วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

จำเลยปิดป้ายประกาศโฆษณาหมิ่นประมาทโจทก์ อายุความเริ่มนับตั้งแต่วันที่ปลดป้ายประกาศออก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2272/2527 การปิดประกาศโฆษณาหมิ่นประมาทนั้น เป็นความผิดต่อเนื่องจนกว่าจะมีการปลดป้ายประกาศออกไป ซึ่งถือได้ว่าการกระทำอันเป็นมูลแห่งความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ยุติลง อายุความย่อมจะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีการปลดป้ายประกาศออก ดังนั้นแม้จำเลยติดป้ายประกาศหมิ่นประมาทโจทก์ก่อนวันที่โจทก์ไปร้องทุกข์หรือฟ้องคดีเกิน 3 เดือนแต่เมื่อโจทก์ร้องทุกข์และฟ้องคดีไม่เกิน 3 เดือนนับแต่วันปลดป้ายประกาศโฆษณาหมิ่นประมาทออกคดีจึงไม่ขาดอายุความ จำเลยปิดประกาศภาพถ่ายโจทก์โดยมีข้อความภาษาอังกฤษกำกับแปลเป็นภาษาไทยว่า โจทก์เป็นหนี้จำเลย 15,910 บาท ยังเรียกเก็บไม่ได้หรือยังไม่ได้ชำระ โดยจำเลยปิดประกาศดังกล่าวในสถานบริการของจำเลยซึ่งมีลูกค้าเข้าไปรับบริการ เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกล่าวหาเรื่องร้าย เป็นการใส่ความโจทก์อันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ทั้งเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนแม้ว่าเรื่องที่กล่าวหาจะเป็นความจริงก็ไม่เป็นเหตุยกเว้นให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


จำเลยปิดป้ายประกาศโฆษณาหมิ่นประมาทโจทก์ อายุความเริ่มนับตั้งแต่วันที่ปลดป้ายประกาศออก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2272/2527
การปิดประกาศโฆษณาหมิ่นประมาทนั้น เป็นความผิดต่อเนื่องจนกว่าจะมีการปลดป้ายประกาศออกไป ซึ่งถือได้ว่าการกระทำอันเป็นมูลแห่งความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ยุติลง อายุความย่อมจะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีการปลดป้ายประกาศออก ดังนั้นแม้จำเลยติดป้ายประกาศหมิ่นประมาทโจทก์ก่อนวันที่โจทก์ไปร้องทุกข์หรือฟ้องคดีเกิน 3 เดือนแต่เมื่อโจทก์ร้องทุกข์และฟ้องคดีไม่เกิน 3 เดือนนับแต่วันปลดป้ายประกาศโฆษณาหมิ่นประมาทออกคดีจึงไม่ขาดอายุความ
จำเลยปิดประกาศภาพถ่ายโจทก์โดยมีข้อความภาษาอังกฤษกำกับแปลเป็นภาษาไทยว่า โจทก์เป็นหนี้จำเลย 15,910 บาท ยังเรียกเก็บไม่ได้หรือยังไม่ได้ชำระ โดยจำเลยปิดประกาศดังกล่าวในสถานบริการของจำเลยซึ่งมีลูกค้าเข้าไปรับบริการ เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกล่าวหาเรื่องร้าย เป็นการใส่ความโจทก์อันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ทั้งเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนแม้ว่าเรื่องที่กล่าวหาจะเป็นความจริงก็ไม่เป็นเหตุยกเว้นให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


โฆษณาหมิ่นประมาทตามคำบอกเล่าของผู้อื่น(พี่ชาย น.ส.เฮียง )ไม่ใช่ข้อแก้ตัวให้พ้นผิด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 83/2501 จำเลยเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์และผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์รายวันและโฆษณายืนยันในหนังสือพิมพ์ว่าโจทก์ข่มขืนชำเรา น.ส.เฮียงการโฆษณาเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยชอบธรรม จำเลยโฆษณาความประพฤติอันชั่วช้าทารุณของโจทก์ผู้ใดอ่านหรือได้ยินได้ฟังย่อมรู้สึกรังเกียจโจทก์ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงคนทั้งหลายดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์ที่จำเลยเถียงว่าจำเลยโฆษณาตามคำบอกเล่าของพี่ชาย น.ส.เฮียงนั้นไม่ใช่ข้อที่จะให้จำเลยพ้นผิด เมื่อข้อความที่จำเลยโฆษณาแสดงอยู่ในตัวว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียงจำเลยจะเถียงว่าไม่มีเจตนาใส่ความโจทก์ไม่มีเจตนาจะให้โจทก์เสียหายเช่นนี้ หาได้ไม่ #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


โฆษณาหมิ่นประมาทตามคำบอกเล่าของผู้อื่น(พี่ชาย น.ส.เฮียง )ไม่ใช่ข้อแก้ตัวให้พ้นผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 83/2501
จำเลยเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์และผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์รายวันและโฆษณายืนยันในหนังสือพิมพ์ว่าโจทก์ข่มขืนชำเรา น.ส.เฮียงการโฆษณาเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยชอบธรรม
จำเลยโฆษณาความประพฤติอันชั่วช้าทารุณของโจทก์ผู้ใดอ่านหรือได้ยินได้ฟังย่อมรู้สึกรังเกียจโจทก์ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงคนทั้งหลายดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์ที่จำเลยเถียงว่าจำเลยโฆษณาตามคำบอกเล่าของพี่ชาย น.ส.เฮียงนั้นไม่ใช่ข้อที่จะให้จำเลยพ้นผิด
เมื่อข้อความที่จำเลยโฆษณาแสดงอยู่ในตัวว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ และทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียงจำเลยจะเถียงว่าไม่มีเจตนาใส่ความโจทก์ไม่มีเจตนาจะให้โจทก์เสียหายเช่นนี้ หาได้ไม่
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

เมื่อหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมยังไม่ระงับไป ไม่มีสิทธิลาออกจากสมาชิกสหกรณ์และขอถอนเงินค่าหุ้นออกจากสหกรณ์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4442/2567 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 5 เรื่อง ความระงับแห่งหนี้ กำหนดไว้ว่า หนี้ระงับไปต้องมีการชำระหนี้ การปลดหนี้ การหักกลบลบหนี้ การแปลงหนี้ใหม่ หรือหนี้เกลื่อนกลืนกัน เมื่อโจทก์กับจำเลยยังไม่ได้ดำเนินการเรื่องความระงับแห่งหนี้ หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ยังคงมีอยู่ แม้ล่วงเลยเวลาบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 274 แล้วก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจบังคับคดีได้เท่านั้น เป็นคนละส่วนกับหนี้ที่โจทก์มีต่อจำเลย เมื่อตามข้อบังคับสหกรณ์จำเลยระบุว่า สมาชิกผู้ไม่มีหนี้สินต่อสหกรณ์ในฐานะผู้กู้หรือผู้ค้ำประกันหรือหนี้สินอื่นที่ผูกพันจะต้องชำระต่อสหกรณ์ อาจลาออกได้โดยแสดงความจำนงเป็นหนังสือต่อคณะกรรมการฯ ได้ ดังนั้น เมื่อหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมยังไม่ระงับไป และโจทก์ไม่ชำระหนี้ที่มีต่อจำเลย ถือว่าโจทก์ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขและข้อตกลงที่ทำไว้กับจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิลาออกจากสมาชิกของจำเลยและขอถอนเงินค่าหุ้นออกจากสหกรณ์จำเลย และโจทก์ไม่อาจฟ้องจำเลยให้คืนเงินค่าหุ้นแก่โจทก์ได้ #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์



