วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561

การแต่งกายแฟชั่นของ นักศึกษาและนิสิต

การแต่งกายแฟชั่นของ นักศึกษาและนิสิต หญิงในยุคปัจจุบัน
โดย..ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูดและนักเขียน

           ปัญหาเรื่องการแต่งกายตามแฟชั่นของนักศึกษา นิสิต โดยเฉพาะนักศึกษา นิสิตผู้หญิง ได้มีการพูดกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งถ้า นักศึกษา นิสิต ได้ มีการแต่งกายตามกฏระเบียบของสถานบันการศึกษาปัญหาเหล่านี้ก็คงหมดไป
สำหรับนักศึกษาและนิสิตหญิงมักมีการแต่งกายตามแฟชั่น กล่าวคือ นิยมสวมเสื้อนักศึกษาและนิสิตที่รัดรูปโชว์ส่วนสัด อีกทั้งมีการซื้อกระโปรงสั้นเอวต่ำมาใส่ ซึ่งปรากฏการแต่งกายของนักศึกษาและนิสิตหญิง  มีทั้งมหาวิทยาลัยรัฐและมหาวิทยาลัยเอกชน อีกทั้งยังทำให้เสียภาพลักษณ์ของประเทศในด้านวัฒนธรรม ขนาดฝรั่งต่างชาติ ยังได้มีการกล่าวถึงว่า ชุดนิสิต นักศึกษา หญิงของไทยเรา มีความเซ็กซี่มากเกินไป
ถ้าจะถามว่ารูปแบบของชุดเหล่านี้ ถูกต้องตามระเบียบการแต่งกายหรือ ยูนิฟอร์ม ในชุดนิสิต นักศึกษา ของมหาวิทยาลัยหรือไม่ ตอบว่า ไม่ถูกต้อง
        การแต่งกายตามระเบียบหรือ ยูนิฟอร์มของสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย วิทยาลัย ถือว่าเป็นการให้เกียรติแก่สถาบัน ให้เกียรติแก่ผู้สอน    เนื่องจากว่าทุกสถาบันได้มีการกำหนดยูนิฟอร์มไว้  
      อีกทั้งการที่นักศึกษาและนิสิตหญิงต้องการแต่งชุดตามแฟชั่นหรือแต่งกายตามเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน  จึงทำให้เกิดผลกระทบต่างๆตามมา เช่น  ปัญหาเรื่องสุขภาพ หลายคนยอมอดข้าวยอมอดอาหารเพียงต้องการผอม หุ่นดี เพื่อต้องการสวมใส่เสื้อติ้วให้สวย  ใส่กระโปรงให้ดูขาเรียวสวย
      การแต่งกายตามแฟชั่น ของนิสิต นักศึกษาหญิง ยังก่อให้เกิดคดีอาชญากรรมขึ้น เช่น การถูกข่มขืน การแอบถ่ายจากพวกโรคจิต ฯลฯ ซึ่งเคยมีคนไปสัมภาษณ์ผู้ชายส่วนใหญ่ บอกว่า ชอบมอง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย
      การที่กระทรวงวัฒนธรรม หลายยุคหลายสมัยก็เคยรณรงค์เรื่องนี้กันมาแล้ว เช่น คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและอดีตนายกสภามหาวิทยาลัยนเรศวร ก็เคยออกมารณรงค์เกี่ยวกับเรื่องนี้  
      แต่ถึงอย่างไรก็ตามวิธีการแก้ปัญหาของประเทศไทยเรา ชอบแก้ไขปัญหาตามกระแส พอกระแสแรงก็ลงมาแก้ไขกันทีหนึ่ง แต่พอกระแสหมด ทุกอย่างก็เหมือนเดิม เราจะเห็นว่า พอมีข่าวเกี่ยวกับการแต่งกายดัง
            กระทรวง ทบวง มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษา ก็ให้ความร่วมมือกันและณรงค์กัน
 เช่น ออกมาตรการต่างๆ รณรงค์การแต่งกายชุดนิสิต นักศึกษาโดยให้รุ่นพี่เป็นแบบอย่างรุ่นน้อง มีสโมสรนิสิต นักศึกษาช่วยดูแล จัดประกวดแต่งกายชุดนิสิต นักศึกษา มีป้ายรณรงค์ มีอาจารย์และหน่วยงานต่างๆ ในมหาวิทยาลัยดูแล หากแต่งกายไม่เหมาะสม จะไม่ให้เข้าเรียน ไม่ให้ติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ และมีบทลงโทษ เช่น ตักเตือน ตัดคะแนนความประพฤติ ส่วนชุดลำลองดูแลให้แต่งให้เหมาะสม บางแห่งมีการจัดเวทีเสวนาประชาสัมพันธ์โครงการและเวทีแถลงนโยบายการแต่งกายชุดนิสิต นักศึกษา ถูกระเบียบ ทำแผ่นปลิวจดหมายข่าวและโปสเตอร์เชิญชวนผลิตสปอตวิทยุ จัดบอร์ดรณรงค์การแต่งกายเคลื่อนที่ จัดทำสติ๊กเกอร์และที่คั่นหนังสือ จัดเวทีเดินแฟชั่นโชว์และการแสดงละครเวทีกลางแจ้ง ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้นิสิตระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัย ตระหนักถึงความสำคัญและหันมาแต่งกายถูกระเบียบเพิ่มมากขึ้น
      แต่พอกระแสหมด นักศึกษาและนิสิตหญิงก็ออกมาแต่งกายตามแฟชั่นดังเดิม   ซึ่งโดยส่วนตัวของกระผมการแต่งกายตามระเบียบของสถานบันการศึกษาที่เราศึกษาอยู่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นสิ่งที่ดี เป็นการให้แก่เกียรติสถาบัน ครู อาจารย์ และสร้างความปลอดภัยให้กับตัวนักศึกษาและนิสิตหญิงเอง อีกทั้งยังทำให้สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง เพราะไม่ต้องไปซื้อยาลดความอ้วนมาทานซึ่งผลกระทบในการทานยาลดความอ้วนมีมาก ยาบางตัวเป็นอันตรากับสุขภาพและมีราคาที่แพงอีกด้วย  การแต่งกายถูกระเบียบยังทำให้ตัวนิสิต นักศึกษา เกิดความภาคภูมิใจในสถาบัน และชุดยูนิฟอร์มของสถาบันตัวเองอีกด้วย



