วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2565

การตลาดเชิงสร้างสรรค์


การตลาดเชิงสร้างสรรค์

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

                            โลกของการทำธุรกิจทุกวันนี้ ผู้ประกอบธุรกิจหรือนักการตลาด ต่างต้องค้นคว้าหาไอเดียใหม่ๆ เพื่อมาปั้น ธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นด้าน กลยุทธ์ทางการตลาด กลยุทธ์ทางด้านผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์ทางช่องทางในการจัดจำหน่าย กลยุทธ์ในการทำโปรโมชั่น ต่างก็ต้องใช้ ความคิดสร้างสรรค์ทั้งสิ้น หรือ หลายคนอาจเรียกว่า การสร้างนวัตกรรมทางการตลาด  ยิ่งเป็นยุคปัจจุบันก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีสูงยิ่งต้องการความรวดเร็ว ความทันสมัย สิ่งแปลกๆใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา

                             ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกับคำ 2 คำกันก่อน คือ คำว่า

ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การคิดสิ่งแปลกๆใหม่ๆ ซึ่งสามารถใช้การได้และมีความเหมาะสม

นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง การทำสิ่งใหม่ ๆ เช่น สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ หรือสินค้าใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน โดยอาจจะมีการพัฒนาดัดแปลงหรือต่อยอดมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยกว่าเดิม

สำหรับแนวทางการสร้างทักษะในด้านความคิดเชิงสร้างสรรค์ นั้น ต้องอาศัยกระบวนการพัฒนาทางด้านความคิด ใหม่ๆ เพื่อนำมาพัฒนา ต่อยอด แก้ไขปัญหา รวมถึงการตอสนองความต้องการของลูกค้า ไม่ว่า ทำให้ลูก เกิดความสะดวกรวดเร็ว เกิดความพึงพอใจ ในตัวของสินค้าหรือบริการในเชิงสร้างสรรค์

นักการตลาดที่ดีควรฝึกการเป็น “นักคิดเชิงสร้างสรรค์” ด้วยการไม่พอใจกับสิ่งเดิมๆหรือต้องการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น เช่น ต้องเป็นคนหัดตั้งคำถามว่า “ ทำไม ” อยู่บ่อยๆ ตัวอย่าง

ทำไม.....อู่ซ่อมรถต้องปิดวันอาทิตย์ ทั้งที่วันอาทิตย์ หน่วยงานราชการหยุดทำงาน ถ้าเปิดวันอาทิตย์ก็จะทำให้มีลูกค้ามากขึ้น

ทำไม.....Minibar - มินิบาร์ คือ ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่มที่ทางโรงแรมต่างๆ จึงขายแพงมาก ทำไมเพื่อเป็นการบริการลูกค้า น่าจะขายเท่ากับราคาที่ขายใน 7-11

ทำไม....มาม่า ที่มีเส้นสีเหลืองจึงขายดีกว่าหมี่ขาวหรือเส้นขาว แต่ทำไมขายตามร้านขาย ก๋วยเตี๋ยว เส้นขาว(เส้นใหญ่ เส้นเล็ก เส้นหมี่)จึงขายดีกว่าหมี่เหลือง(เส้นเหลือง)

ซึ่งผู้ที่เป็นนักการตลาดเชิงสร้างสรรค์ที่ดีและมีหัวใจของการเป็นนักบริการด้วยนั้น ควรมีคุณสมบัติดังนี้

1.ต้องมีหัวใจของการเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ คือ คิดว่า ลูกค้าจะได้อะไรจากเรา มากกว่าต้องการรับเงินจากลูกค้า

กล่าวคือ ต้องคิดเป็นผู้ให้ประโยชน์แก่ลูกค้า มากกว่าเป็นผู้รับผลประโยชน์จากลูกค้า 

2.ต้องสามารถแก้ไขปัญหาให้แก่ลูกค้าได้ แน่นอน ทำไมลูกต้องซื้อสินค้า เนื่องจากลูกค้ามีปัญหาเลยต้องซื้อสินค้าเพื่อใช้แก้ไขปัญหา นักการตลาดต้องคิดอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรให้สินค้าของเราแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้ดีกว่าเดิม เช่น สะดวกกว่าเดิม รวดเร็วกว่าเดิม ถูกกว่าเดิม เป็นต้น