เมื่อหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมยังไม่ระงับไป ไม่มีสิทธิลาออกจากสมาชิกสหกรณ์และขอถอนเงินค่าหุ้นออกจากสหกรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4442/2567
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 5 เรื่อง ความระงับแห่งหนี้ กำหนดไว้ว่า หนี้ระงับไปต้องมีการชำระหนี้ การปลดหนี้ การหักกลบลบหนี้ การแปลงหนี้ใหม่ หรือหนี้เกลื่อนกลืนกัน เมื่อโจทก์กับจำเลยยังไม่ได้ดำเนินการเรื่องความระงับแห่งหนี้ หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ยังคงมีอยู่ แม้ล่วงเลยเวลาบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 274 แล้วก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจบังคับคดีได้เท่านั้น เป็นคนละส่วนกับหนี้ที่โจทก์มีต่อจำเลย เมื่อตามข้อบังคับสหกรณ์จำเลยระบุว่า สมาชิกผู้ไม่มีหนี้สินต่อสหกรณ์ในฐานะผู้กู้หรือผู้ค้ำประกันหรือหนี้สินอื่นที่ผูกพันจะต้องชำระต่อสหกรณ์ อาจลาออกได้โดยแสดงความจำนงเป็นหนังสือต่อคณะกรรมการฯ ได้ ดังนั้น เมื่อหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมยังไม่ระงับไป และโจทก์ไม่ชำระหนี้ที่มีต่อจำเลย ถือว่าโจทก์ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขและข้อตกลงที่ทำไว้กับจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิลาออกจากสมาชิกของจำเลยและขอถอนเงินค่าหุ้นออกจากสหกรณ์จำเลย และโจทก์ไม่อาจฟ้องจำเลยให้คืนเงินค่าหุ้นแก่โจทก์ได้
#ทนายโทนี่  #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


 

ทนาย ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายหัวข้อ “กฎหมายธุรกิจ ” ให้แก่ นักศึกษาสาขาการจัดการ สาขาบัญชี มหาวิทยาลัยปทุมธานี เมื่อวันที 27 กรกฏาคม 2568 #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

 


ทนาย ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายหัวข้อ “กฎหมายธุรกิจ ” ให้แก่ นักศึกษาสาขาการจัดการ สาขาบัญชี มหาวิทยาลัยปทุมธานี เมื่อวันที 27 กรกฏาคม 2568 #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21627/2556 จำเลยเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เรื่องอุทธรณ์คำสั่งบรรจุแต่งตั้งผู้ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าทำงาน แม้ข้อความโดยรวมเป็นการกล่าวหาผู้เสียหายซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านโตนดและเป็นผู้บริหารสูงสุดของเทศบาลตำบลบ้านโตนดว่ารับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเป็นพนักงานเทศบาลไม่โปร่งใส เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นซึ่งไม่เป็นความจริง อันเป็นการใส่ความผู้เสียหายก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำต่อบุคคลที่สาม กลับได้ความเพียงว่า ก. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลบ้านโตนดไปพบหนังสือร้องเรียนดังกล่าวที่หน้าคอมพิวเตอร์ห้องงานคลังด้วยตนเอง โดยจำเลยมิได้นำออกมาแสดงต่อ ก. เพื่อให้ทราบข้อความในเอกสารนั้น ส่วน ศ. พนักงานขับรถของผู้เสียหายก็เพียงแต่สงสัยว่าจำเลยจะเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนดังกล่าวเท่านั้น ทั้งจำเลยยังไม่ได้ส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยทราบ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326

 


การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21627/2556
จำเลยเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เรื่องอุทธรณ์คำสั่งบรรจุแต่งตั้งผู้ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าทำงาน แม้ข้อความโดยรวมเป็นการกล่าวหาผู้เสียหายซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านโตนดและเป็นผู้บริหารสูงสุดของเทศบาลตำบลบ้านโตนดว่ารับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเป็นพนักงานเทศบาลไม่โปร่งใส เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นซึ่งไม่เป็นความจริง อันเป็นการใส่ความผู้เสียหายก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำต่อบุคคลที่สาม กลับได้ความเพียงว่า ก. ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลบ้านโตนดไปพบหนังสือร้องเรียนดังกล่าวที่หน้าคอมพิวเตอร์ห้องงานคลังด้วยตนเอง โดยจำเลยมิได้นำออกมาแสดงต่อ ก. เพื่อให้ทราบข้อความในเอกสารนั้น ส่วน ศ. พนักงานขับรถของผู้เสียหายก็เพียงแต่สงสัยว่าจำเลยจะเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนดังกล่าวเท่านั้น ทั้งจำเลยยังไม่ได้ส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยทราบ การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326


ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่วๆไป มิใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2531 ข้อความที่กล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าข้อความที่กล่าวนั้นถึงขั้นที่ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาทน่าจะเสียชื่อเสียง ถูกบุคคลอื่นดูหมิ่นเกลียดชังหรือไม่ ไม่ใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียวการที่จำเลยเบิกความเป็นพยานไปตามที่ทนายความซักถามว่า โจทก์ไม่ค่อยทำหน้าที่ธนาคารได้ลงโทษตัดเงินเดือนโจทก์ 10 เปอร์เซ็นต์ ฐานไม่ค่อยมาทำงาน ซึ่งโจทก์ก็รับว่าเป็นความจริงเพียงแต่เลี่ยงไปว่าถูกลงโทษฐานออกไปนอกสถานที่นั้น จำเลยมีเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดี มิได้มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์เป็นหัวหน้าแผนกประจำธนาคารนั้น โจทก์จะมีตำแหน่งที่แท้จริงเป็นหัวหน้าแผนกประจำกองหรือหัวหน้าแผนกประจำธนาคาร วิญญูชนทั่วไปได้ยินได้ฟังแล้วหามีความเข้าใจในข้อแตกต่างของความหมายแห่งถ้อยคำของตำแหน่งหน้าที่ทั้งสองไม่ ผู้ได้ยินได้ฟังก็ไม่ถือหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดีอันเป็นการใส่ความ คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท. #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่วๆไป มิใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2531
ข้อความที่กล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าข้อความที่กล่าวนั้นถึงขั้นที่ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาทน่าจะเสียชื่อเสียง ถูกบุคคลอื่นดูหมิ่นเกลียดชังหรือไม่ ไม่ใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียวการที่จำเลยเบิกความเป็นพยานไปตามที่ทนายความซักถามว่า โจทก์ไม่ค่อยทำหน้าที่ธนาคารได้ลงโทษตัดเงินเดือนโจทก์ 10 เปอร์เซ็นต์ ฐานไม่ค่อยมาทำงาน ซึ่งโจทก์ก็รับว่าเป็นความจริงเพียงแต่เลี่ยงไปว่าถูกลงโทษฐานออกไปนอกสถานที่นั้น จำเลยมีเจตนาจะให้ความจริงต่อศาลในการพิจารณาคดี มิได้มีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งใส่ความโจทก์ให้ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์เป็นหัวหน้าแผนกประจำธนาคารนั้น โจทก์จะมีตำแหน่งที่แท้จริงเป็นหัวหน้าแผนกประจำกองหรือหัวหน้าแผนกประจำธนาคาร วิญญูชนทั่วไปได้ยินได้ฟังแล้วหามีความเข้าใจในข้อแตกต่างของความหมายแห่งถ้อยคำของตำแหน่งหน้าที่ทั้งสองไม่ ผู้ได้ยินได้ฟังก็ไม่ถือหรือเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดีอันเป็นการใส่ความ คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท.
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลไป ไม่ได้ลักทรัพย์หรือวิ่งราวทรัพย์ แต่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2568 จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ตรวจไปจากมือของโจทก์ร่วมโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ต่อมาโจทก์ร่วมก็ยินยอมปล่อยให้จำเลยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจได้โดยจำเลยไม่ได้หลบหนี พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจรางวัลให้แก่โจทก์ร่วมจึงเป็นการถือวิสาสะเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปโดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน หรือความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง การที่จำเลยได้รับสลากกินแบ่งรัฐบาลจากโจทก์ร่วมไปครอบครองแล้วจำเลยกลับเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไป เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามก็ไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ร่วมโดยปราศจากเหตุผลอันจะอ้างตามกฎหมายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการครอบครองสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมแล้วเบียดบังเอาเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคหนึ่ง คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปในเวลากลางคืนโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 335, 336, 352 คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตเช่นเดียวกัน คงแตกต่างกันเพียงเรื่องการเอาทรัพย์นั้นไปโดยวิธีการใดเท่านั้น ดังนั้น ข้อแตกต่างระหว่างความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และฐานยักยอกทรัพย์จึงถือได้ว่ามิได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลไป ไม่ได้ลักทรัพย์หรือวิ่งราวทรัพย์ แต่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2568
จำเลยดึงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ตรวจไปจากมือของโจทก์ร่วมโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ต่อมาโจทก์ร่วมก็ยินยอมปล่อยให้จำเลยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจได้โดยจำเลยไม่ได้หลบหนี พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปตรวจรางวัลให้แก่โจทก์ร่วมจึงเป็นการถือวิสาสะเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปโดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน หรือความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง

การที่จำเลยได้รับสลากกินแบ่งรัฐบาลจากโจทก์ร่วมไปครอบครองแล้วจำเลยกลับเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไป เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามก็ไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ร่วมโดยปราศจากเหตุผลอันจะอ้างตามกฎหมายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการครอบครองสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมแล้วเบียดบังเอาเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคหนึ่ง

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ร่วมไปในเวลากลางคืนโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ และยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 335, 336, 352 คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตเช่นเดียวกัน คงแตกต่างกันเพียงเรื่องการเอาทรัพย์นั้นไปโดยวิธีการใดเท่านั้น ดังนั้น ข้อแตกต่างระหว่างความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และฐานยักยอกทรัพย์จึงถือได้ว่ามิได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


 

การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐาน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9285/2556 เมื่อจำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายพ้นวัยผู้เยาว์ โดยเข้าใจว่าผู้เสียหายมีอายุเกินกว่า 18 ปี แล้ว จึงเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเรื่องอายุอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคแรก การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐานดังกล่าวตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสาม ป.อ.มาตรา 318 อาญา” ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท ป.อ.มาตรา ๕๙ วรรค ๓ ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้ #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐาน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9285/2556 เมื่อจำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายพ้นวัยผู้เยาว์ โดยเข้าใจว่าผู้เสียหายมีอายุเกินกว่า 18 ปี แล้ว จึงเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเรื่องอายุอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคแรก การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนากระทำความผิดฐานดังกล่าวตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสาม ป.อ.มาตรา 318 อาญา” ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท ป.อ.มาตรา ๕๙ วรรค ๓                ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้                #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

จำเลยเอาไม้ที่ปูพื้นเรือนของโจทก์ร่วม 8 แผ่น ไปปูบนร่องสวนเพื่อใช้จัดงานศพชั่วคราว มิได้มีเจตนาเอาไปเลย ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2521

 


จำเลยเอาไม้ที่ปูพื้นเรือนของโจทก์ร่วม 8 แผ่น ไปปูบนร่องสวนเพื่อใช้จัดงานศพชั่วคราว มิได้มีเจตนาเอาไปเลย ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2521
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำคุกจำเลย 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "บ้านหลังนี้เก่ามีสภาพชำรุดทรุดโทรมปลูกอยู่ในสวน ฝาขัดแตะ เสาไม้จริงผุกร่อนแทบทุกต้น ดังปรากฏตามภาพถ่ายหลังคามุงจาก พื้นกระดาน จำเลยเช่าอยู่อาศัยมากว่า 30 ปี โจทก์ให้จำเลยออกไปภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2519 ก่อนถึงกำหนดจำเลยได้รื้อเอาไม้พื้นกระดานไป 8 แผ่น เมื่อโจทก์ร่วมมาตรวจพบเข้าและไปแจ้งตำรวจ จำเลยก็นำกลับมาคืนให้ตามเดิม แต่ทั้งสองฝ่ายยังโต้เถียงกันอยู่ โดยโจทก์ร่วมอ้างว่าไม่ใช่ไม้ของเดิม แต่ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งศาลไปเดินเผชิญสืบว่าไม้ที่จำเลยคืนและไม้กระดานพื้นบ้านของโจทก์เป็นไม้ชนิดเดียวกันมีสภาพเก่าเหมือนกัน แม้บางแผ่นจะสั้นกว่ากันเล็กน้อย ก็เหมือนกับที่ห้องด้านหน้าเชื่อว่าไม้ที่จำเลยนำมาคืนเป็นไม้กระดานแผ่นเดิมมิได้เปลี่ยนไม้อื่นมาให้ โจทก์มิได้ฎีกาในข้อนี้ จึงมีปัญหาต่อไปที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่าจำเลยมีเจตนาลักทรัพย์รายนี้หรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยเอาไม้ยางมาปูแทนไม้แดงจึงมีเจตนาทุจริต ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อเกิดเรื่องขึ้น จ่าสิบตำรวจจรัสได้ไกลเกลี่ยจำเลยก็ยอมคืนไม้ให้โจทก์ร่วมแต่โดยดี ทั้งสองครั้งที่จำเลยเอาไม้ไปให้โจทก์ร่วมก็ยังคงยืนยันว่าไม่ใช่ไม้ของเดิมอยู่นั่นเองแสดงให้เห็นว่ามีความอาฆาตโกรธเคืองจำเลยอยู่ ระหว่างนั้นคือเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2519 ก่อนครบกำหนดวันที่โจทก์ผ่อนผันให้จำเลยอยู่ บิดาของจำเลยได้ถึงแก่กรรมที่บ้านพี่ชายซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน จำเลยว่าจึงมีความจำเป็นต้องเอาไม้กระดานไปปูบนร่องสวนเพื่อจัดงานศพ เพราะหาที่อื่นไม่ได้ ทั้งที่บ้านพี่ชายหลังเล็กไม่พอจัดงานและรับแขก เมื่อร้อยตำรวจโทพินัยสอบถามจำเลยก็ให้การดังนั้นมาแต่ต้น จึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้เอาไม้กระดานของโจทก์ร่วมไปใช้แต่เพียงชั่วคราว มิได้เจตนาเอาไปเลยดังที่จำเลยฎีกาพยานจำเลยซึ่งเป็นญาติของทั้งสองฝ่ายก็เบิกความในทำนองนี้ รูปคดียังเป็นที่สงสัยอยู่ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย"

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์(ทนายโทนี่) บรรยายวิชา กฎหมายอาญา : ภาคความผิด ให้แก่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยปทุมธานี เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม 2568 #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

 

ทนายสุทธิชัย  ปัญญโรจน์(ทนายโทนี่) บรรยายวิชา กฎหมายอาญา : ภาคความผิด ให้แก่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยปทุมธานี เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม 2568  #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

การครอบครองปรปักษ์ในที่ดิน ต้องเป็นที่ดินของคนอื่น หากบรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ซึ่งรับมรดกมาจากบิดาเช่นนี้ ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4843/2545 การครอบครองอสังหาริมทรัพย์ อันจะทำให้ผู้ครอบครองได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น นอกจากจะต้องเป็นการครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา10 ปีแล้ว ยังจะต้องเป็นการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของบุคคลอื่นด้วย หากเป็นการครอบครองทรัพย์สินของตนเองแล้ว ก็หามีผลที่จะทำให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ซึ่งรับมรดกมาจากบิดาเช่นนี้ ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของโจทก์เองได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


