วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ใครกำหนดชีวิตของคุณ

 

ใครกำหนดชีวิตของคนเรา

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

 

มีคนบางคนบอกว่า “ ฉันไม่มีโอกาส ฉันไม่มีทางเลือก ฉันมันไม่มีความสามารถ !"

 

แต่จริงๆแล้ว เราสามารถกำหนดชีวิตของเราเองได้ เราสามารถเลือกทางเดินของเราเองได้ เราสามารถพัฒนาความสามารถของเราได้  เพราะเราสามารถกำหนดมันได้ เรามีทางเลือก!!

 

จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและจงกล้าที่จะกำหนดชีวิตของเราเอง

คนเราหลายคนในโลกนี้ ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอย่างหลับใหล ปล่อยให้เป็นไปตามความเคยชิน ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ เบื่อๆ หน่ายๆ

 

กล่าวคือ คิดแบบเดิม ทำแบบเดิม ชีวิตก็เลยเป็นแบบเดิม

 

จงกำหนดชีวิตของเราใหม่ จงเริ่มต้นวันนี้...เลยยิ่งดี

เพราะเราทุกๆคนมีสิทธิที่จะเลือกเราจะเลือกคบเพื่อนคนใดก็ได้หรือไม่คบคนใดเลยก็ได้

เราจะเลือก ยิ้มแย้ม หรือ หน้าบึ้ง ก็ได้

เราจะเลือกที่จะเป็นคนที่ขยัน หรือ เป็นคนที่ขี้เกียจก็ได้

เราจะเลือกที่จะเป็นคนที่มุ่งมั่น ทะเยนทะยาน หรือ เป็นคนที่ท้อแท้ท้อถอย ก็ได้

เราจะเลือกที่จะเป็นคนที่มีน้ำใจ  หรือ เราจะเลือกเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ก็ได้

เราจะเลือกเป็นคนที่คิดบวกหรือคิดลบ ก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวเรา

 

หลายคนฟังมาถึงตรงนี้ บอกว่าเลือกแล้วปวดหัว อ่านแล้วปวดหัว ฟังแล้วปวดหัว ขอไม่เลือกได้ไหม คำตอบคือ ได้ แต่ชีวิตของเราก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เราก็จะดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ คิดแบบเดิมๆ

แต่ถ้าเราเลือก ลองนึกภาพดู เราก็จะมองเห็นว่า เราจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น มีการพัฒนาตนเองไปในทางที่ดีขึ้น

 

จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง จงกล้าที่จะเลือกทางชีวิตของเราไปในทางที่ดีขึ้น และจงรับผิดชอบชีวิตของเราเอง

อย่าปล่อยให้โชคชะตาเป็นผู้กำหนด เราต้องพยายามให้ถึงที่สุดก่อน เราต้องควบคุมชีวิตของเราก่อน

สุดท้ายนี้อยากฝากคำพูดของนักปราชญ์ในอดีตว่า

 

 อันใครเหล่ากำหนดชีวิตข้า

ใช่เทวาดาดฟ้า อะไรหนา

ตัวข้านี้กำหนดมันมา

ชั่วดีหนาเกิดจากกรรม ข้าทำเอง 

 

สรุป คุณจะเลือกกำหนดชีวิตของคุณเอง หรือ ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

จงรวบรวมความกล้า เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ

                                              จงรวบรวมความกล้า เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ 

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

 

                     หากต้องการความสำเร็จ เราต้อง กล้าที่จะคิด กล้าที่จะลงมือทำ กล้าที่จะเดินผ่านเส้นทางของอุปสรรค แล้วถามว่า คนที่ประสบความสำเร็จทุกๆคน เขาไม่มีความกลัวหรือ คำตอบคือ เขามี ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ที่จะต้องมีอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดต่างๆ แต่คนที่ประสบความสำเร็จ เขามีความกลัวก็จริง แต่เขาก็ลงมือทำหรือกล้าที่จะทำ ทั้งๆที่มีความกลัว