3.ต้องให้คำปรึกษา คำแนะนำ ตอบคำถามได้ นักการตลาดที่มีหัวใจของการบริการและเชิงสร้างสรรค์จะต้องให้คำปรึกษา คำแนะนำ ตอบคำถามได้ หากว่าลูกค้ามีปัญหาหรือเกิดปัญหาขึ้นมา

4.ต้องมีความเป็นมิตร เป็นเพื่อน และเอาใจใส่ลูกค้า หากว่าเรามีความเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ลูกค้ามักจะชอบเรา มากกว่า เราทำต้องเป็นศัตรู

การผสมผสานข้อมูลที่ได้รับกับความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างการนำเสนอหรือการทำ Personalization มีความสำคัญอย่างมาก เราต้องยอมรับว่า ข้อมูลมีความสำคัญในการกำหนดสิ่งต่างๆ ไม่ว่า กำหนดการวางแผน กำหนดการออกแบบ กำหนดการสื่อสารทางด้านการตลาด รวมถึงการกำหนดกลยุทธ์ต่างๆทางด้านการตลาด

ดังนั้น การค้นหา การรวบรวม การสืบคว้า ข้อมูลต่างๆ จะทำให้ได้เปรียบคู่แข่งขัน และจะทำให้เราทราบแนวโน้ม รวมไปถึงเรื่องของพฤติกรรมของผู้บริโภคอีกด้วย

สำหรับการพัฒนาธุรกิจด้วยการวางแผนด้านการตลาด นักการตลาดที่ดีอาจจะต้องมีการประชุมทีม มีการทำ Workshop  มีการสื่อสาร เพื่อให้เกิดทิศทางในการทำงานร่วมกันให้ทั่วทั้งองค์กร เช่น อาจจะต้องมีการวางแผนสร้างแบรนด์ใหม่ร่วมกัน การสื่อสารอย่างไรให้คนในองค์กรเข้าใจกลยุทธ์ทางด้านการตลาดร่วมกัน จะต้องสื่อสารอย่างไรให้ลูกค้าเกิดความสนใจในสินค้า องค์กรของเรา ซึ่งทุกอย่างต้องอาศัยการวางแผนงานร่วมกัน เป็นต้น

การสร้างสรรค์และนวัตกรรมกับสารสนเทศ เทคโนโลยี ยุคปัจจุบันเราต้องยอมรับกันว่า สารสนเทศมีความสำคัญและมีความจำเป็นในการสร้างนวัตกรรม รวมทั้งมีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์ธุรกิจให้เติบโต เราจะเห็นได้ว่าบริษัทระดับโลกที่มีความยิ่งใหญ่มักใช้สารสนเทศ ข้อมูล ข่าวสาร เทคโนโลยีในการขาย เช่น บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับโซเซียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น  youtube  , Facebook ,  google ,   Twitter , Line , Instagram ฯลฯ บริษัทเหล่านี้เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ปี แต่ประเทศไทยเรายังทำเรื่องเหล่านี้น้อยมาก

โดยสรุปที่ผมได้กล่าวมานั้นหรือที่เขียนบทความทางด้านการตลาดอยู่เป็นประจำ เราจะเห็นได้ว่า การทำตลาด คือ การทำศิลปะอย่างหนึ่งของการทำธุรกิจ ซึ่งต้องอาศัยเรื่องของการคิดสร้างสรรค์เข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดสิ่งแปลกๆใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ


วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2565

การบำบัดรักษามะเร็ง

 

การบำบัดรักษามะเร็ง

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

              เป็นที่รู้กันว่าการรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน มีการรักษาด้วยกัน 3 วิธีใหญ่ คือ การผ่าตัด การใช้เคมีบำบัด และการฉายรังสี แต่เมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าก็มีวิธีการอื่นๆให้เลือกอีกมากมาย เช่น การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด , โปรตอนบำบัดแบบจีน(เป็นวิธีการรักษาโรคมะเร็งที่มีความแม่นยำสูง และส่งรังสีโดยตรงที่ก้อนเนื้องอก)  เป็นต้น

              สำหรับการรักษาแบบทางเลือก ก็มี การรักษาแบบธรรมชาติบำบัด , แพทย์วิถีธรรม(หมอเขียว) , การรักษาแบบเกอร์สัน(เน้นการกินน้ำผักและน้ำผลไม้ และวิตามินเสริม),การรักษาโภชนการบำบัด และมีทางเลือกอื่นๆ