ฟัง คิด ถามและเขียน

จงเรียนรู้ด้วยวิธีการ ฟัง คิด  ถามและเขียน
โดย..ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูดและนักเขียน
มีงานวิจัยที่สำคัญๆหลายชิ้นได้เขียนไว้เกี่ยวกับการเรียนรู้ของคนเรา ว่าคนเรามีวิธีการเรียนรู้อย่างไรถึงจะได้องค์ความรู้ต่างๆ ซึ่งหลักการนี้ก็ได้ตรงกับพระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้ก็คือ  หัวใจนักปราชญ์ หรือหลายๆท่านมักใช้คำว่า  สุจิปุลิ
สุ ย่อมาจาก สุตต คือ การฟัง
จิ ย่อมาจาก จินตน คือ การคิด
ปุ ย่อมาจาก ปุจฉา คือ การถาม
ลิ ย่อมาจาก ลิขิต  คือ การเขียน
 สุ-สุตตหรือการฟัง จะทำให้เราได้รับความรู้ ข้อมูล แง่มุม ความคิดต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง บุคคลที่เป็นนักปราชญ์ มักจะเป็นคนที่ฟังมาก อ่านมาก แต่เนื่องจากยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลจึงมีมากมาย ฉะนั้น บุคคลที่ได้ชื่อว่านักปราชญ์มักจะเป็นคนที่มีการคัดเลือกข้อมูล ข่าวสาร ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมส่วนรวมมาฟัง มาอ่าน มาศึกษาค้นคว้าเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในตนเอง
 จิ-จินตนหรือการคิด การคิดมีความสำคัญมาก เมื่อได้รับข้อมูล จากการฟังและการอ่านแล้ว แต่คนๆนั้นไม่สามารถมีความคิดเป็นของตนเองได้ ได้แต่นำความคิดของบุคคลอื่นมาใช้ก็เปล่าประโยชน์ คนที่คิดไม่เป็นมักเป็นคนเชื่อคนง่าย ถูกหลอกได้ง่ายกว่าคนที่มีความคิดเป็นของตนเอง