 

                     พวกเราเคยดูหนังสงครามไหม?  ไม่ว่าสงครามของประเทศไหน?  ถ้าถามว่า ทหารกลัวตายไหม คำตอบก็คือ กลัวตาย แต่ก็ต้องออกรบ ออกรบทั้งที่ยังกลัว ถูกต้องไหมครับ เพราะฉะนั้นบุคคลที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะเป็นที่กล้าหาญ  ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จ เราก็ควรฝึก ความกล้าหาญ

 

                     คนหลายคนเป็นคนขี้อาย ไม่กล้า ลุกขึ้นยืนเพื่อพูดนำเสนอ สินค้า  ไม่กล้าพูดต่อหน้าที่ชุมชน ไม่กล้ายืนสอน ไม่กล้าแสดงออก แต่คนที่เป็นนักพูด เป็นวิทยากร ลองไปถามเขา เขามีความกลัวไหม คำตอบคือตอนฝึกใหม่ๆ หลายคนมีความกลัว แต่ก็ต้องออกไปพูด ไปสอน ทั้งๆที่มีความกลัว แม้แต่นักพูดหรือวิทยากรมืออาชีพ ที่ผ่านการพูดมามาก บางครั้ง บางเวที ก็จะมีอาการกลัว อาการประหม่าอยู่เหมือนกัน ดังนั้น จงกล้าที่จะออกไปพูด จงกล้าที่จะออกไปสอน ห้องหน้า ทั้งๆที่ยังกลัว แล้วท่านจะพัฒนาตนเองให้เกิดความกล้าหาญมากยิ่งขึ้น

 

                        ไม่ต้องยกตัวอย่างไกลๆ ยกตัวอย่าง เช่นกระผมเอง ตอนฝึกพูด ฝึกสอนใหม่ๆ เกิดความกลัวมากๆ บางเวที ปวดท้อง ปากชา มือสั่น ขาสั่น ปากสั่น ตาลอย ไปเลยก็มี เกิดความประหม่า เกิดความกลัวมากๆ แต่พอฝึกฝนไปมากๆ ความกลัวก็จะลดลง เกิดอาการชินเวที เกิดความกล้าหาญ เกิดความมั่นใจในตนเองมากยิ่งขึ้น

 

                    หากท่านอยากฝึกความกล้า ท่านลองใช้เทคนิค การเปลี่ยน Mindset  ดังนี้

 

1.พูดกับตัวเอง ให้กำลังใจตนเอง ด้วยพลังแห่งคำพูด(Power words)  เช่น ฉันทำได้ ฉันมั่นใจ ฉันกล้าหาญ(ซึ่งแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันหรืออาจจะแตกต่างกันก็ได้ เราต้องคิดมันขึ้นมาเอง)

 

2.พูดกับตัวเองบ่อยๆ (ฉันทำได้ ฉันมั่นใจ ฉันกล้าหาญ) ทุกๆวัน วันละหลายๆครั้ง สม่ำเสมอ

 

3.จงจินตนาการว่า เราออกไปพูดให้คนเป็นพันๆ คนฟัง ด้วยความมั่นใจ ถ้าจินตนาการไม่ได้ ก็หารูปนักพูดระดับโลกหรือระดับประเทศที่เราชื่นชอบ ติดไว้ที่ผนังบ้านแล้วดูมันบ่อยๆ

 

                    ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จ เราต้องฝึกความกล้าหาญ ให้มากขึ้น ฝึกฝนให้บ่อยขึ้น ฝึกฝนเป็นประจำแล้วเราจะเกิดความเคยชิน  การฝึกความกล้าหาญจะทำให้ความกลัวของเราลดน้อยถอยลง เกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น จงวางเป้าหมาย จงออกแบบความฝัน แล้วกล้าหาญที่จะลุยหรือลงมือทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายหรือความฝัน แล้วท่านก็จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ

 

 

 


 

 

 