              แต่สำหรับผม หากถามว่า ผมจะให้น้ำหนักกับการรักษาแบบใดมากที่สุด โดยส่วนตัวของผม ผมให้น้ำหนักกับการรักษาแผนปัจจุบันมากกว่า คือ รักษาด้วยการผ่าตัด , เคมีบำบัด และการฉายรังสี เนื่องจากมีเหตุมีผล และสามารถตรวจเช็คได้ว่า ตอนนี้โรคมะเร็งหรือเซลล์มะเร็งของเรามีจำนวนเท่าไรแล้ว มากน้อย ลดลงหรือเพิ่มมากขึ้นเท่าไร โดยเช็คทางเลือดและเช็คด้วยการผ่านเครื่องมือทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง x ray , เครื่อง c t scan และเครื่อง MRI  ซึ่งต้องให้แพทย์ที่ทำการรักษาสั่งในการตรวจสอบ

              ส่วนคนที่รักษาทางเลือก ผมเคยเห็นหลายราย มุ่งมั่นและมั่นใจมากที่จะรักษาทางเลือก จึงปฏิเสธการผ่าตัดและการใช้เคมีบำบัดและการฉายแสง ซึ่งไม่ใช่การตัดสินใจที่ชาญฉลาดเลย เพราะหากเกิดความผิดพลาดอาจจะทำให้เสียชีวิตหรือถึงตายได้

              การพิจารณาทางเลือกในการรักษาจึงมีความสำคัญ อย่างที่ผมได้กล่าวแล้ว ผมจะเลือกดำเนินการรักษามะเร็งตามความจำเป็นก่อน ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การให้เคมีบำบัด การฉายรังสี แต่จะนำทางเลือกอื่นๆมาประยุกต์ใช้ เพื่อใช้เสริมแรงในการรักษาหรือสนับสนุนในการรักษา

              แต่ขออย่าลืมว่า การรักษาโรคมะเร็งที่ดีที่สุด ก็คือ เราต้องยกระดับภูมิคุ้มกันของเราเองเป็น “ หลัก ” เพื่อให้ไปต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้เหมือนในอดีตที่ร่างกายของเรามีความแข็งแรงและเซลล์มีความแข็งแรงในการต่อต้านเซลล์มะเร็งได้ สำหรับการรักษาโดยการผ่าตัด เคมีบำบัด และการฉายรังสี ถือว่าเป็นการรักษาระดับ “ รอง ” หรือถ้าใครรักษาโรคมะเร็งหายแล้ว ควรเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของตนเองให้แข็งแรง เพราะมีโอกาสที่จะเกิดเป็นมะเร็งซ้ำได้ในอนาคต นั่นเอง ผมหวังว่า คนรักษาโรคมะเร็งควรจดจำเรื่องนี้เอาไว้อย่างแน่นหนา

              โภชนการบำบัดรักษามะเร็ง เรื่องอาหารการกินมีความสำคัญมากในการรักษาโรคมะเร็ง เราต้องยอมรับว่าคนเป็นโรคมะเร็งมาจากหลายปัจจัย เช่น เรื่องของความเครียด , เรื่องของพฤติกรรม , เรื่องของอากาศหรือการรับสารพิษเข้าไปในร่างกาย , ขาดการออกกำลังกาย และการเป็นโรคอื่นๆเช่นเป็นเบาหวาน,โรค HIV  จึงทำให้ภูมิต้านทานต่ำจึงทำให้เป็นมะเร็งได้ง่าย และที่สำคัญก็คือ เรื่องของอาหารการกิน(โภชนาการ)

              โภชนาการหรือการกิน คนเราต้องกินอาหารทุกๆวัน วันละ 3 มื้อ บางคนอาจกินมากกว่านั้น การกินอาหารต้องครบ 5 หมู่ และควรได้รับสารอาหารให้ครบถ้วน แต่เนื่องจากคนเราปัจจุบันมีความเร่งรีบ ในการใช้ชีวิต จึงไม่คำนึงถึงอาหารที่เรากิน โดยเฉพาะการขาดการกินอาหารจำพวก ผักและผลไม้ (ปลอดสารพิษ)

              เพราะการรักษาด้วยสารอาหารคือปัจจัยสำคัญในการรักษาและป้องกันมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด เคมีบำบัดและรังสีบำบัด ทำให้ร่างกายของเราเสียหาย การกินจึงเป็นการนำเอาสารอาหารเข้าไปซ่อมแซม แก้ไขสภาพร่างกายและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี

              อาหารมะเร็ง องค์การอนามัยโลก(WHO) ประกาศให้ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปเป็นสารก่อมะเร็งอันดับ 1 จึงควรหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก และผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นๆอีกมากมาย ทำให้ก่อให้เกิดเป็นมะเร็ง อีกทั้งยังทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายของเราต่ำลงอีกด้วย

                ตรงกันข้ามกับการกินผักและผลไม้(ปลอดสารพิษ) จะทำให้เรามีสารต่อต้านการก่อมะเร็ง (anti -carcinogen) เป็นจำนวนมาก เพื่อป้องกันการก่อให้เกิดมะเร็งได้



             

2 ส. สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง

 

2 ส. สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

              สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งมีหลากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักเกิดจาก 2 ส. อันได้แก่

              1.สารพิษ ประกอบไปด้วยทางด้านร่างกายโดยส่วนใหญ่ได้รับจากภายนอก เช่น การสูบบุหรี่, การดื่มสุรา , การได้รับรังสี , สารเคมี ,ยาฆ่าแมลง,เครื่องสำอาง,ควันจากท่อไอเสีย,ยาเสพติด,สารพิษจากอาหาร ฯลฯ

                            ส่วนสารพิษที่เกิดจากภายใน เช่น อารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความเครียด อารมณ์โกรธ เกลียด การรีบเร่ง กังวลใจ ไม่สบายใจ เศร้า ทุกข์ หรือรู้สึกไม่ดีกับบางสิ่งบางอย่าง  จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำ นอนไม่หลับ ไม่สบาย

              2.สารอาหาร ประกอบด้วย พฤติกรรมการกินเนื้อสัตว์ประเภทปิ้งย่าง อาหารทอด อาหารไขมันสูง หรือรับประทานอาหารซ้ำ ๆ อาหารสุกๆดิบๆ อีกทั้งยังขาดสารอาหารโดยเฉพาะพวกวิตามิน แร่ธาตุที่มีในผักและผลไม้ ซึ่งทำให้เกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน โรคไขมันในเลือด เกิดการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย พยาธิ และขาดการออกกำลังกาย ส่งผลให้เกิดความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน จนทำให้เกิดโรคมะเร็งในที่สุด

              โรคมะเร็งคือ เซลล์ในร่างกายเกิดอาการผิดปกติ ซึ่งความผิดปกติของเซลล์นั้น จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จนเป็นก้อนเนื้อที่มีการลุกลามใหญ่ขึ้น ซึ่ง จะลุกลามไปในเซลล์อื่น ๆ ของร่างกาย โดยผ่านระบบเลือดและระบบทางเดินน้ำเหลือง ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับอวัยวะสำคัญหลาย เช่น ปอด, ตับ, ไต, สมอง, ไขกระดูก ฯลฯ ซึ่งเซลล์มะเร็งมีอยู่หลายชนิด

              ดังนั้น วิธีการรักษา ควรแก้ไขที่สาเหตุ ว่าโรคมะเร็งของเราเกิดจากสาเหตุใด

              1.สารพิษ เราก็ควรมีการถอนพิษออกจากร่างกาย และหลีกเลี่ยง การรับสารพิษเพิ่มขึ้น เช่น ไม่สูบบุหรี่, ไม่ดื่มสุรา , งดใช้ยาฆ่าแมลง,เครื่องสำอาง,หลีกเลี่ยงการสูบควันจากท่อไอเสีย,ไม่เสพยาเสพติด,หลีกเลี่ยงการบริโภคสารพิษจากอาหาร ฯลฯ

              ส่วนสารพิษที่เกิดจากภายใน เราก็ควรนั่งสมาธิ ทำจิตใจ ให้มีความสุข ลด ละ เลิก อารมณ์ต่างๆ ที่ทำให้เกิดพิษจากจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความเครียด อารมณ์โกรธ เกลียด การรีบเร่ง กังวลใจ ไม่สบายใจ เศร้า ทุกข์ หรือรู้สึกไม่ดีกับบางสิ่งบางอย่าง  ซึ่งส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำ นอนไม่หลับ ไม่สบาย

              สำหรับการถอนพิษออกจากร่างกาย เราสามารถทำได้หลายรูปแบบ แต่ที่เขานิยมกัน มีดังนี้

การทำ Detox ทางลำไส้  มีคนถามว่า  การสวนล้างลำไส้ คืออะไร?