 ปุ-ปุจฉาหรือการถาม เมื่อเกิดความสงสัย เมื่อเกิดความไม่เข้าใจ จึงต้องถาม แต่สังคมไทยมีปัญหาในเรื่องนี้อยู่มาก เด็กและผู้ใหญ่จำนวนมากมักไม่กล้าถาม อาจเป็นเพราะ อายเพื่อน กลัวครู อาจารย์ ความไม่กล้า ฯลฯ แต่แท้ที่จริงแล้ว การถามจะทำให้เราได้รับความรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้เพิ่มขึ้นอีกมาก
 ลิ-ลิขิตหรือการเขียน การเขียนมีประโยชน์หลายอย่าง การเขียนช่วยให้การคิดเป็นระบบขึ้น เพราะก่อนที่เราจะเขียนสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความ เรียงความ จดหมาย สารคดี นิยาย ฯลฯ เราจะต้องมีการคิดขึ้นมาก่อน ฉะนั้นการเขียนจึงเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาความคิดต่างๆของคนเราได้มาก อีกทั้งการเขียนยังช่วยพัฒนาความจำของคนเราด้วย จำดีกว่าจด แต่ถ้าจำไม่หมด ให้จดแล้วค่อยจำเป็นคำพูดที่เป็นความจริงมากทีเดียว เช่น ตอนเราเรียนหนังสือ หากว่าครู สอนที่หน้าชั้นในห้องเรียน หากเราไม่ยอมจดหรือเขียน จะใช้วิธีจำอย่างเดียว ก็อาจจะจำไม่ได้ทั้งหมด แต่คนที่มีหัวใจนักปราชญ์ เขาจะจดแล้วนำมาทบทวนอีกครั้ง เขาถึงสอบได้คะแนนมากกว่าคนที่ไม่ยอมจดหรือเขียน
 ดังนั้น หากใครสามารถปฏิบัติได้ทั้ง 4 ข้อ คือ สุจิปุลิ ท่านสามารถปฏิบัติได้ไม่ยาก ถึงแม้ท่านจะไม่ใช่นักปราชญ์ แต่กระผมเชื่อว่าชีวิตของท่านจะมีการพัฒนาไปได้เป็นอันมาก จงใช้เวลาในการฝึกฝนเรียนรู้และพัฒนา แล้วไม่แน่ในอนาคต ท่านอาจจะได้ชื่อว่าเป็น นักปราชญ์ที่มีผู้คนยกย่องคนหนึ่งก็ได้
           
ฟังให้มาก คิดให้เป็น หมั่นสอบถามและฝึกการเขียน จึงเป็นหัวใจของนักปราชญ์อย่างแท้จริง


ความสุขในการทำงาน

จงสร้างความสุขในการทำงาน
โดย..ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูดและนักเขียน

                ชีวิตของคนเราทุกคน ช่วงเวลาในการทำงานหรือชีวิตในวัยทำงาน ถือว่ามีความยาวนานที่สุดและถือว่าสำคัญที่สุด ดังนั้น จงทำงานอย่างมีความสุข สำหรับบทความนี้จะพูดถึงเทคนิคในการสร้างความสุขในการทำงาน ซึ่งมีดังนี้  
                          1.จงเริ่มต้นที่การมีมนุษย์สัมพันธ์  เราต้องยอมรับว่าในการทำงานทุกๆวันนี้ เราต้องร่วมทำงานกับคน  ฉะนั้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคลในที่ทำงานจึงมีความสำคัญต่อความสุขในการทำงาน เพราะถ้า มีเรื่องขัดแย้งกัน ทะเลาะกัน ก็จะเกิดปัญหาในเรื่องของความสัมพันธ์ขึ้น ก็จะทำให้การทำงานไม่มีความสุข  แต่ถ้าเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน เราก็อยากที่จะทำงานร่วมกัน ซึ่งจะทำให้งานของเราเกิดความราบรื่น
                        2.จงเริ่มงานด้วยความสดใส สดชื่น แจ่มใส  การเริ่มต้นทำงานทุกๆวัน ควรทำจิตใจให้สดชื่น คิดบวก พยายามไม่คิดลบ เพราะถ้าคิดลบ เราก็จะมองทุกอย่างในแง่ร้าย ซึ่งเมื่อจิตใจ เราเกิดความคิดร้าย ความเศร้า ความเฉยชา ก็จะเกิดขึ้นกับความสุขในการทำงานของเรา ดังนั้น จงเริ่มต้นการทำงานอย่างกระตือรือร้น ทำอารมณ์ให้แจ่มใส เบิกบานใจ  
3.จงทำงานอย่างสุขใจ ถ้าเราทำงานที่เรารัก เราชอบ ก็จะทำให้เราทำงานได้อย่างสุขใจ
แต่ตรงกันข้าม ถ้าเราไม่ชอบงานที่เราทำ เกลียดในการทำงานนั้นๆ  เราก็จะไม่มีความสุขในการได้ทำงานนั้นๆ ฉะนั้น จงค้นหางานที่เรารักหรืองานที่เราชอบ แล้วลงมือทำมัน
                        4.จงฝึกฝนและพัฒนาเรื่องของการ สื่อสาร  ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารด้วยการพูดและการเขียน เพราะการสื่อสารเป็นเครื่องมือในการประสานงานในการทำงาน  ซึ่งส่วนใหญ่เรามักเกิดปัญหาขึ้นภายในองค์กรก็เนื่องจากว่า เรามีปัญหาในการสื่อสารกัน จึงเกิดความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจ การเข้าใจผิดขึ้นภายในองค์กรหรือหน่วยงาน  เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งก็จะทำให้เราทำงานอย่างไม่มีความสุข
                        5.จงสนใจในงานที่ตนเองทำ  หลายคนไม่รู้ว่าตนเองชอบหรือรักในงานอะไร  แต่ก็มีงานทำหรือบางคนได้ทำงานในงานที่ตนเองไม่ชอบ ดังนั้น ทัศนคติและความคิดจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ตัวอย่าง เราอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตคู่กับคนที่เรารัก แต่เราอาจได้แต่งงานกับคนที่เราไม่รักแต่ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน  การปรับทัศนคติและความคิดจึงมีความจำเป็นในการใช้ชีวิตร่วมกัน  เช่นกัน การที่เราได้ทำงานที่ตนเองไม่ได้รัก แต่ก็ต้องทำ เราก็จะเกิดความเบื่อหน่าย สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือ ต้องทำใจให้รักมัน ชอบมัน แล้วท่านก็จะเกิดความสุขขึ้นในการทำงาน
                      6.จงสร้างบรรยากาศในห้องทำงาน โต๊ะ เก้าอี้ แฟ้มเอกสาร หนังสือ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน ควรเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และควรใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในการทำงานเพื่อให้การทำงานทำได้อย่างรวดเร็ว ลดความผิดพลาดในการทำงาน เกิดความสะดวกสบาย
7.จงขยันทำงานโดยใช้หลักการสม่ำเสมอ ดีกว่าทำงานหนักในช่วงแรกแล้วหยุดพัก  
เพราะบางคนทำงานหนักเพียงแค่วันสองวัน แล้วหยุดยาว ตรงกันข้าม การทำงานอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง จะได้ผลงานที่มากกว่า ดังตัวอย่างนิทาน เต่ากับกระต่าย  เต่าเดินอย่างสม่ำเสมอ  แต่ กระต่ายวิ่งแล้วนอนพัก เป็นต้น     
                        8.จงวางแผนหรือจงบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ บุคคลที่ประสบความสำเร็จควรสร้างความสมดุลในเรื่องของการใช้เวลาไปกับสิ่งต่างๆ ไม่ให้มีมากไปหรือน้อยไป เช่น แบ่งเวลาให้กับการทำงาน แบ่งเวลาให้แก่ครอบครัว แบ่งเวลาให้กับสังคม แบ่งเวลาสำหรับการพักผ่อน ฯลฯ
                    ข้อความข้างต้นเป็น ปัจจัยในการทำงานอย่างมีความสุข  ถ้าท่านนำเอาไปใช้ ปรับปรุงพัฒนาตนเอง กระผมเชื่อว่า ความสุขในการทำงานก็จะเกิดขึ้นภายในจิตใจของท่านผู้อ่านอย่างแน่นอน


วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

นำตนเองให้ได้เสียก่อนแล้วจึงนำผู้อื่น

จงนำตนเองให้ได้เสียก่อนนำผู้อื่น
โดย..ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูดและนักเขียน
 การจะเป็นผู้นำเราต้องนำตนเองให้ได้เสียก่อน แล้วเราจึงสามารถนำผู้อื่น ซึ่งผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ต้องมีคุณสมบัติบางอย่างที่ทำให้ผู้อื่นคล้อยตามได้  ซึ่งคุณสมบัติต่างๆที่ผู้นำมีเพื่อเป็นการนำตัวเอง มีดังนี้
 1.ผู้นำต้องมีเป้าหมาย แล้วสามารถอธิบายเป้าหมายของตนเอง เพื่อให้ผู้ตามได้รู้และให้เห็นภาพที่ชัดเจน ซึ่งต้องมีรายละเอียดต่างๆ ได้  การมีเป้าหมายเปรียบเสมือนทำให้ผู้นำคนนั้นมีทิศทางในการที่จะนำองค์การหรือนำทีมงาน เช่น ผู้นำตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะขยายกิจการให้ได้ 100 สาขาภายในหนึ่งปี หรือ มีเป้าหมายในการสร้างกำไรให้ได้ 1,000 ล้านบาทภายในหนึ่งปี
 2. ผู้นำต้องกล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะล้มเหลว ผู้นำที่ไม่กล้าเสี่ยง มันจะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่องค์กรจะเจริญเติบโตได้ก็เพราะการเปลี่ยนแปลง การที่ ผู้นำที่มีความระมัดระวังตัวมากจนเกินไปมักจะทำให้งานหรือองค์กรขับเคลื่อนได้ไปอย่างรวดเร็ว  ถ้าผู้นำไม่กล้าเสี่ยง ก็มักจะทำให้ลูกน้องไม่กล้าเสี่ยงหรือไม่กล้าคิดริเริ่มสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆเช่นกัน 
3.ผู้นำต้องจงสนุกกับชีวิตหรือสนุกกับการทำงาน  พวกเราลองคิดดูว่าคุณต้องการผู้นำในลักษณะใด ผู้นำที่ขี้บ่น เป็นคนอมทุกข์ เป็นคนหดหู่ คิดลบ หรือ ผู้นำที่มีลักษณะ ร่าเริง แจ่มใส มีความสนุกตื่นเต้น กระตือรือร้นในการทำงาน และคิดบวก แน่นอนคำตอบก็คือ เราต้องการผู้นำประเภทหลัง คือคิดบวก มีความสนุกสนานกับการทำงาน  ดังนั้น จงสนุกกับการทำงานและเต็มที่ เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นราวกับถูกไฟเผา แล้วผู้ตามก็จะรู้สึกถึงอารมณ์ การแสดงออกต่างๆของผู้นำเช่นเดียวกัน


4.ผู้นำต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง ความเชื่อมั่นในตนเองจะทำให้ผู้ตามเกิดความเชื่อมั่นตามไปด้วย เพราะถ้าผู้นำเกิดความไม่มั่นใจ สงสัย ลังเล จับจด เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ขาดการตัดสินใจที่เด็ดขาดหรือไม่กล้าตัดสินใจ ก็จะทำให้พนักงานหรือผู้ตามเกิดความไม่มั่นใจในการนำของผู้นำ 
5.ผู้นำต้องเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ตนเองและผู้ตาม ผู้นำกจะต้องสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่นหรือคนในองค์กรหรืคนในทีมให้ได้เสียก่อน เขาจึงจะถือได้ว่าเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพสูง จงสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นแก่ตนเองเพื่อไปกระตุ้นแรงบันดาลของผู้ตามหรือทีมงาน

          ฉะนั้น ถ้าท่านปรารถนาจะเป็นผู้นำ ท่านจะต้องนำตนเองให้ได้เสียก่อนที่จะนำผู้อื่น  ซึ่งถ้าท่านมีเป้าหมายในการทำงาน ท่านมีความกล้าที่จะเสี่ยง  ท่านมีชีวิตการทำงานที่สนุกสนาน ท่านมีความเชื่อมั่นในตนเอง และท่านมีความเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจ กระผมเชื่อว่าท่านจะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำองค์กรให้ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561