การครอบครองปรปักษ์ในที่ดิน ต้องเป็นที่ดินของคนอื่น หากบรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ซึ่งรับมรดกมาจากบิดาเช่นนี้ ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4843/2545 การครอบครองอสังหาริมทรัพย์ อันจะทำให้ผู้ครอบครองได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น นอกจากจะต้องเป็นการครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา10 ปีแล้ว ยังจะต้องเป็นการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของบุคคลอื่นด้วย หากเป็นการครอบครองทรัพย์สินของตนเองแล้ว ก็หามีผลที่จะทำให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ซึ่งรับมรดกมาจากบิดาเช่นนี้ ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของโจทก์เองได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์  

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ผศ.ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เป็นวิทยากรในหลักสูตร พัฒนาภาวะผู้นำ บรรยายหัวข้อ “ การพัฒนาทักษะการพูดและบุคลิกภาพ ” ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568

 






ผศ.ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เป็นวิทยากรในหลักสูตร พัฒนาภาวะผู้นำ บรรยายหัวข้อ “ การพัฒนาทักษะการพูดและบุคลิกภาพ ” ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แม้ศาลจะพิจารณาเพียงว่าคดีโจทก์พอมีมูลที่จะประทับฟ้องไว้หรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลก็ชอบที่จะวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องประทับฟ้องไว้แล้วพิจารณายกฟ้องในภายหลัง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2777/2545 ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าข้อความที่กล่าวนั้นถึงขั้นที่ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาทน่าจะเสียชื่อเสียง บุคคลอื่นดูหมิ่น เกลียดชังหรือไม่ มิใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว โดยเฉพาะกรณีที่เหตุเกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีของศาล ขณะที่ผู้พิพากษารออ่านรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งจำเลยอยู่ในภาวะถูกกดดันเป็นอย่างมาก การที่จำเลยกล่าวข้อความว่า "ทนายความคนนี้ใช้ไม่ได้ ทั้งประเทศไทยมีทนายความแบบนี้อยู่คนเดียว ชอบหาเรื่องกลั่นแกล้งจำเลย ประเทศชาติอยู่ไม่ได้แน่ ถ้ายังมีทนายความประเภทนี้ อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล" และเมื่อ ผู้พิพากษาตักเตือน จำเลยยังกล่าวต่ออีกว่า "ท่านครับอย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล" เป็นการระบายความรู้สึกของจำเลยที่มีต่อโจทก์และเป็นการวิจารณ์การทำงานในหน้าที่ทนายความของโจทก์ ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับจำเลยในความรู้สึกว่าจำเลยถูกกลั่นแกล้ง หาใช่เป็นการใส่ความให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังไม่ จึงไม่เป็นหมิ่นประมาท ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แม้ศาลจะพิจารณาเพียงว่าคดีโจทก์พอมีมูลที่จะประทับฟ้องไว้หรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลก็ชอบที่จะวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องประทับฟ้องไว้แล้วพิจารณายกฟ้องในภายหลัง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖๑ ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com


ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แม้ศาลจะพิจารณาเพียงว่าคดีโจทก์พอมีมูลที่จะประทับฟ้องไว้หรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลก็ชอบที่จะวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องประทับฟ้องไว้แล้วพิจารณายกฟ้องในภายหลัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2777/2545
ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าข้อความที่กล่าวนั้นถึงขั้นที่ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาทน่าจะเสียชื่อเสียง บุคคลอื่นดูหมิ่น เกลียดชังหรือไม่ มิใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว โดยเฉพาะกรณีที่เหตุเกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีของศาล ขณะที่ผู้พิพากษารออ่านรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งจำเลยอยู่ในภาวะถูกกดดันเป็นอย่างมาก การที่จำเลยกล่าวข้อความว่า "ทนายความคนนี้ใช้ไม่ได้ ทั้งประเทศไทยมีทนายความแบบนี้อยู่คนเดียว ชอบหาเรื่องกลั่นแกล้งจำเลย ประเทศชาติอยู่ไม่ได้แน่ ถ้ายังมีทนายความประเภทนี้ อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล" และเมื่อ ผู้พิพากษาตักเตือน จำเลยยังกล่าวต่ออีกว่า "ท่านครับอย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล" เป็นการระบายความรู้สึกของจำเลยที่มีต่อโจทก์และเป็นการวิจารณ์การทำงานในหน้าที่ทนายความของโจทก์ ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับจำเลยในความรู้สึกว่าจำเลยถูกกลั่นแกล้ง หาใช่เป็นการใส่ความให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังไม่ จึงไม่เป็นหมิ่นประมาท
ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แม้ศาลจะพิจารณาเพียงว่าคดีโจทก์พอมีมูลที่จะประทับฟ้องไว้หรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลก็ชอบที่จะวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องประทับฟ้องไว้แล้วพิจารณายกฟ้องในภายหลัง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖๑  ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com


 

การอธิษฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลก แต่เปลี่ยนภายในใจของคนที่อธิษฐาน ให้พบกับความสงบ ความสุข ความนิ่งภายในใจ เมื่อพบกับทางตันของชีวิต ลองอธิษฐานแล้วท่านอาจจะได้รับคำตอบที่ไม่อาจคาดถึง #อาจารย์โทนี่ #อาจารย์สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com


การอธิษฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลก แต่เปลี่ยนภายในใจของคนที่อธิษฐาน ให้พบกับความสงบ  ความสุข ความนิ่งภายในใจ เมื่อพบกับทางตันของชีวิต ลองอธิษฐานแล้วท่านอาจจะได้รับคำตอบที่ไม่อาจคาดถึง #อาจารย์โทนี่ #อาจารย์สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

 

ใช้ทางพิพาทโดยเข้าใจว่าเป็นทางสาธารณะ การใช้สิทธิผ่านทางจึงไม่เข้าลักษณะเป็นการใช้โดยปรปักษ์ต่อเจ้าของที่ดินเดิม แม้จะใช้นานเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาทก็ไม่เป็นภาระจำยอม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3172/2564 โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2544 จำเลยทั้งสี่ให้สภาตำบลศรีพรานทำถนนดินระหว่างที่ดินของโจทก์และจำเลยทั้งสี่โดยงบประมาณของสภาตำบลศรีพราน ต่อมาก็นำงบประมาณมาทำเป็นถนนคอนกรีตเพื่อให้เป็นเส้นทางเดินของโจทก์ จำเลยทั้งสี่ และประชาชนทั่วไปเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ ทั้งในชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลศรีพรานเป็นผู้ก่อสร้างถนนพิพาทตั้งแต่ปี 2548 แสดงว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยเข้าใจว่าเป็นทางสาธารณะมาตั้งแต่ต้น การใช้สิทธิผ่านทางพิพาทของโจทก์จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการใช้โดยปรปักษ์ต่อจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ตั้งทางพิพาท เพื่อให้ได้สิทธิภาระจำยอมแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่ได้ภาระจำยอมโดยอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 แม้หากจะฟังว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาทก็ไม่เป็นภาระจำยอมเพื่ออสังหาริมทรัพย์แก่ที่ดินของโจทก์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์’ มาตรา 1401 ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 

ใช้ทางพิพาทโดยเข้าใจว่าเป็นทางสาธารณะ การใช้สิทธิผ่านทางจึงไม่เข้าลักษณะเป็นการใช้โดยปรปักษ์ต่อเจ้าของที่ดินเดิม แม้จะใช้นานเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาทก็ไม่เป็นภาระจำยอม 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3172/2564
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2544 จำเลยทั้งสี่ให้สภาตำบลศรีพรานทำถนนดินระหว่างที่ดินของโจทก์และจำเลยทั้งสี่โดยงบประมาณของสภาตำบลศรีพราน ต่อมาก็นำงบประมาณมาทำเป็นถนนคอนกรีตเพื่อให้เป็นเส้นทางเดินของโจทก์ จำเลยทั้งสี่ และประชาชนทั่วไปเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ ทั้งในชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลศรีพรานเป็นผู้ก่อสร้างถนนพิพาทตั้งแต่ปี 2548 แสดงว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยเข้าใจว่าเป็นทางสาธารณะมาตั้งแต่ต้น การใช้สิทธิผ่านทางพิพาทของโจทก์จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการใช้โดยปรปักษ์ต่อจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ตั้งทางพิพาท เพื่อให้ได้สิทธิภาระจำยอมแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่ได้ภาระจำยอมโดยอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 แม้หากจะฟังว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาทก็ไม่เป็นภาระจำยอมเพื่ออสังหาริมทรัพย์แก่ที่ดินของโจทก์