การสวนล้างลำไส้ (Colon Detox) คือ การสวนล้างลำไส้ ผ่านทางทวารหนัก ซึ่งอาจจะใช้น้ำเปล่าบริสุทธิ์หรือน้ำย่านางหรือน้ำกาแฟ เพื่อล้างพิษโดยหรือเพื่อขจัดสารพิษหรือของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเมือกที่เกาะตามผนังลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นสาเหตุของการก่อให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย เช่น โรคมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองหรือภูมิแพ้เรื้อรัง รวมถึงการเหนื่อยล้า หมดแรง ไม่สบาย ป่วย  โรคผิวหนัง โรคลำไส้ โรคตับ โรคทางเดินอาหาร อีกทั้งยังทำให้การขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องเฟ้อเป็นประจำ อาหารไม่ย่อย ถ่ายไม่เป็นเวลา  เป็นต้น

ทั้งนี้ ผู้ที่สวนล้างลำไส้ ควรคำนึงถึง เมื่อเราสวนล้างลำไส้ ก็จะทำให้จุลินทรีย์หรือแบคทีเรีย ที่ดีและไม่ดีและ จุลินทรีย์หรือแบคทีเรียที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ ออกมาด้วย ผู้สวนล้างลำไส้ จึงต้องกิน จุลินทรีย์หรือแบคทีเรียที่ดีเข้าไปแทนที่เพื่อจัดระเบียบ จุลินทรีย์หรือแบคทีเรีย ในลำไส้ใหญ่ใหม่ (มีมากในโยเกิร์ตและอาหารประเภทหมักดองบางชนิด แต่ในนิยมกันก็คือโยเกิร์ต เนื่องจากโยเกิร์ตมีโพรไบโอติกส์ แบคทีเรียชนิดดีต่อลำไส้และระบบย่อยอาหาร ทำให้กระตุ้นระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย พร้อมทั้งโพรไบโอติกส์ยังจะช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งผลให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น)

2.สารอาหาร ผู้ป่วยโรคมะเร็งควรกินอาหารให้หลากหลายโดยเฉพาะ ผักและผลไม้ และควรงดหรือลดอาหารประเภท เนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะปิ้ง ย่าง ทอด ต้ม ควรลดหรือควรงด ถ้าหากงดหรืออดไม่ได้ ควรกินเนื้อปลาจะดีกว่า

ส่วนผักและผลไม้มีประโยชน์ มากมายกับร่างกายของเราโดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งต้องกินให้มากและหลากหลาย เพราะผักและผลไม้เป็นแหล่งสะสมของวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดและใยอาหาร คนที่กินผักและผลไม้มากๆจะมีอายุยืนยาว เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งและโรคอื่นๆอีกหลายโรค อีกทั้งยังช่วยเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ที่อยู่ภายในร่างกาย การรับประทานผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยทำให้ระบบขับถ่ายสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี

ผักผลไม้บางชนิด เช่น กล้วย แอปเปิ้ล มะละกอ ผักสลัด ถั่ว หน่อไม้ฝรั่ง อะโวคาโด เป็นต้น ช่วยในการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี  และ ผักผลไม้บางชนิด ช่วย เสริมสร้างความจำ และเป็นอาหารสมองได้เป็นอย่างดี บำรุงระบบประสาท ช่วยบำรุงสายตา เนื่องจากผักผลไม้บางชนิดจะมีวิตามินสูง การรับประทานผักผลไม้บางชนิดช่วยทำให้ผิวพรรณของคุณดูสวยงามขึ้น

ดังนั้น ใครที่ไม่อยากเป็นโรคมะเร็งหรือใครที่เป็นโรคมะเร็งแล้ว หากต้องการรักษาโรคมะเร็ง ควรให้ความสำคัญกับเรื่องของ 2 ส.ที่เป็นต้นเหตุของโรคมะเร็ง ควรลดการนำเอาสารพิษเข้าไปในร่างกายไม่ว่าสารเคมี รวมทั้งสารพิษที่เกิดจากภายใน อีกทั้งควรเอาสารพิษออกจากร่างกายให้มากที่สุดและควรเพิ่มสารอาหาร โดยเฉพาะพวกผักและผลไม้ เข้าไปในร่างกายให้มากขึ้น โดยพยายามกินให้หลากหลาย



ผู้ป่วยมะเร็ง...หัวใจเท่าหัวไม้ขีดไฟ

 

