองหรือประสบการณ์ของตนเองเป็นตัวอย่าง เช่น ตนพบกับความยากลำบากมากก่อน ตนจึงเข้าใจและเห็นใจ บุคคลที่ยากลำบาก หรือ ตนได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาและเกิดการสูญเสียเพื่อนฝูง ญาตพี่น้อง ตนจึงเข้าใจเรื่องของการสูญเสียและการต่อสู้ทางการเมืองเป็นอย่างดี เป็นต้น

ดังนั้น  ผู้ที่เป็นผู้นำ หรือ ผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำ ควรนำเอาเทคนิคทั้ง 4 ข้อข้างต้น ไปใช้หรือไปประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการพูดของท่านให้เหมือนกับผู้นำ เมื่อท่านพัฒนาการพูดโดยใช้เทคนิคทั้ง 4 ข้อนี้โดยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง กระผมเชื่อว่า การพูดของท่านจะเหมือนกับผู้นำระดับโลก และท่านจะเป็นบุคคลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการพูดแบบผู้นำ

การสื่อสารด้วยภาษากาย


การอ่านภาษาท่าทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร
โดย...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์และการสื่อสาร
บุคคลที่ประสบความสำเร็จในระดับที่สูงในแวดวงต่างๆ มักจะมีความสามารถอยู่หลายอย่าง แต่มีความสามารถอยู่ 1 อย่าง ที่คนที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกคนต้องมี ก็คือ ความสามารถในด้านการสื่อสาร

ดร.อัลเบิร์ต เมห์ราเบียน ศาสตราจารย์ ด้านจิตวิทยาของ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำงานวิจัยเรื่องการสื่อสาร ผลปรากฏว่า องค์ประกอบหรือสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการสื่อสารมีดังนี้

- คำพูด ( Words or Verbal ) = 7%

- น้ำเสียง ( Tone of Voice or Vocal ) = 38%

- ภาษากาย ( Nonverbal or Vision ) = 55%

ซึ่งจะเห็นได้ว่า ภาษากาย คือองค์ประกอบหรือสิ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดเป็นอันดับที่หนึ่ง รองลงมาคือน้ำเสียง และสุดท้ายคือคำพูด แต่มนุษย์ส่วนใหญ่กับไปศึกษาเรื่องของคำพูด การใช้คำพูด การใช้ถ้อยคำ โดยลืมที่จะไปศึกษา เรียนรู้สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในการสื่อสารคือ ภาษากาย

ภาษากายไม่เคยโกหก หากว่าใครสามารถอ่านภาษากายได้ คนๆนั้น สามารถหยั่งรู้ใจคนได้ และจะทำการเจรจากับใคร ก็มักจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นๆ เพราะ ซูนวู เคยกล่าวไว้ว่า หากรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ฉะนั้น หากว่า เราได้มีโอกาสศึกษาภาษากายเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ เราก็จะมีโอกาสได้รับประโยชน์มากกว่าคนอื่นๆ

เพราะคนที่ศึกษาภาษากาย จะสามารถจับอาการต่างๆของคู่สนทนาหรือคนที่มาติดต่อพูดคุยกันได้

ตัวอย่าง ภาษากายตามหลักสากล

คนที่โกหก มักจะกระทำหรือมีกิริยาอาการในระหว่างสนทนา คือ การเอามือปิดปากหรือใช้นิ้วปิดปากทันที , การใช้นิ้วถูกตรงจมูก , การถูกตา , การดึงปกคอเสื้อ , การไม่กล้าสบตากับคนที่คุยด้วย , การกระพริบตาบ่อยๆ ในระหว่างสนทนา เป็นต้น
คนที่มีความเครียดหรือความวิตกกังวล มักมีอาการ การกัดริมฝีปาก , การเม้นปาก , การกัดเล็บมือของตนเอง , การลุกลี้ลุกลน ไม่อยู่นิ่ง กระสับกระสาย , มือสั่น , ม้วนปอยผมเล่น เป็นต้น
คนที่กอดอก ในขณะสนทนา มักมีอารมณ์ ความรู้สึก ป้องกันตัวเองจากบางอย่าง , รู้สึกกลัวหรือประหม่า , ไม่เปิดใจหรือเข้าไม่ถึงใจเขา , เย่อหยิ่ง เป็นต้น
คนที่อยู่ในอาการ ล้วง แคะ แกะ เกา มักจะรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่ปลอดภัย ทำให้เสียบุคลิกภาพ
คนที่ ปิดบัง ซ่อนเร้น ปกปิด ความจริง มักจะมีกิริยาอาการ ไม่กล้าสบสายตา , ใส่แว่นตาสีอำพรางสายตา , เอามือปิดปาก , เอามือจับจมูก
คนที่เชื่อมั่นในตนเอง มักจะมีอาการ ตั้งข้อศอก และเอาปลายนิ้วจรดกัน , การเอามือไขว้หลัง และเชิดคาง , การวางเท้าข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองลงบนขอบโต๊ะ หรือเก้าอี้(ท่านี้ชาวอเมริกานิยมใช้) , การใช้ลิ้นดีดเสียง,ดีดนิ้ว,นั่งเอนหลัง เอามือทั้งสองข้างประสานรับศีรษะ
ฉะนั้น ในระหว่างการสนทนาถ้าคู่สนทนามีอาการดังกล่าว ก็ขอให้ถอดรหัสภาษากายเพื่อที่เราจะได้ทราบอารมณ์ของคู่สนทนาในขณะนั้น แต่ทั้งนี้ การอ่านภาษากายอาจจะถอดรหัสผิดหรือคลาดเคลื่อนก็ได้ ถ้าอยากถอดรหัสได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น กระผมแนะนำให้อ่านหนังสือเรื่อง “ ร่างกายไม่เคยโกหก” ของนายโจ นาวาโร่ ซึ่งนายโจ นาวาโร่ ได้ให้เทคนิคเพิ่มเติม อีก 10 ข้อ ท่านผู้อ่านลองไปซื้ออ่านกันได้ครับ ผมได้ซื้อมาอ่านแล้ว เป็นหนังสือที่ดีมากๆ เกี่ยวกับการภาษากาย ถ้าหากเราอ่านแล้วนำไปปฏิบัติ เราก็จะสามารถอ่านใจคนจากภาษากายได้แม่นยำขึ้น