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ความกลัวทำให้เสื่อม

  ความกลัวทำให้เสื่อม  

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com


ความกลัวทำให้เกิดความไม่มั่นใจ  ความกลัวทำให้ไม่กล้าที่จะริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ หรือกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง 


หลายคนกลัวการพูดต่อหน้าที่ชุมชน ซึ่งคนส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้มีการฝึกฝนหรือฝึกการพูดบ่อยๆ ก็อาจจะเกิดอาการประหม่า กลัว ไม่กล้า ไม่มั่นใจในตนเอง   แต่เราสามารถเอา ชนะความกลัวได้ สร้างความมั่นใจในตนเองได้หลายวิธี แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือ การเปลี่ยน Mindset ของเราเอง เรามีวิธีเปลี่ยน Mindset ได้หลายวิธี เช่น


1.พูดกับตัวเอง ให้กำลังใจตนเอง ด้วยพลังแห่งคำพูด(Powerword)  เช่น 

ฉันมีพลัง ฉันทำได้ ฉันเก่งที่สุด ฉันมั่นใจในตนเอง ฉันร่ำรวยเงินทอง ฉันพูดภาษาอังกฤษได้ ภาษาอังกฤษง่ายมากสำหรับฉัน  


(คือเราต้องการอะไร เราก็คิดหาคำพูดหรือประโยคต่างๆที่เราต้องการจะเป็น หรือต้องการได้ ซึ่งแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน)


สำหรับผมเอง ตอนเริ่มต้นในอาชีพวิทยากรหรือนักพูดใหม่ๆ กระผมมีคำพูดที่เป็นพลังคำพูดของตนเองว่า “ ใครเต็มที่ไม่เต็มที่ไม่รู้ เราเต็มที่ไว้ก่อน ” พูดเสร็จ ก็ขึ้นเวทีพูดหรือลงมือทำ Take Action ทันที !!!


2.พูดกับตัวเองบ่อยๆ กล่าวคือ หาพลังแห่งคำพูดเป็นของตนเอง แล้วพูดประโยคนั้นบ่อยๆ กับตัวเอง เช่น ฉันทำได้ ฉันพูดภาษาอังกฤษได้ ภาษาอังกฤษง่ายมากๆ กล่าวคือ เมื่อเราพูดกับตัวเองบ่อยๆ เราก็จะโปรแกรม Mindset ของเราใหม่ แล้วคำพูดเหล่านี้ก็จะทดแทน Mindset เก่าที่เรามีอยู่


3.จินตนาการ จินตนาการ ว่าเราเป็นสิ่งนั้นจริงๆ เช่น หลายคนต้องการมีบ้านใหญ่ๆ มีรถสวยๆ มีเงินทอง เราก็ต้องจินตนาการว่าเรามีสิ่งนั้น หากใครไม่ได้ฝึกการจินตนาการหรือเป็นคนที่จินตนาการได้ยาก กระผมมีข้อแนะนำ ขอให้ท่านหารูปภาพเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านต้องการติดไว้ผนังบ้าน เช่น รูปบ้านใหญ่ๆ  รถรถสวยๆ เงินทองจำนวนที่อยากได้ แล้วดูมันบ่อยๆ หรือหลายคนต้องการเป็นนักพูดหรือวิทยากรระดับประเทศ ก็ต้องฝึกการจินตนาการบ่อยๆ หรือหารูปนักพูดหรือวิทยากรคนที่เราต้องการจะเป็น(ต้นแบบหรือแบบอย่างของเรา) ติดไว้ข้างผนังห้องนอน แล้วดูมันบ่อยๆ


4.ข้อสุดท้ายสำคัญมากๆ จงลงมือทำมัน ให้บ่อยๆ ให้ถี่ๆ และอย่างสม่ำเสมอ จงพูดกับตัวเอง ด้วยประโยคพลังแห่งคำพูดบ่อยๆ จงจินตนาการถึงมันทุกๆวัน ดูภาพข้างผนังทุกๆวัน วันละหลายๆครั้ง ยิ่งถ้าฝึกใหม่ๆ จำเป็นจะต้องทำบ่อยๆ มากๆ เข้าไว้ แล้วต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ด้วย จึงจะเกิดผลลัพธ์ดังที่ตั้งใจไว้