ผู้ป่วยมะเร็ง...หัวใจเท่าหัวไม้ขีดไฟ

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

              คนส่วนใหญ่ เมื่อรับทราบจากหมอว่า ตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็ง คงไม่ต้องบอก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ตกใจ บางคนทำใจไม่ได้ คิดว่า ตนเองต้องตายแน่ๆ เพราะทราบจากสื่อต่างๆหรือจากการได้ยินได้ฟังว่า ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ส่วนใหญ่จะไม่รอดชีวิต ซึ่งการรักษาหรือบำบัดโรคมะเร็งนั้น เรื่องของจิตใจ ผู้ป่วยจะต้องมีความคิด ตรงกันข้าม ผู้ป่วยจะต้องใจนักเลง คือ ไม่กลัวมะเร็ง ไม่กลัวตาย เพราะถ้าเรายิ่งกลัวโรคมะเร็ง หรือกลัวตาย โรคมะเร็ง ก็จะยิ่งลุกลาม จนกระทั่งสูญเสียชีวิตในที่สุด

              กำลังใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ไม่สำคัญว่าจะเป็นระยะไหน เพราะบางคนเป็นระยะ 4 (ระยะสุดท้าย)ก็มีโอกาสรอดถ้ามีจิตใจที่เข้มแข็ง แต่ตรงกันข้ามผู้ป่วยมะเร็งระยะ 1 หรือระยะแรก หลายคนหัวใจเท่ากับหัวของไม้ขีดไฟ ก็ตายไปมากต่อมาก เพราะทำใจไม่ได้  กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เครียด คิดมาก กังวลมาก

              การรักษาโรคมะเร็งจึงต้องมีการปรับ Mindset หรือความคิด ของผู้ป่วยเสียก่อน ผู้ป่วยจะต้องคิดว่าตนเองต้องรอดชีวิต ต้องรอดชีวิต ต้องรอดชีวิต แล้วหาแรงจูงใจว่า จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรหรือเพื่อใคร เช่น เพื่อลูก เพื่อพ่อแม่ เพื่อสามี เพื่อภรรยา เป็นต้น

              อีกทั้งควรหาตัวอย่างหรือกรณีศึกษา ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งที่เขารักษาหาย และอยู่รอดปลอดภัย เพื่อสร้างเสริมกำลังใจให้กับตนเอง ส่วนผู้ป่วยที่มีหัวใจเท่ากับมดส่วนใหญ่ จะมองหาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่มีการเสียชีวิต มองไปทางนี้ คนนี้ก็ตาย มองไปทางโน้น คนโน้น ก็ตาย กล่าวคือ มองไปทางไหนก็มีแต่ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ตาย อย่างนี้โอกาสที่จะรอดชีวิตก็คงจะยากขึ้น เพราะกำลังใจตกลงทุกๆวัน อีกทั้งตนเองก็ต้องคิดว่า ตนเองก็คงไม่รอดชีวิตเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

              ดังนั้น จงรักษาจิตใจ จงยอมรับกับความจริง หากท่านป่วยเป็นโรคมะเร็ง จงสนุกกับการใช้ชีวิต อีกทั้งจงมองโลกในแง่บวก  อย่าไปกลัวมัน จงอยู่อย่างมีความสุข จงกำจัดความเครียดทุกชนิด เพราะความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญของโรคต่างๆ พยายามหัวเราะเข้าไว้

                จากงานวิจัย ได้มีการสังเกตและมีการสัมภาษณ์ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ว่า ก่อนเป็นโรคมะเร็ง ผู้ป่วยมีอาการอย่างไร คำตอบที่ได้รับจากผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งส่วนใหญ่ ก็คือ  เครียด ซึมเศร้า นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ไม่ค่อยสบายในจิตใจ  ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุมาจากจิตใจเกือบจะทั้งสิ้น

                  สำหรับการรักษาหรือบำบัดโรคมะเร็ง โดยส่วนตัวของกระผม ควรทำแบบองค์รวม มีดังนี้

              1.เริ่มที่จิตใจของผู้ป่วยต้องมีความเข้มแข็ง ไม่กลัวโรคมะเร็ง ไม่กลัวตาย มีสติ ไม่เครียด ไม่กังวล ไม่คิดอกุศลต่างๆ