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์’
มาตรา 1401 ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

อุทิศที่ดินให้กับทางราชการหรือยินยอมให้ทางราชการเข้าไปดำเนินการเพื่อใช้ประโยชน์โดยมีเงื่อนไข เมื่อทางราชการมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขก็ต้องถือว่าที่ดินพิพาทยังไม่ตกเป็นของทางราชการและไม่ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าของเดิมสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินพิพาทได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1434/2563 หนังสือแสดงความประสงค์เรื่อง การอุทิศที่ดินให้กับทางราชการหรือยินยอมให้ทางราชการเข้าไปดำเนินการเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทำขึ้นระหว่างโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้บริจาคกับจำเลยในฐานะผู้รับบริจาค แม้จะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ย่อมมีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองและจำเลยในฐานะเป็นบุคคลสิทธิ จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ระบุไว้ในหนังสือแสดงความประสงค์ดังกล่าว เมื่อการยกให้ แก่จำเลยเป็นการยกให้โดยมีเงื่อนไข ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจะตกเป็นของทางราชการและตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินก็ต่อเมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแล้ว จำเลยไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ภายในระยะเวลาตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสือแสดงความประสงค์ ก็ต้องถือว่าที่ดินพิพาทยังไม่ตกเป็นของทางราชการและไม่ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงได้ #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

 


อุทิศที่ดินให้กับทางราชการหรือยินยอมให้ทางราชการเข้าไปดำเนินการเพื่อใช้ประโยชน์โดยมีเงื่อนไข  เมื่อทางราชการมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขก็ต้องถือว่าที่ดินพิพาทยังไม่ตกเป็นของทางราชการและไม่ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เจ้าของเดิมสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินพิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1434/2563
หนังสือแสดงความประสงค์เรื่อง การอุทิศที่ดินให้กับทางราชการหรือยินยอมให้ทางราชการเข้าไปดำเนินการเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทำขึ้นระหว่างโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้บริจาคกับจำเลยในฐานะผู้รับบริจาค แม้จะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ย่อมมีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองและจำเลยในฐานะเป็นบุคคลสิทธิ จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ระบุไว้ในหนังสือแสดงความประสงค์ดังกล่าว เมื่อการยกให้ แก่จำเลยเป็นการยกให้โดยมีเงื่อนไข ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจะตกเป็นของทางราชการและตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินก็ต่อเมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแล้ว จำเลยไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ภายในระยะเวลาตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสือแสดงความประสงค์ ก็ต้องถือว่าที่ดินพิพาทยังไม่ตกเป็นของทางราชการและไม่ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงได้
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6166/2562 ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงิน ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสอดตกลงทำสัญญาซื้อขายต้นไม้กฤษณาจำนวน 900 ต้น ซึ่งจำเลยปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว และผู้ร้องสอดชำระค่าต้นไม้กฤษณาให้แก่จำเลยแล้วในวันทำสัญญา ต่อมาโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่าต้นไม้กฤษณาดังกล่าวไม่เป็นทรัพย์สินที่โจทก์จะบังคับจำนองได้ #ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 145 วรรคแรก จะบัญญัติว่า "ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ปลูกหรือขึ้นอยู่" ก็ตาม แต่หากเมื่อใดผู้ปลูกตัดไม้ยืนต้นออกไปจากที่ดินต้องถือว่านับตั้งแต่นั้นผู้ปลูกมีเจตนาจะให้ไม้ยืนต้นอยู่ติดกับที่ดินเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งอันมีจำกัดเป็นการชั่วคราว ไม้ยืนต้นที่ถูกตัดไปย่อมหมดสภาพการเป็นทรัพย์ส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 แม้จะได้ความตามว่าไม้กฤษณาที่ปลูกดังกล่าวเป็นต้นไม้มีอายุหลายปีโดยสภาพเป็นไม้ยืนต้นในที่ดินของจำเลยตั้งแต่ก่อนจำเลยจำนองที่ดินแก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ แต่เมื่อพิจารณาสัญญาซื้อขายต้นไม้กฤษณาระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลย อันมีสาระสำคัญแห่งข้อตกลงด้วยว่า ให้ผู้ร้องสอดผู้ซื้อตัดต้นไม้กฤษณาในที่ดินและนำออกจากที่ดินจำเลยมีกำหนดเวลา 4 ปี ต้นไม้กฤษณาที่เกษตรกรปลูกโดยทั่วไปจะมีระยะตั้งแต่เวลาปลูกต้นกล้า จนฉีดสารเร่งและตัดได้ประมาณ 6-7 ปี เมื่อตัดต้นไม้กฤษณาออกไปจากลำต้น ต้นไม้กฤษณาสามารถแตกแขนงรอบๆโคนต้นได้ แต่ไม้กฤษณาเป็นไม้เนื้ออ่อนไม่มีแก่น เมื่อโดนลมก็จะหักง่าย จึงไม่สามารถปล่อยให้กิ่งแตกแขนงขึ้นมาและใช้ประโยชน์ใดๆได้ เกษตรกรจึงใช้วิธีไถกลบและปลูกต้นกล้าใหม่เท่านั้น พฤติการณ์แห่งคดีย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดว่า ต้นไม้กฤษณาที่จำเลยปลูกในที่ดินเป็นการปลูกไว้เพียงชั่วคราวในระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อต้นไม้กฤษณาโตได้ขนาดก็จะตัดโค่นนำแก่นไปสกัดเป็นน้ำหอม ซึ่งบุคคลปกติทั่วไปรวมทั้งโจทย์อาจเล็งเห็นได้ ต้นไม้กฤษณาที่ปลูกลงในที่ดินจึงเป็นทรัพย์ที่ติดกับที่ดินเพียงชั่วคราวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 ไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินที่จำเลยนำไปจำนองไว้แก่โจทก์ ต่างจากส่วนโคนต้น ซึ่งหากไม่มีการไถกลบไปก็อาจเป็นส่วนควบกับที่ดิน ดังนี้ เมื่อผู้ร้องสอดตกลงทำสัญญาซื้อขายต้นไม้กฤษณา และชำระเงินแก่จำเลยแล้วดังกล่าวไปข้างต้น กรรมสิทธิ์ในต้นไม้กฤษณาย่อมตกได้แก่ผู้ร้องสอดตั้งแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขาย วันที่ 10 มีนาคม 2557 แล้ว ผู้ร้องสอดชอบที่จะตัดต้นไม้กฤษณาจากที่พิพาทได้ โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับจำนองเอาจากส่วนของผู้ร้องสอดซึ่งเป็นบุคคลภายนอก __________ ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา พุทธศักราช 2562 เล่มที่ 10 หน้า 59-62 #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

 


