ผู้ป่วยมะเร็ง...หัวใจเท่าหัวไม้ขีดไฟ
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
คนส่วนใหญ่ เมื่อรับทราบจากหมอว่า
ตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็ง คงไม่ต้องบอก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ตกใจ บางคนทำใจไม่ได้ คิดว่า
ตนเองต้องตายแน่ๆ เพราะทราบจากสื่อต่างๆหรือจากการได้ยินได้ฟังว่า
ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ส่วนใหญ่จะไม่รอดชีวิต ซึ่งการรักษาหรือบำบัดโรคมะเร็งนั้น
เรื่องของจิตใจ ผู้ป่วยจะต้องมีความคิด ตรงกันข้าม ผู้ป่วยจะต้องใจนักเลง คือ
ไม่กลัวมะเร็ง ไม่กลัวตาย เพราะถ้าเรายิ่งกลัวโรคมะเร็ง หรือกลัวตาย โรคมะเร็ง
ก็จะยิ่งลุกลาม จนกระทั่งสูญเสียชีวิตในที่สุด
กำลังใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ไม่สำคัญว่าจะเป็นระยะไหน
เพราะบางคนเป็นระยะ 4
(ระยะสุดท้าย)ก็มีโอกาสรอดถ้ามีจิตใจที่เข้มแข็ง แต่ตรงกันข้ามผู้ป่วยมะเร็งระยะ 1 หรือระยะแรก หลายคนหัวใจเท่ากับหัวของไม้ขีดไฟ
ก็ตายไปมากต่อมาก เพราะทำใจไม่ได้ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เครียด คิดมาก
กังวลมาก
การรักษาโรคมะเร็งจึงต้องมีการปรับ Mindset หรือความคิด ของผู้ป่วยเสียก่อน ผู้ป่วยจะต้องคิดว่าตนเองต้องรอดชีวิต
ต้องรอดชีวิต ต้องรอดชีวิต แล้วหาแรงจูงใจว่า จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรหรือเพื่อใคร
เช่น เพื่อลูก เพื่อพ่อแม่ เพื่อสามี เพื่อภรรยา เป็นต้น
อีกทั้งควรหาตัวอย่างหรือกรณีศึกษา
ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งที่เขารักษาหาย และอยู่รอดปลอดภัย
เพื่อสร้างเสริมกำลังใจให้กับตนเอง ส่วนผู้ป่วยที่มีหัวใจเท่ากับมดส่วนใหญ่
จะมองหาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่มีการเสียชีวิต มองไปทางนี้ คนนี้ก็ตาย มองไปทางโน้น
คนโน้น ก็ตาย กล่าวคือ มองไปทางไหนก็มีแต่ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ตาย
อย่างนี้โอกาสที่จะรอดชีวิตก็คงจะยากขึ้น เพราะกำลังใจตกลงทุกๆวัน อีกทั้งตนเองก็ต้องคิดว่า
ตนเองก็คงไม่รอดชีวิตเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
ดังนั้น จงรักษาจิตใจ
จงยอมรับกับความจริง หากท่านป่วยเป็นโรคมะเร็ง จงสนุกกับการใช้ชีวิต
อีกทั้งจงมองโลกในแง่บวก อย่าไปกลัวมัน จงอยู่อย่างมีความสุข
จงกำจัดความเครียดทุกชนิด เพราะความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญของโรคต่างๆ พยายามหัวเราะเข้าไว้
จากงานวิจัย ได้มีการสังเกตและมีการสัมภาษณ์ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ว่า
ก่อนเป็นโรคมะเร็ง ผู้ป่วยมีอาการอย่างไร คำตอบที่ได้รับจากผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งส่วนใหญ่
ก็คือ เครียด ซึมเศร้า นอนไม่หลับ
เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ไม่ค่อยสบายในจิตใจ ฯลฯ
ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุมาจากจิตใจเกือบจะทั้งสิ้น
สำหรับการรักษาหรือบำบัดโรคมะเร็ง
โดยส่วนตัวของกระผม ควรทำแบบองค์รวม มีดังนี้
1.เริ่มที่จิตใจของผู้ป่วยต้องมีความเข้มแข็ง
ไม่กลัวโรคมะเร็ง ไม่กลัวตาย มีสติ ไม่เครียด ไม่กังวล ไม่คิดอกุศลต่างๆ
2.โภชนาการบำบัด การปรับเรื่องของอาหารการกิน
ไม่รับประทานอาหารของมะเร็ง ไม่ทานอาหารที่ทำให้เซลล์ดีๆ เช่น เม็ดเลือดขาวเกิดความอักเสบหรือเกิดความเสื่อม
ควรรับประทาน ผักผลไม้ ให้มากขึ้น โดยเฉพาะผัก(ปลอดสารพิษ) กินให้มากขึ้น
กินให้มีความหลากหลาย กินผลไม้รองลงมาก
(ไม่ควรกินผลไม้ที่มีรสหวานจัดและควรปลอดสารพิษ)
3.ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ให้หลับมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเวลา 4 ทุ่ม
ถึง ตี 2 เป็นช่วงเวลาทองของการนอนหลับ
จงหลับอย่างมีประสิทธิภาพ
4.นั่งสมาธิ สวดมนต์ เพื่อทำให้จิตใจให้เกิดความสบาย ซึ่งสามารถช่วยส่งเสริมการบำบัดและรักษาในข้อที่
1
5.ออกกำลังกาย
เพื่อให้ร่างกายเกิดความแข็งแรง
6.มีการดีท็อกซ์ เอาสารพิษออกจากร่างกาย
(กรณีที่รับคีโมหรือฉายแสงยังไม่ควรทำ) แต่หลังจากการรักษาโรคมะเร็งหายแล้ว ค่อยทำ
ส่วนคนที่ไม่รับการรักษาตามแพทย์แผนปัจจุบัน ก็ควรรีบทำให้เร็วที่สุด
เนื่องจากในร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งมีสารพิษมากจึงต้องรีบกำจัดออกให้เร็วที่สุด
7.ดื่มน้ำบริสุทธิ์วันละ 8 แก้วสำหรับคนปกติ และดื่ม 10 แก้วสำหรับคนป่วยโรคมะเร็ง
8.ออกไปตากแดดบ้างเป็นบางครั้ง เพื่อรับวิตามิน D. อย่างน้อยวันละ 10-20 นาที และ สูดอากาศบริสุทธิ์ อากาศสะอาดนอกบ้าน
เพื่อรับออกซิเจนจากธรรมชาติ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้
ภูมิต้านทานของผู้ป่วยโรคมะเร็งมีเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม T-cell และ Nk-cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่ช่วยในการกำจัดและยับยั้ง
เซลล์มะเร็ง อีกประการหนึ่ง เราต้องยอมรับก่อนว่า เราทุกคนมีเซลล์มะเร็งในร่างกาย
แต่เรามีเซลล์ดีๆ เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว T-cell และ Nk-cell ค่อยกำจัดและยับยั้งเซลล์มะเร็ง
แต่สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง เซลล์ดีๆ เหล่านี้ ได้เกิดการอ่อนแอและเกิดความบกพร่อง จึงไม่สามารถไปกำจัดและยับยั้งเซลล์มะเร็ง
เหมือนอย่างคนปกติ หรือ เหมือนในอดีตได้
ดังนั้น
การปฏิบัติรักษาและการบำบัดแบบองค์รวม จะทำให้เซลล์ดีๆ เซลล์เม็ดเลือดขาว T-cell และ Nk-cell
เกิดความเข้มแข็ง และแข็งแรง แล้วสามารถไปกำจัดและยับยั้งเซลล์มะเร็ง
ได้เหมือนกับร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบในอดีตที่ผ่านหรือเหมือนคนปกตินั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น