              2.โภชนาการบำบัด การปรับเรื่องของอาหารการกิน ไม่รับประทานอาหารของมะเร็ง ไม่ทานอาหารที่ทำให้เซลล์ดีๆ เช่น เม็ดเลือดขาวเกิดความอักเสบหรือเกิดความเสื่อม ควรรับประทาน ผักผลไม้ ให้มากขึ้น โดยเฉพาะผัก(ปลอดสารพิษ) กินให้มากขึ้น กินให้มีความหลากหลาย กินผลไม้รองลงมาก (ไม่ควรกินผลไม้ที่มีรสหวานจัดและควรปลอดสารพิษ)

              3.ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ให้หลับมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเวลา 4 ทุ่ม ถึง ตี 2 เป็นช่วงเวลาทองของการนอนหลับ จงหลับอย่างมีประสิทธิภาพ

              4.นั่งสมาธิ สวดมนต์  เพื่อทำให้จิตใจให้เกิดความสบาย ซึ่งสามารถช่วยส่งเสริมการบำบัดและรักษาในข้อที่ 1

                  5.ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายเกิดความแข็งแรง

              6.มีการดีท็อกซ์ เอาสารพิษออกจากร่างกาย (กรณีที่รับคีโมหรือฉายแสงยังไม่ควรทำ) แต่หลังจากการรักษาโรคมะเร็งหายแล้ว ค่อยทำ ส่วนคนที่ไม่รับการรักษาตามแพทย์แผนปัจจุบัน ก็ควรรีบทำให้เร็วที่สุด เนื่องจากในร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งมีสารพิษมากจึงต้องรีบกำจัดออกให้เร็วที่สุด

              7.ดื่มน้ำ​บริสุทธิ์​วันละ 8 แก้วสำหรับคนปกติ และดื่ม 10 แก้วสำหรับคนป่วยโรคมะเร็ง

                  8.ออกไปตากแดดบ้างเป็นบางครั้ง เพื่อรับวิตามิน D. อย่างน้อยวันละ 10-20 นาที และ สูด​อากาศ​บริสุทธิ์​ อากาศสะอาดนอกบ้าน เพื่อรับออกซิเจนจากธรรมชาติ

              ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ ภูมิต้านทานของผู้ป่วยโรคมะเร็งมีเพิ่มขึ้น  อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม T-cell และ Nk-cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่ช่วยในการกำจัดและยับยั้ง เซลล์มะเร็ง อีกประการหนึ่ง เราต้องยอมรับก่อนว่า เราทุกคนมีเซลล์มะเร็งในร่างกาย แต่เรามีเซลล์ดีๆ เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว T-cell และ Nk-cell ค่อยกำจัดและยับยั้งเซลล์มะเร็ง แต่สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง เซลล์ดีๆ เหล่านี้ ได้เกิดการอ่อนแอและเกิดความบกพร่อง  จึงไม่สามารถไปกำจัดและยับยั้งเซลล์มะเร็ง เหมือนอย่างคนปกติ หรือ เหมือนในอดีตได้

              ดังนั้น การปฏิบัติรักษาและการบำบัดแบบองค์รวม จะทำให้เซลล์ดีๆ เซลล์เม็ดเลือดขาว T-cell และ Nk-cell เกิดความเข้มแข็ง และแข็งแรง แล้วสามารถไปกำจัดและยับยั้งเซลล์มะเร็ง ได้เหมือนกับร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบในอดีตที่ผ่านหรือเหมือนคนปกตินั้นเอง



             

             

สารพฤกษเคมี ต้านมะเร็ง

 

อินทรียสารและสารพฤกษเคมี ต้านมะเร็งและชะลอวัย

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

อินทรียสารและสารพฤกษเคมี มีมากในพืช เนื่องจากพืชจะอุดมด้วยใยอาหาร วิตามิน เกลือแร่ แล้ว พืชยังมีสารอาหารที่ นักวิทยาศาสตร์ เรียกว่า สารพฤกษเคมี (phytochemical) หรือ อินทรียสาร ซึ่งมีอยู่ในพืชหลากหลายชนิดที่มีอยู่ตามธรรมชาติ