การพูดและการเขียนที่ดี

5 C เพื่อการพูดและการเขียนที่ดี
โดย..ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูดและนักเขียน
การพูดและการเขียน เป็นการสื่อสารของมนุษย์ที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นมากในการอยู่ร่วมกัน เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นคณะ จึงต้องมีการสื่อสารกันด้วยการพูดและการเขียนเป็นหลัก ในบทความนี้ขอนำเสนอเรื่อง “ 5 C เพื่อการพูดและการเขียนที่ดี
                C ที่ 1 Clear ชัดเจน การสื่อสารไม่ว่าจะด้วยการพูด การเขียน จะต้องเป็นการสื่อสารที่มีความชัดเจน เรียบง่าย มีความถูกต้อง  เมื่อสื่อสารออกไปแล้ว ผู้รับสารต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนหรือมีความเข้าใจที่ตรงกันกับผู้ส่งสารคือผู้พูดและผู้เขียน เพราะถ้าไม่มีความชัดเจน ก็อาจทำให้เกิดปัญหาความเข้าใจผิดตามมา
                C ที่ 2 Concise มีความสั้นกระชับ การสื่อสารที่ดีไม่จำเป็นจะต้อง เขียน ยาวๆหรือพูด ยาวๆ หรือต้องมีปริมาณมากๆ แต่การสื่อสารที่ดี ไม่ว่าการพูดหรือการเขียน ควรพูดหรือเขียนให้มีความสั้นกระชับ ตรงประเด็น อีกทั้งได้ใจความสำคัญว่าผู้ส่งสารต้องการอะไร แล้วทำให้ผู้รับสารทราบว่า ผู้ส่งสารต้องการอะไร มีหลายกรณีที่ผู้พูดหรือผู้เขียน อธิบายความยาวเกินไป หรือส่งสารเป็นปริมาณมากเกินไปจนทำให้ผู้รับสารไม่ทราบว่า เจตนาจริงของ ผู้พูดหรือผู้เขียน(ผู้ส่งสาร)มีความต้องการสื่อสารอะไร ฉะนั้น จงสื่อสารให้ผู้รับสารทราบว่าเราพูดถึงประเด็นอะไรเป็นหลัก(โดยให้ความสำคัญกับประเด็นหลัก) ไม่ควรให้ความสำคัญกับรายละเอียดที่มีมากจนเกินไปหรือให้ความสำคัญกับรายละเอียดที่ไม่มีความสำคัญมากจนเกินไป
                C  ที่ 3 Concrete สื่อให้มีความสร้างสรรค์ การสื่อสารที่ดีควรสื่อไปในลักษณะการสร้างสรรค์มากกว่าการทำลายกัน เพราะการสื่อสารในด้านบวกมักจะทำให้ผู้รับสารชื่นชอบมากกว่า การส่งข่าวสารออกไปในด้านลบ อีกทั้งการสื่อสารแบบสร้างสรรค์จะช่วยให้เกิดความรักความสามัคคีในหมู่คณะมากกว่าการพูดในเชิงทำลาย พูดเสียดสี พูดให้เกิดการแตกแยก พูดให้คนอื่นเกิดความทุกข์ใจ
                C  ที่ 4  Consider พิจารณาว่าการสื่อสารนั้นสามารถเป็นที่เชื่อถือสำหรับผู้รับสารหรือทำให้ผู้รับสารคล้ายตามได้หรือไม่ เพราะการสื่อสารหากต้องการได้รับความร่วมมือจากผู้รับสาร สารที่ส่งออกไปและผู้ส่งสารจะต้องทำให้ผู้รับสารเชื่อถือ ยอมรับตนเองให้ได้เสียก่อน  อีกทั้งตัวผู้ส่งสารหรือตัวผู้พูดหรือผู้เขียน ควรเป็นแบบอย่างที่ดีด้วยจึงจะทำให้ผู้รับสารเชื่อถือและปฏิบัติตาม เช่น ถ้าผู้พูดและผู้เขียนต้องการให้ผู้รับสารคือผู้ฟังและผู้อ่าน เลิกสูบบุหรี่  ตัวของผู้พูดและผู้เขียนต้องเลิกสูบบุหรี่ด้วยเพื่อเป็นตัวอย่างหรือเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ผู้รับสาร
                C ที่ 5  Complete มีความสมบูรณ์ครบถ้วน การสื่อสารที่ดี  สารที่ส่งควรมีความครบถ้วนสมบูรณ์เสียก่อน ที่จะส่งออกไปยังผู้รับสาร ดังนั้น ผู้ส่งควรต้องมีการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์มากที่สุด เช่นข้อความที่เขียน มีการเขียนผิดหรือเปล่า ต้องตรวจสอบให้ดีก่อนที่จะนำเอาออกไปเผยแพร่

ทั้งนี้ การสื่อสารที่ดี คือการพูดและการเขียน เป็นทั้ง ศาสตร์และศิลปะ กล่าวคือ เป็นศาสตร์ ท่านสามารถเรียนรู้ เข้ารับการอบรมได้ อ่านหนังสือได้ เข้ารับสัมมนาเพื่อพัฒนาตนเองได้ และเป็นทั้ง ศิลปะ กล่าวคือ ท่านสามารถประยุกต์หรือนำไปใช้ได้ ซึ่งแต่ละคนอาจมีความสามารถในการนำไปประยุกต์ใช้ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้แล้วแต่ สถานการณ์ การรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง เงื่อนเวลา สถานที่  ความต้องการของผู้รับสาร สิ่งเหล่านี้ผู้พูดและผู้เขียนต้องนำเอาไปวิเคราะห์เพื่อประสิทธิภาพในการสื่อสาร