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6166/2562
ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงิน
ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสอดตกลงทำสัญญาซื้อขายต้นไม้กฤษณาจำนวน 900 ต้น ซึ่งจำเลยปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว และผู้ร้องสอดชำระค่าต้นไม้กฤษณาให้แก่จำเลยแล้วในวันทำสัญญา
ต่อมาโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่าต้นไม้กฤษณาดังกล่าวไม่เป็นทรัพย์สินที่โจทก์จะบังคับจำนองได้
#ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 145 วรรคแรก จะบัญญัติว่า "ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ปลูกหรือขึ้นอยู่" ก็ตาม 
แต่หากเมื่อใดผู้ปลูกตัดไม้ยืนต้นออกไปจากที่ดินต้องถือว่านับตั้งแต่นั้นผู้ปลูกมีเจตนาจะให้ไม้ยืนต้นอยู่ติดกับที่ดินเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งอันมีจำกัดเป็นการชั่วคราว ไม้ยืนต้นที่ถูกตัดไปย่อมหมดสภาพการเป็นทรัพย์ส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146
แม้จะได้ความตามว่าไม้กฤษณาที่ปลูกดังกล่าวเป็นต้นไม้มีอายุหลายปีโดยสภาพเป็นไม้ยืนต้นในที่ดินของจำเลยตั้งแต่ก่อนจำเลยจำนองที่ดินแก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้
แต่เมื่อพิจารณาสัญญาซื้อขายต้นไม้กฤษณาระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลย อันมีสาระสำคัญแห่งข้อตกลงด้วยว่า ให้ผู้ร้องสอดผู้ซื้อตัดต้นไม้กฤษณาในที่ดินและนำออกจากที่ดินจำเลยมีกำหนดเวลา 4 ปี
ต้นไม้กฤษณาที่เกษตรกรปลูกโดยทั่วไปจะมีระยะตั้งแต่เวลาปลูกต้นกล้า จนฉีดสารเร่งและตัดได้ประมาณ 6-7 ปี เมื่อตัดต้นไม้กฤษณาออกไปจากลำต้น ต้นไม้กฤษณาสามารถแตกแขนงรอบๆโคนต้นได้ แต่ไม้กฤษณาเป็นไม้เนื้ออ่อนไม่มีแก่น เมื่อโดนลมก็จะหักง่าย จึงไม่สามารถปล่อยให้กิ่งแตกแขนงขึ้นมาและใช้ประโยชน์ใดๆได้ เกษตรกรจึงใช้วิธีไถกลบและปลูกต้นกล้าใหม่เท่านั้น
พฤติการณ์แห่งคดีย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดว่า ต้นไม้กฤษณาที่จำเลยปลูกในที่ดินเป็นการปลูกไว้เพียงชั่วคราวในระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อต้นไม้กฤษณาโตได้ขนาดก็จะตัดโค่นนำแก่นไปสกัดเป็นน้ำหอม ซึ่งบุคคลปกติทั่วไปรวมทั้งโจทย์อาจเล็งเห็นได้
ต้นไม้กฤษณาที่ปลูกลงในที่ดินจึงเป็นทรัพย์ที่ติดกับที่ดินเพียงชั่วคราวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 ไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินที่จำเลยนำไปจำนองไว้แก่โจทก์ 
ต่างจากส่วนโคนต้น ซึ่งหากไม่มีการไถกลบไปก็อาจเป็นส่วนควบกับที่ดิน
ดังนี้ เมื่อผู้ร้องสอดตกลงทำสัญญาซื้อขายต้นไม้กฤษณา และชำระเงินแก่จำเลยแล้วดังกล่าวไปข้างต้น กรรมสิทธิ์ในต้นไม้กฤษณาย่อมตกได้แก่ผู้ร้องสอดตั้งแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขาย วันที่ 10 มีนาคม 2557 แล้ว 
ผู้ร้องสอดชอบที่จะตัดต้นไม้กฤษณาจากที่พิพาทได้ โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับจำนองเอาจากส่วนของผู้ร้องสอดซึ่งเป็นบุคคลภายนอก
__________
ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา พุทธศักราช 2562 เล่มที่ 10 หน้า 59-62
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6166/2562 ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงิน ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสอดตกลงทำสัญญาซื้อขายต้นไม้กฤษณาจำนวน 900 ต้น ซึ่งจำเลยปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว และผู้ร้องสอดชำระค่าต้นไม้กฤษณาให้แก่จำเลยแล้วในวันทำสัญญา ต่อมาโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่าต้นไม้กฤษณาดังกล่าวไม่เป็นทรัพย์สินที่โจทก์จะบังคับจำนองได้ #ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 145 วรรคแรก จะบัญญัติว่า "ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ปลูกหรือขึ้นอยู่" ก็ตาม แต่หากเมื่อใดผู้ปลูกตัดไม้ยืนต้นออกไปจากที่ดินต้องถือว่านับตั้งแต่นั้นผู้ปลูกมีเจตนาจะให้ไม้ยืนต้นอยู่ติดกับที่ดินเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งอันมีจำกัดเป็นการชั่วคราว ไม้ยืนต้นที่ถูกตัดไปย่อมหมดสภาพการเป็นทรัพย์ส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 แม้จะได้ความตามว่าไม้กฤษณาที่ปลูกดังกล่าวเป็นต้นไม้มีอายุหลายปีโดยสภาพเป็นไม้ยืนต้นในที่ดินของจำเลยตั้งแต่ก่อนจำเลยจำนองที่ดินแก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ แต่เมื่อพิจารณาสัญญาซื้อขายต้นไม้กฤษณาระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลย อันมีสาระสำคัญแห่งข้อตกลงด้วยว่า ให้ผู้ร้องสอดผู้ซื้อตัดต้นไม้กฤษณาในที่ดินและนำออกจากที่ดินจำเลยมีกำหนดเวลา 4 ปี ต้นไม้กฤษณาที่เกษตรกรปลูกโดยทั่วไปจะมีระยะตั้งแต่เวลาปลูกต้นกล้า จนฉีดสารเร่งและตัดได้ประมาณ 6-7 ปี เมื่อตัดต้นไม้กฤษณาออกไปจากลำต้น ต้นไม้กฤษณาสามารถแตกแขนงรอบๆโคนต้นได้ แต่ไม้กฤษณาเป็นไม้เนื้ออ่อนไม่มีแก่น เมื่อโดนลมก็จะหักง่าย จึงไม่สามารถปล่อยให้กิ่งแตกแขนงขึ้นมาและใช้ประโยชน์ใดๆได้ เกษตรกรจึงใช้วิธีไถกลบและปลูกต้นกล้าใหม่เท่านั้น พฤติการณ์แห่งคดีย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดว่า ต้นไม้กฤษณาที่จำเลยปลูกในที่ดินเป็นการปลูกไว้เพียงชั่วคราวในระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อต้นไม้กฤษณาโตได้ขนาดก็จะตัดโค่นนำแก่นไปสกัดเป็นน้ำหอม ซึ่งบุคคลปกติทั่วไปรวมทั้งโจทย์อาจเล็งเห็นได้ ต้นไม้กฤษณาที่ปลูกลงในที่ดินจึงเป็นทรัพย์ที่ติดกับที่ดินเพียงชั่วคราวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 ไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินที่จำเลยนำไปจำนองไว้แก่โจทก์ ต่างจากส่วนโคนต้น ซึ่งหากไม่มีการไถกลบไปก็อาจเป็นส่วนควบกับที่ดิน ดังนี้ เมื่อผู้ร้องสอดตกลงทำสัญญาซื้อขายต้นไม้กฤษณา และชำระเงินแก่จำเลยแล้วดังกล่าวไปข้างต้น กรรมสิทธิ์ในต้นไม้กฤษณาย่อมตกได้แก่ผู้ร้องสอดตั้งแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขาย วันที่ 10 มีนาคม 2557 แล้ว ผู้ร้องสอดชอบที่จะตัดต้นไม้กฤษณาจากที่พิพาทได้ โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับจำนองเอาจากส่วนของผู้ร้องสอดซึ่งเป็นบุคคลภายนอก __________ ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา พุทธศักราช 2562 เล่มที่ 10 หน้า 59-62 #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

 