ดังนั้น ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ เราก็ต้องดูความคิด การกระทำ การทำงานของคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วเราก็ต้องทำตามคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วเราก็จะประสบความสำเร็จ ถูกต้องไหมครับ จงหาแบบอย่าง แล้ว คิด พูด ทำ แบบคนที่ประสบความสำเร็จหรือบุคคลต้นแบบของเราหรือคนที่เราต้องการจะเป็นในอนาคต



 



กล้าเปลี่ยนแปลง ต้องเปลี่ยนแปลง

                                                      กล้าเปลี่ยนแปลง ต้องเปลี่ยนแปลง 

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com



คนเราจะเจริญก้าวหน้าก็ด้วยการเปลี่ยนแปลง  ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงเราก็จะล้าหลัง



 จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง คนบางคนกลัวการเปลี่ยนแปลงมาก ไม่กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ เคยชินแต่เรื่องเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ทรงผ้า การแต่งหน้า รองเท้า หรือแม้แต่ระบบในการทำงาน

 โลกของเราจะก้าวหน้า ต้องกล้าที่จะเผชิญสิ่งใหม่ๆ  ในอดีต ถ้านักวิทยาศาสตร์ไม่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เราก็จะไม่ได้พบกับความสะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน เช่น หลอดไฟฟ้าดวงแรก ถ้าไม่มีใครคิดค้น เราก็ยังไม่มีไฟฟ้าได้ใช้กันเช่นปัจจุบัน



การออกไปเผชิญกับสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยได้ทำ มันอาจจะฝืนตัวเองในช่วงแรกๆ แต่ถ้าเราทำไปแล้ว เราจะพบกับสิ่งใหม่ๆ ทำให้เราสนุกกับชีวิตมากขึ้น ตื่นเต้น แต่ถ้าเรายังทำแบบเดิมๆ ปิดกั้นตัวเองอยู่ใน Comfort Zone เราก็จะเบื่อหน่าย ท้อแท้กับการใช้ชีวิต



              เช่นกันในการทำงานถ้าเราต้องการเลื่อนตำแหน่งหรือได้รับเงินเดือนขึ้น เราก็ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวของเราเอง  เช่น ต้องทำงานมากขึ้น เรียนรู้ระบบให้มากขึ้น คิดให้มากขึ้น ขยันทำงานให้มากขึ้น  เพราะถ้าเราไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่พยายามก้าวไปข้างหน้า เราก็จะย่ำเท้าอยู่กับที่.



กระผมเคยไปบรรยายที่บริษัทเครือข่ายแห่งหนึ่ง หัวข้อ “ จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ” หลังจากนั้นหลายเดือนต่อมา ก็ได้เจอกับผู้จัดการสำนักงานใหญ่ เขาบอกว่า ผมทำเขาเดือดร้อน ผมเลย “ งง ”(ทำหน้าตา งง) เขาอธิบายว่า หลังจากที่  ผมบรรยายให้กับบริษัทฯ ของเขาได้ไม่นาน ปรากฏว่า คนขับรถประจำตำแหน่ง ได้ลาออกไป ผมถามต่อว่า “ ลาออกไปไหนครับ” เขาบอกว่า ลาออกไป สมัครเป็น นักธุรกิจเครือข่าย เต็มตัว เขาบอกว่าเป็น คนขับรถได้แต่เงินเดือนอย่างเดียว ไม่พอเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัว และเขายังได้บอกกับผู้จัดการสำนักงานใหญ่ว่า ถ้ามีโอกาสเจอ ผม จะขอ “ ขอบคุณ ” ที่ผมได้บรรยายในวันนั้น จนทำให้เขากล้าที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา



              ตอนนี้ อดีตคนขับรถของเขา(ผู้จัดการสำนักงานใหญ่) มีเงินมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น ได้ไปเที่ยวที่ต่างประเทศบ่อยขึ้น แต่ผม(ผู้จัดการสำนักงานใหญ่) ต้องหาคนขับรถคนใหม่  ดังนั้น จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เพราะถ้าคนขับรถ ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ก็คงยังจะเป็นคนขับรถได้เงินเดือนต่อไป  



              ดังนั้น ถ้าต้องการประสบความสำเร็จ ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ต้องกล้าที่จะออกมาจาก Comfort Zone เพื่อเอาศักยภาพในตัวของเราออกมาใช้ให้มากขึ้น



คนเราจะเจริญก้าวหน้าก็ด้วยการเปลี่ยนแปลง  ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงเราก็จะล้าหลัง



วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน

 

สร้างความสำเร็จ โดยการเปลี่ยนสิ่งนี้...... 

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

ความคิดของคนเรามองไม่เห็น   รากของต้นไม้มองไม่เห็น  แต่มีความสำคัญเป็นอันมาก

คนจะประสบความสำเร็จอยู่ที่ความคิด ต้นไม้ที่แข็งแรง สมบูรณ์ ออกดอก ออกผลดกๆ นั้นอยู่ที่ราก เพราะรากจะดูดซับ อาหาร น้ำ ปุ๋ย ไปยัง ผล  คนที่ประสบความสำเร็จก็เช่นกัน อยู่ที่ความคิด

แล้วคนที่ประสบความสำเร็จเขาคิดอย่างไร และเราอยากประสบความสำเร็จ เราต้องคิดอย่างไร คำตอบก็

คือ ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ เราต้องคิดแบบคนที่ประสบความสำเร็จ นั่นเอง

ชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จเราอาจเห็น เขามีบ้านใหญ่ๆ มีรถยนต์สวยๆ มีเงินทองมากมาย นี่เป็นสิ่งที่

เรามองเห็น แต่จริงๆแล้ว สิ่งที่สำคัญและควรเข้าไปศึกษาและเลียนแบบก็คือ ความคิด ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าของคนที่ประสบความสำเร็จต่างหาก

ความคิด   ไปสู่   อารมณ์ความรู้สึก  ไปสู่  การกระทำ   ไปสู่   ผลลัพธ์

ตัวอย่างเช่น 

 คิดบวก  ไปสู่   อารมณ์ความรู้สึกบวก  ไปสู่ การกระทำบวก ไปสู่ ผลลัพธ์บวก(ประสบความสำเร็จ)

ตัวอย่างเช่น

คิดแบบเศรษฐี ไปสู่ อารมณ์ความรู้สึกแบบเศรษฐี ไปสู่ การกระทำแบบเศรษฐี ไปสู่ การเป็นเศรษฐี

 

ดังนั้น ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ เราต้องเปลี่ยนที่ ความคิด ของเราก่อน  ถ้าอยากร่ำรวย จงคิดแบบ

คนที่ร่ำรวย ถ้าอยากมีความสุข ต้องคิดแบบคนที่มีความสุข ถ้าอยากพัฒนาตนเอง จงคิดแบบคนที่พัฒนาตนเองที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาตนเอง จงหาแบบอย่าง

                             หลายคนมักจะมาบ่นกับผมว่า ทำไม ชีวิตของเขาไม่ไปถึงไหน เบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิต ถ้าอยากเปลี่ยนแปลง เราต้องคิดต่าง ชีวิตจึงเปลี่ยนแปลง คนที่มีความสุข กับ คนที่มีความทุกข์ เขาคิดกันอย่างไร ถ้าเราเป็นคนที่มีความทุกข์ แบกทุกข์ ลองไปศึกษาความคิดของคนที่มีความสุขในชีวิตแล้วลองเปลี่ยนความคิดดู แล้วคุณก็จะมีความสุขมากขึ้น (ไม่เชื่อลองทำดู)