อินทรียสารและสารพฤกษเคมี มีมากในเนื้อเยื่อใต้เปลือกหุ้มเมล็ด ในใจผัก และในเมล็ดพันธุ์ เป็นต้น ดังนั้นการกินผักสดและผลไม้สด จึงสามารถต้านเซลล์มะเร็งและช่วยชะลอความเสื่อมของวัยและร่างกายของเราได้  แต่ทั้งนี้ เวลาทานผักและผลไม้ เราคงต้องคำนึงถึงอะไรหลายอย่าง เช่น ผักและผลไม้ มีสารพิษปนมาหรือไม่ เพราะกระบวนการผลิตในปัจจุบันต้องใส่ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง อีกทั้ง กระบวนการทำอาหารหรือปรุงอาหารในปัจจุบัน ต้องทำให้สุกและต้องผ่านความร้อน จึงทำให้ เอนไซม์ วิตามิน เกลือแร่ สารอาหาร ตลอดจนอินทรียสารและพฤกษเคมีต้องสูญเสียและลดน้อยลงไปด้วย

การกินผักและผลไม้สด ปลอดสารพิษจึงเป็นหัวใจที่สำคัญในการป้องกัน รักษาโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ รวมทั้งช่วยซ่อมแซมเซลล์ต่างๆของร่างกาย การกินผักและผลไม้ ที่ปลอดสารพิษ โดยการนำมาสกัดเย็นหรือนำมาปั่น อย่างน้อยวันละ 4-6 แก้ว จะทำให้เซลล์ต่างๆในร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น สำหรับผู้ที่กำลังเจ็บป่วย อีกทั้งยังช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคต่างๆให้มีความแข็งแรงยิ่งขึ้นอีกด้วย

สำหรับการเลือกกินผักและผลไม้ เราควรมีความรู้และทำความเข้าใจในการเลือกกินผักและผลไม้ เพราะเราไม่สามารถกินผักและผลไม้ได้ทุกชนิด เพราะบางชนิด มีประโยชน์ต่อร่างกาย ต่อการรักษาโรค แต่ ผักและผลไม้บางชนิด มีพิษต่อร่างกาย อีกทั้งร่างกายของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน  เช่น หลายคนเป็นโรคเบาหวาน ก็ไม่ควรกิน ผลไม้ที่มีรสหวานจัดบ่อยๆ หรือ เราควรกินผักและผลไม้ที่มีวิตามิน C สูง ในช่วงที่เราเป็นโรคหวัดหรือโรคมะเร็ง เพราะจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน

แต่โดยรวม เราควรกินผักผลไม้ ให้หลากหลาย และหลายหลากสี อีกทั้งควรกิน ธัญพืชเต็มเมล็ด ถั่วและผลไม้เปลือกแข็ง เมื่อเรารู้ว่า ผักและผลไม้ รวมทั้งธัญพืช ดีอย่างนี้ พ่อแม่ทุกคน ควรปลูกฝังให้ลูกๆ กินผักผลไม้ให้เยอะขึ้น อีกทั้งควรลดอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกายหรือทำให้ร่างกายเสื่อม กล่าวคือให้กินน้อยลงหรือให้ลดอาหารต่างๆที่ทำให้ร่างกายเสื่อม เช่น อาหารแปรรูป,อาหารที่มีไขมันสูง,อาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์, อาหารที่ปรุงด้วยการ ปิง ย่าง ทอด ควรบริโภคให้น้อยลงหรือลดจำนวนลง

ทั้งนี้ แนวคิดการกินผักผลไม้ต้านมะเร็ง มีมานานแล้ว และในยุคปัจจุบันทำได้สะดวก สบายกว่าในอดีต เพราะเรามีตู้เย็น ตู้เย็นจะทำให้เราทุกคนกินผักผลไม้สดๆ ได้ทุกวัน เคยมีงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา สมัยหนึ่ง คนอเมริกาตายด้วยโรคมะเร็งกันมาก เนื่องจากคน อเมริกา ทาน เนื้อปิ้ง เนื้อทอดกันมาก ดูได้จากการทานสเต็กในอดีต จะไม่มีผักในจานของสเต็ก เลย ต่อมามีการใส่ผักสด ลงไปในสเต็ก ผลปรากฏว่า จำนวนคนป่วยเป็นโรคมะเร็งในสหรัฐอเมริกา มีจำนวนที่ลดลง โดยเฉพาะโรคมะเร็งที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและมะเร็งกระเพาะอาหาร

โดยสรุป เราสามารถกินหรือทานอาหารให้เป็นยาก็ได้ หรือ กินหรือทานอาหารให้เป็นพิษแก่ร่างกายก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกกินหรือเลือกทาน อะไร เข้าไป เพราะทุกคำที่เราทาน จะช่วยให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้น หรือ ทุกคำที่เราทาน อาจทำให้สุขภาพของเราอ่อนแอลงหรือเป็นโรคต่างๆได้