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6166/2562
ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงิน
ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2557 ผู้ร้องสอดตกลงทำสัญญาซื้อขายต้นไม้กฤษณาจำนวน 900 ต้น ซึ่งจำเลยปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว และผู้ร้องสอดชำระค่าต้นไม้กฤษณาให้แก่จำเลยแล้วในวันทำสัญญา
ต่อมาโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดว่าต้นไม้กฤษณาดังกล่าวไม่เป็นทรัพย์สินที่โจทก์จะบังคับจำนองได้
#ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 145 วรรคแรก จะบัญญัติว่า "ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ปลูกหรือขึ้นอยู่" ก็ตาม 
แต่หากเมื่อใดผู้ปลูกตัดไม้ยืนต้นออกไปจากที่ดินต้องถือว่านับตั้งแต่นั้นผู้ปลูกมีเจตนาจะให้ไม้ยืนต้นอยู่ติดกับที่ดินเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งอันมีจำกัดเป็นการชั่วคราว ไม้ยืนต้นที่ถูกตัดไปย่อมหมดสภาพการเป็นทรัพย์ส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146
แม้จะได้ความตามว่าไม้กฤษณาที่ปลูกดังกล่าวเป็นต้นไม้มีอายุหลายปีโดยสภาพเป็นไม้ยืนต้นในที่ดินของจำเลยตั้งแต่ก่อนจำเลยจำนองที่ดินแก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้
แต่เมื่อพิจารณาสัญญาซื้อขายต้นไม้กฤษณาระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลย อันมีสาระสำคัญแห่งข้อตกลงด้วยว่า ให้ผู้ร้องสอดผู้ซื้อตัดต้นไม้กฤษณาในที่ดินและนำออกจากที่ดินจำเลยมีกำหนดเวลา 4 ปี
ต้นไม้กฤษณาที่เกษตรกรปลูกโดยทั่วไปจะมีระยะตั้งแต่เวลาปลูกต้นกล้า จนฉีดสารเร่งและตัดได้ประมาณ 6-7 ปี เมื่อตัดต้นไม้กฤษณาออกไปจากลำต้น ต้นไม้กฤษณาสามารถแตกแขนงรอบๆโคนต้นได้ แต่ไม้กฤษณาเป็นไม้เนื้ออ่อนไม่มีแก่น เมื่อโดนลมก็จะหักง่าย จึงไม่สามารถปล่อยให้กิ่งแตกแขนงขึ้นมาและใช้ประโยชน์ใดๆได้ เกษตรกรจึงใช้วิธีไถกลบและปลูกต้นกล้าใหม่เท่านั้น
พฤติการณ์แห่งคดีย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดว่า ต้นไม้กฤษณาที่จำเลยปลูกในที่ดินเป็นการปลูกไว้เพียงชั่วคราวในระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อต้นไม้กฤษณาโตได้ขนาดก็จะตัดโค่นนำแก่นไปสกัดเป็นน้ำหอม ซึ่งบุคคลปกติทั่วไปรวมทั้งโจทย์อาจเล็งเห็นได้
ต้นไม้กฤษณาที่ปลูกลงในที่ดินจึงเป็นทรัพย์ที่ติดกับที่ดินเพียงชั่วคราวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 ไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินที่จำเลยนำไปจำนองไว้แก่โจทก์ 
ต่างจากส่วนโคนต้น ซึ่งหากไม่มีการไถกลบไปก็อาจเป็นส่วนควบกับที่ดิน
ดังนี้ เมื่อผู้ร้องสอดตกลงทำสัญญาซื้อขายต้นไม้กฤษณา และชำระเงินแก่จำเลยแล้วดังกล่าวไปข้างต้น กรรมสิทธิ์ในต้นไม้กฤษณาย่อมตกได้แก่ผู้ร้องสอดตั้งแต่วันที่ทำสัญญาซื้อขาย วันที่ 10 มีนาคม 2557 แล้ว 
ผู้ร้องสอดชอบที่จะตัดต้นไม้กฤษณาจากที่พิพาทได้ โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับจำนองเอาจากส่วนของผู้ร้องสอดซึ่งเป็นบุคคลภายนอก
__________
ที่มา: คำพิพากษาศาลฎีกา พุทธศักราช 2562 เล่มที่ 10 หน้า 59-62
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com


ความผิดฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1561/2565 ความผิดฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เกิดขึ้นและสำเร็จแล้วในทันทีที่จำเลยให้ผู้เสียหายทั้งห้ากู้เงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มิใช่ว่าจำเลยจะต้องได้รับดอกเบี้ยจากผู้เสียหายทั้งห้าก่อน พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 ม. 4 (1) มาตรา๔ บุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทําการใดๆอันมีลักษณะเป็นการอําพรางการให้กู้ยืมเงินโดยมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ (๑) เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้ #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

 


ความผิดฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1561/2565
ความผิดฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เกิดขึ้นและสำเร็จแล้วในทันทีที่จำเลยให้ผู้เสียหายทั้งห้ากู้เงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มิใช่ว่าจำเลยจะต้องได้รับดอกเบี้ยจากผู้เสียหายทั้งห้าก่อน
พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 ม. 4 (1)
มาตรา๔ บุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทําการใดๆอันมีลักษณะเป็นการอําพรางการให้กู้ยืมเงินโดยมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ
(๑) เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com


การกู้ยืมเงินที่ต้องการหลักฐานเป็นหนังสือในการฟ้องร้องบังคับคดี ไม่จำต้องมีในขณะกู้ยืมกัน แม้จะมีหลักฐานเป็นหนังสือภายหลัง แต่ก่อนฟ้องร้องบังคับคดีก็เป็นอันใช้บังคับได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2280/2567 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง การกู้ยืมเงินที่ต้องการหลักฐานเป็นหนังสือในการฟ้องร้องบังคับคดีต้องเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท ขึ้นไป และหลักฐานเป็นหนังสือเป็นหนังสือที่กฎหมายบังคับให้ต้องมี มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้ โดยไม่จำต้องมีในขณะกู้ยืมกัน แม้จะมีหลักฐานเป็นหนังสือภายหลัง แต่ก่อนฟ้องร้องบังคับคดีก็เป็นอันใช้บังคับได้ และคำฟ้องในคดีอาญาของจำเลย ถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์สามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


การกู้ยืมเงินที่ต้องการหลักฐานเป็นหนังสือในการฟ้องร้องบังคับคดี ไม่จำต้องมีในขณะกู้ยืมกัน แม้จะมีหลักฐานเป็นหนังสือภายหลัง แต่ก่อนฟ้องร้องบังคับคดีก็เป็นอันใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2280/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง การกู้ยืมเงินที่ต้องการหลักฐานเป็นหนังสือในการฟ้องร้องบังคับคดีต้องเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท ขึ้นไป และหลักฐานเป็นหนังสือเป็นหนังสือที่กฎหมายบังคับให้ต้องมี มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้ โดยไม่จำต้องมีในขณะกู้ยืมกัน แม้จะมีหลักฐานเป็นหนังสือภายหลัง แต่ก่อนฟ้องร้องบังคับคดีก็เป็นอันใช้บังคับได้ และคำฟ้องในคดีอาญาของจำเลย ถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์สามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


สถานที่ใดจะเป็นสาธารณสถานหรือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2520 สถานที่ใดจะเป็นสาธารณสถานหรือไม่ ไม่ต้องคำนึงว่าสถานที่นั้นจะเป็นสถานที่ผิดกฎหมาย เช่นสถานการค้าประเวณีหรือไม่เพียงแต่พิจารณาว่าสถานที่นั้นประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้หรือไม่และต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นราย ๆ ไป ถ้าประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ สถานที่นั้นก็เป็นสาธารณสถานไม่ใช่ที่รโหฐาน ได้ความว่าเจ้าของสถานการค้าประเวณีหรือซ่องโสเภณีมิได้หวงห้ามผู้หนึ่งผู้ใดที่จะไปหาความสุขกับหญิงโสเภณี หรือไปธุระอื่นที่จะเข้าไปในห้องโถงซึ่งใช้เป็นที่รับแขกในสถานการค้าประเวณีหรือซ่องโสเภณีนั้นห้องโถงจึงเป็นสถานที่ซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้เป็นสาธารณสถานไม่ใช่ที่รโหฐาน พนักงานตำรวจมีอำนาจค้นและจับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 93,78(3) จำเลยมีและใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ขัดขวางมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140, 289(2),80,52(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 12/2519) #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 