จงให้ จงให้ ถ้าท่านต้องการความสำเร็จ

จงให้แล้วท่านจะประสบความสำเร็จ
โดย..ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูดและนักเขียน

                              “  มือของผู้ให้ย่อมอยู่เหนือมือของผู้รับ และจะเป็นสุขใจเมื่อเราได้เป็นผู้ให้
“ เราจงให้สิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อโลก และ ผู้อื่น แล้วเราก็จะได้สิ่งต่างๆตอบแทนกลับคืนมา”
       “  การเป็นผู้ให้จะทำให้เราลดความเห็นแก่ตัว การเป็นผู้ให้จะทำให้เราสามารถลดกิเลสในตัวเราลงได้
            คำกล่าวข้างต้นที่เกี่ยวกับคำว่า “ ให้  ”  มีความเป็นจริงอยู่มากทีเดียว          
       องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น ผูกไมตรี คือ สังคหวัตถุ 4  ได้แก่ 1. ทาน คือ การให้  2. ปิยวาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน 3. อัตถจริยา คือ การประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น  4. สมานัตตา คือ การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ  เราจะเห็นได้ว่า ทานหรือการให้ เป็นธรรมะข้อแรกสุด บุคคลที่เป็นผู้ให้มักเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว่าบุคคลที่เป็นผู้รับ ยิ่งท่านให้มากเท่าไรท่านก็ยิ่งประสบความสำเร็จและมีความสุขมากเท่านั้น  เช่น
                แอนโทนี่ ร็อบบินส์  นักพูดสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก ชาวสหรัฐอเมริการ มักบอกเสมอว่า เคล็ดลับของเขา คือ มุ่งความสนใจไปที่ความต้องการของผู้อื่น เขามักถามตัวเองบ่อยๆ ว่า เขาจะเพิ่มคุณค่าให้กับคนอื่นๆ ได้อย่างไร  เขาเพิ่มคุณค่าให้แก่ ผู้อื่นโดยการจัดอบรม สัมมนา โดยให้ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ แก่ผู้อบรม  เมื่อเขาให้แก่ผู้อื่นมากๆ จึงทำให้เขาร่ำรวยและได้รับความรู้เพิ่มมากขึ้น

                ผู้พันแซนเดอร์แห่ง KFC เขาต้องการให้คนได้กินไก่ที่อร่อยที่สุดในโลก ด้วยการมีความคิดบวกและด้วยหัวใจของการเป็นผู้ให้ เขาจึงได้ออกเร่ขายสูตรไก่ให้กับนักธุรกิจ แต่ก็ถูกปฏิเสธหรือได้ยินคำพูดว่า ไม่ เป็นจำนวนถึง 1,009 คน ก่อนที่จะได้ยินคำว่า ตกลง
                วอลท์ ดิสนีย์ เขาต้องการให้ผู้คนเกิดความสุข โดยเฉพาะเด็กๆ ด้วยหัวใจของการเป็นผู้ให้ เขาจึงสร้างสวนสนุกดิสนีย์ขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  เนื่องจากเขาต้องขอกู้หรือขอการสนับสนุนทางด้านการเงิน จากสถาบันต่างๆ ซึ่งเขาก็ถูกปฏิเสธถึง 302 ครั้ง แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ จนความฝันของเขาเป็นความจริงขึ้นมาได้ ก็เนื่องจากจิตใจที่เป็นผู้ให้โดยต้องการมอบความสุขให้แก่เด็กๆทั่วโลก
                ดังนั้น หากท่านสามารถให้คนอื่นได้มากเท่าไร หรือ ช่วยเหลือผู้อื่นได้มากเพียงใด หรือว่าท่านสามารถสร้างคุณค่าให้คนอื่นได้มากเท่าไร ผลตอบแทนก็จะกลับมาหาท่านในที่สุด
                ตัวอย่าง คนไม่มีบ้านอยู่  ท่านสร้างบ้านให้เขาอยู่ ท่านก็จะได้รับเงินเป็นค่าแรง ค่าตอบแทนในการสร้างบ้าน,คนไม่มีข้าวกิน ท่านปลูกข้าวให้คนกิน ท่านก็จะได้รับค่าตอบแทน เป็นต้น
                กล่าวคือ หากว่าผู้อื่นต้องการอะไร แล้วท่านสามารถตอบสนองหรือให้ในสิ่งที่ผู้อื่นต้องการได้ ท่านก็จะประสบความสำเร็จในที่สุด

การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2561

ท่านจะประสบความสำเร็จได้ด้วยการลงมือทำ

จงลงมือทำ.....แล้วท่านจะประสบความสำเร็จ
โดย..ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูดและนักเขียน
 คนเราหลายคนมีความคิดดีๆ มีคำพูดดีๆ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สิ่งแปลกๆใหม่ๆ แต่มีหัวใจเท่าไม้ขีดไฟ  ไม่มีความกล้าหาญในการที่จะลงมือทำ  ดังนั้น ความคิดดีๆ คำพูดดีๆ จึงเป็นแค่ความคิด ไม่สามารถจับต้องได้ ความคิดก็อยู่แค่ในอากาศและสายลม แต่คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เขาจะทำ ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ไม่ประสบความสำเร็จ เขาจะลงมือทำ
             สำหรับการที่คนเราไม่ยอมลงมือทำ  น่าจะมาจากหลายสาเหตุดังนี้  กลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์, กลัวคนไม่ชอบ ,กลัวถูกตำหนิ อาย มีความไม่มั่นใจในตนเอง กลัวความล้มเหลว เป็นต้น
          ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับการไม่ ททท.หรือทำทันที
1. ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น  กระผมมีอาชีพเป็นวิทยากร  เมื่อบรรยายเสร็จแล้ว มักจะเหลือเวลาสัก 5-10 นาที เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้สักถาม แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครกล้าถาม ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จจงกล้าที่จะถามหรือแสดงความคิดเห็นเป็นคนแรกให้ได้
2. ไม่กล้านั่งแถวหน้าสุด ไม่กล้าเป็นผู้นำ  ในการประชุม ในการอบรม สัมมนา ในแต่ละครั้ง กระผมได้มีโอกาสได้เข้าร่วม  กระผมสังเกตเห็นว่า คนมาก่อนมักนั่งหลัง คนมาหลังมักนั่งหน้า เพราะไม่มีที่ด้านหลังให้นั่งแล้วจึงต้องจำใจนั่งด้านหน้า หากท่านอยากเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ จง ทำทันที(ททท.) จงเข้าไปนั่งด้านหน้าสุดทุกๆการประชุม
3. ไม่กล้าทำอะไรเนื่องจากแคร์สายตาหรือคนรอบข้างมากจนเกินไป จึงทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ดังนั้นจงลงมือทำ อยากไปแคร์สายตาคนรอบข้างถ้าหากว่าท่านทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ผิดกฎหมาย หลายคนมีโอกาสในการทำสิ่งต่างๆอย่างสร้างสรรค์ แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ไปแคร์สายตาของคนรอบข้าง จึงทำให้พลาดโอกาสที่สำคัญๆ ไป

            4.ไม่มีจังหวะในการลงมือทำ หลายๆ คน ต้องรอดูจังหวะ รอดูดวง การรอจังหวะมากจนเกินไป ทำให้เกิดผลเสียคือ เขาจะไม่ยอมลงมือทำหรือลงมือปฏิบัติ หากต้องรอให้พร้อม 100 % ก็คงไม่ต้องทำอะไร
5.ไม่ต้องการท้าทายแต่ต้องการความมั่นใจ หลายคนไม่กล้าลงมือทำทันที(ททท.) เนื่องจากกลัวเรื่องของความมั่นคง หลายคนไม่มีความสุขในการทำงานหรืออยู่ภายในองค์กรนั้นๆ แต่ก็ไม่กล้าลาออกเพื่อไปเริ่มงานใหม่ก็เนื่องจากกลัวความมั่นคง ปลอดภัย ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็เคยเป็นมาก่อน จนสุดท้ายต้องตัดสินใจลาออกจากงานประจำ(งานที่มีเงินเดือนประจำ) แล้วผู้เขียนจึงได้พบเจอกับคำว่า อิสระ การไม่ยึดติดกับสภาพปัจจุบันปล่อยให้ไหลไปตามธรรมชาติแล้วว่ายตามมันไป

 โดยสรุป คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ในหน้าที่การงาน ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ไม่ยอมลงมือทำทันที(ททท.) ความลังเลสงสัย ความไม่กล้า ความอาย เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวคุณเองเพื่อที่จะเดินทางไปสู่ความสำเร็จ จง ทำทันที(ททท.)เพราะความกลัวทำให้ท่านเสื่อม ถ้าท่านมีความกล้าและลงมือทำทันที ท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