                             หลายคนเชื่อว่า ตัวเองเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วคนเราทุกๆคน เปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามีความมุ่งมั่น ปรารถนาที่จะเปลี่ยน หลายคนรอคอยโอกาส แต่คนที่ประสบความสำเร็จจะเดินเข้าไปหาโอกาส (อย่ารอให้ภูเขาเคลื่อนมาหาเรา แต่เราจะเดินเข้าไปหาภูเขา)

                             หลายคนเมื่อประสบปัญหาและอุปสรรค จะท้อแท้ ท้อถอย ไม่สู้ แต่คนที่ประสบความสำเร็จเขาจะคิดต่าง เขาจะคิดว่า ปัญหาและอุปสรรค จะล่อหลอมให้เขาเป็นคนเข้มแข็งอดทน เพราะถ้าชีวิตไม่มีปัญหาและอุปสรรค เราก็จะไม่ก้าวหน้า และเติบโต

และคนที่ประสบความสำเร็จเขาจะมองทุกอย่างในแง่บวก เพราะการคิดในแง่บวก จะทำให้เราเกิดพลัง เกิด

การอยากลงมือทำ เกิดการกระตือรือร้น แต่ตรงกันข้าม ถ้าเรา คิดในแง่ลบ เราจะหมดพลังหรือพลังของเราจะค่อยๆลดลง

                             ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จ จงคิดแบบคนที่ประสบความสำเร็จ

                                      ถ้าอยากมีความสุข จงคิดแบบคนที่มีความสุข

                                      ถ้าอยากมั่งคั่งร่ำรวย ก็จงคิดแบบคนที่มั่งคั่งร่ำรวย




วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

อัจฉริยะบุคคล จินตนาการสำคัญกว่าความรู้


 

อัจฉริยะบุคคล จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ 

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อัจฉริยะบุคคล

                             จินตนาการสำคัญกว่าความรู้  (agination is more important than Knowle) เป็นประโยคที่มักมีคนนำเอาไปอ้างอิงเป็นจำนวนมาก เป็นวรรคทองที่ทรงพลัง ซึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นคนพูดไว้ อีกทั้งยังเป็นบุรุษที่คิดค้น ทฤษฎี

สัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกและส่งผลกระทบกับโลกอย่างมากมาย ในบทความนี้ เราลองมารู้จัก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กัน

             อัลเบิร์ตไอน์สไตน์ เป็นอัจฉริยะบุคคลที่สำคัญคนหนึ่งของโลก เขาไม่ค่อยชอบการเรียนอยู่ในห้องเรียนหรือในชั้นเรียน แต่เขาชอบเรียนรู้ด้วยตนเอง เขาชอบอยู่อย่างเงียบๆ  เพื่อคิด คำนวณ อ่าน เขียน ภายในห้องของเขา ด้วยความเป็นนักจินตนาการ  เขาเคยกล่าวว่า "ท้องฟ้าคือห้องเรียนอันกว้างใหญ่ไพศาลของเขา” มีคนเป็นจำนวนมากอยากทราบเรื่องของ “มันสมองของเขา” ว่าทำไมสมองของเขา จึงฉลาดและแตกต่างจากคนทั่วไป  ซึ่ง ไอน์สไตน์...ได้บอกว่า...มันสมองของเขาไม่ได้มีความแตกต่างจากคนทั่วไป...แต่ว่าสิ่งที่แตกต่างกันมันเป็นเรื่องของ “วิธีการใช้มันสมองต่างหาก”

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ ศ 2422 ในเมืองคูล์ม รัฐเวิร์ทเทมแบก ประเทศเยอรมัน มี

บิดาชื่อ แอร์มันน์ เป็นนักธุรกิจ ส่วนมารดาชื่อ เพจลีน เขามีน้องสาวหนึ่งคนชื่อ มาริยา เมื่อตอน 4 ขวบ เขาได้เรียนหนังสือกับ

ครูสตรีคนหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่เขาได้จ้างให้มาสอนถึงที่บ้านเขาเข้าโรงเรียนโฟล็ก ซูลเลอ ตอนอายุ 7 ขวบ(โรงเรียนของรัฐบาล)ผลการเรียนดี หลังจากนั้นก็เรียนต่อในระดับมัธยม หลังจากนั้นครอบครัวของเขาก็ต้องย้ายไปอยู่เมืองมิลาน ประเทศ

อิตาลี เนื่องจากปัญหาด้านการทำธุรกิจของครอบครัว  เขาได้ไปอยู่กับญาติในเมืองมิวนิก ต่อมาเขารู้สึกเหงาและคิดถึงครอบครัวที่ทำธุรกิจที่อิตาลี เขาจึงได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับครอบครัวของเขาที่อิตาลี ต่อมาเดือนตุลาคม พ.ศ. 2438 ขณะที่เขามีอายุ 16 ปี เขาสอบเข้าเรียนในสถาบันเทคโนโลยีโพลีเทคนิคในเมือง ทั้งๆเขามีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ 2 ปีเนื่องมาจากว่าเขามีไอคิว ความเฉลียวฉลาดล้ำเลิศเกินกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน เขาเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี และก็สอบวิชาสามัญคือ ภาษาเยอรมัน วรรณคดี ประวัติศาสตร์ และการเมือง แต่เขาไม่ชอบเรียนวิชาสามัญ จึงทำให้เขาสอบไม่ผ่าน เรื่องนี้ทำให้เขา ไม่มีความสุข ท้อ เบื่อหน่าย เป็นอันมาก (อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ว่า  “อย่าตัดสินความสามารถของปลา เพียงเพราะมันปีนต้นไม้ไม่ได้” )

 

                                   ปี ค.ศ. 1901 ถึงปี 1904 เขาได้เริ่มเขียนบทความที่เกี่ยวกับทางด้านวิชาการทางฟิสิกส์ และได้ส่งบทความลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการฟิสิกส์ หลายแห่งโดยทำอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก จนกระทั่งปี ค ศ 1905 (พ ศ 2448) เขามีอายุเพียง 26 ปี เขาได้ส่งไปอีก 5 ฉบับ ฉบับหนึ่ง ได้รับสนใจอย่างมากมาย โดยในเนื้อหาของบทความกล่าวถึง  ทฤษฎีพิเศษ ซึ่งว่าด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพ ทำให้เกิดการจุดกระแสนิยมของนักวิทยาศาสตร์อย่างมากมาย โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลอง ทดสอบทฤษฎีนี้  แล้วออกมาดีและมีเหตุผล เป็นไปได้ ทำให้เขาได้รับการยอมรับ ความโด่งดังของเขามีคนเทียบได้กับนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญๆ ในอดีตที่มีไม่กี่คน เช่น นิวตัน กาลิเลโอ ,จอห์น ดาลตัน เป็นต้น

                                   E = me ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ทฤษฏีอัจฉริยะที่ทำให้ชาวโลกต้องตะลึง 

เนื่องจากประเทศอเมริกาได้ใช้สูตรนี้ในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ แล้วนำเอาไปใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนได้รับชัยชนะ

ต่อมามีการปรับนำเอาไปใช้เป็นไฟฟ้าขับเคลื่อนการขนส่งขนาดหนัก เช่นเรือเดินสมุทรฆนาดใหญ่ และอื่นๆ อีกมากมาย

                                   มีคนเคยถามเขาว่า ทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จ เขาตอบว่า "ผมไม่ได้มีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่น เพียงแต่อยากรู้อยากเห็น มากกว่าคนทั่วไปโดยเฉลี่ย และจะไม่ยอมแพ้กับปัญหาจนกว่าจะได้คำตอบที่ถูกต้อง" ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำให้พวกเราเห็นความพยายาม ความอดทน จินตนาการ ความดื้อดึง ความมุ่งมั่น ความกระหายและความรักในการเรียนรู้อย่างแท้จริงของเขา อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์