สถานที่ใดจะเป็นสาธารณสถานหรือไม่ 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2520
สถานที่ใดจะเป็นสาธารณสถานหรือไม่ ไม่ต้องคำนึงว่าสถานที่นั้นจะเป็นสถานที่ผิดกฎหมาย เช่นสถานการค้าประเวณีหรือไม่เพียงแต่พิจารณาว่าสถานที่นั้นประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้หรือไม่และต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นราย ๆ ไป ถ้าประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ สถานที่นั้นก็เป็นสาธารณสถานไม่ใช่ที่รโหฐาน
ได้ความว่าเจ้าของสถานการค้าประเวณีหรือซ่องโสเภณีมิได้หวงห้ามผู้หนึ่งผู้ใดที่จะไปหาความสุขกับหญิงโสเภณี หรือไปธุระอื่นที่จะเข้าไปในห้องโถงซึ่งใช้เป็นที่รับแขกในสถานการค้าประเวณีหรือซ่องโสเภณีนั้นห้องโถงจึงเป็นสถานที่ซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้เป็นสาธารณสถานไม่ใช่ที่รโหฐาน พนักงานตำรวจมีอำนาจค้นและจับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 93,78(3) จำเลยมีและใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ขัดขวางมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140, 289(2),80,52(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 12/2519)
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ คนเราทุกคนเกิดมาอาจจะไม่เท่าเทียมกัน รวยไม่เท่ากัน มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เท่ากัน แต่จะทำอย่างไรให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน กฎหมายจึงเป็นเครื่องมือสำหรับสร้างความยุติธรรม สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับคนในสังคม #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


ความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ

คนเราทุกคนเกิดมาอาจจะไม่เท่าเทียมกัน

รวยไม่เท่ากัน มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เท่ากัน แต่จะทำอย่างไรให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน

กฎหมายจึงเป็นเครื่องมือสำหรับสร้างความยุติธรรม สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับคนในสังคม 

#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


ขอมีภริยาน้อย คำพิพากษาฎีกาที่ 1437/2565 ในวันเกิดเหตุผู้ตายทะเลาะกับจำเลย โดยผู้ตายขอมีภริยาน้อย พูดจาดูถูกเหยียดหยามบุพการีจำเลย ไล่จำเลยให้ออกจากบ้านและผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลย ซึ่งการที่ผู้ตายด่าว่าจำเลยที่เป็นภริยาในลักษณะดูถูกเหยียดหยามและขอมีภริยาน้อยทั้งด่าไปถึงบุพการีของจำเลยและทำร้ายจำเลยเช่นนั้น ย่อมทำให้จำเลยรู้สึกแค้นเคืองเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย โดยขณะ พ. เข้ามาช่วยผู้ตายจำเลยยังพูดกับ พ. ว่า “ไม่ต้องไปช่วยมัน” จึงเป็นการกระทำความผิดขณะบันดาลโทสะอยู่ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น โดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 ซึ่งศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ นอกจากนั้นเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ตายมีส่วนก่อให้จำเลยกระทำความผิด ผู้ตายจึงมีส่วนในการกระทำความผิดอยู่ด้วย ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ตามประมวลกฎหมายวิพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) นาย ม. โดย นาง ส. ผู้แทนเฉพาะคดี ย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหม่ายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ตาม มาตรา 30 ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นาย ม.โดย นาง ส. ผู้แทนเฉพาะคดี เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วย มาตรา 225 #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


ขอมีภริยาน้อย
คำพิพากษาฎีกาที่ 1437/2565
                                 ในวันเกิดเหตุผู้ตายทะเลาะกับจำเลย โดยผู้ตายขอมีภริยาน้อย พูดจาดูถูกเหยียดหยามบุพการีจำเลย ไล่จำเลยให้ออกจากบ้านและผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลย ซึ่งการที่ผู้ตายด่าว่าจำเลยที่เป็นภริยาในลักษณะดูถูกเหยียดหยามและขอมีภริยาน้อยทั้งด่าไปถึงบุพการีของจำเลยและทำร้ายจำเลยเช่นนั้น ย่อมทำให้จำเลยรู้สึกแค้นเคืองเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย โดยขณะ พ. เข้ามาช่วยผู้ตายจำเลยยังพูดกับ พ. ว่า “ไม่ต้องไปช่วยมัน” จึงเป็นการกระทำความผิดขณะบันดาลโทสะอยู่ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น โดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 ซึ่งศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ 
                                     นอกจากนั้นเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ตายมีส่วนก่อให้จำเลยกระทำความผิด ผู้ตายจึงมีส่วนในการกระทำความผิดอยู่ด้วย ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ตามประมวลกฎหมายวิพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) นาย ม. โดย นาง ส. ผู้แทนเฉพาะคดี ย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหม่ายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ตาม มาตรา 30 ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นาย ม.โดย นาง ส. ผู้แทนเฉพาะคดี เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วย มาตรา 225
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


 

จำเลยอ้างครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกาให้โจทก์ชนะ เพราะจำเลยไม่แสดงเจตนาเป็นเจ้าของ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2552 การครอบครองโดยปรปักษ์นั้น มิใช่เพียงแต่ยึดถือเพื่อตนเองอย่างสิทธิครอบครองเท่านั้น ยังจะต้องมีการยึดถือครอบครองด้วยเจตนาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นด้วย ส่วนจะมีเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ซึ่งเป็นเรื่องอยู่ภายในจิตใจ ต้องอาศัยพฤติการณ์ต่างๆ แห่งการยึดถือครอบครองมาประกอบว่าพอจะเป็นการยึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของได้หรือไม่ สำหรับการครอบครองที่ดินพิพาทของ ม.ย. และจำเลย ก่อนวันที่ 8 สิงหาคม 2509 ไม่ได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่มีเอกสารสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ กรณีจึงรับฟังได้ว่าการครอบครองที่ดินพิพาทในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ ส่วนการครอบครองนับแต่วันที่ดินพิพาทมีโฉนดที่ดินแล้ว ก็ไม่ปรากฏถึงพฤติการณ์แห่งการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยผู้ครอบครองเคยแสดงออก เช่น หวงกันมิให้บุคคลอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือดูแลรักษาที่ดินพิพาทไว้เพื่อประโยชน์แห่งตนและปฏิเสธต่อการอ้างสิทธิในการเป็นเจ้าของต่อบุคคลอื่นเป็นต้น ดังนั้น การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของโจทก์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


จำเลยอ้างครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกาให้โจทก์ชนะ เพราะจำเลยไม่แสดงเจตนาเป็นเจ้าของ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2552
การครอบครองโดยปรปักษ์นั้น มิใช่เพียงแต่ยึดถือเพื่อตนเองอย่างสิทธิครอบครองเท่านั้น ยังจะต้องมีการยึดถือครอบครองด้วยเจตนาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นด้วย ส่วนจะมีเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ซึ่งเป็นเรื่องอยู่ภายในจิตใจ ต้องอาศัยพฤติการณ์ต่างๆ แห่งการยึดถือครอบครองมาประกอบว่าพอจะเป็นการยึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของได้หรือไม่ สำหรับการครอบครองที่ดินพิพาทของ ม.ย. และจำเลย ก่อนวันที่ 8 สิงหาคม 2509 ไม่ได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่มีเอกสารสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ กรณีจึงรับฟังได้ว่าการครอบครองที่ดินพิพาทในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ ส่วนการครอบครองนับแต่วันที่ดินพิพาทมีโฉนดที่ดินแล้ว ก็ไม่ปรากฏถึงพฤติการณ์แห่งการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยผู้ครอบครองเคยแสดงออก เช่น หวงกันมิให้บุคคลอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือดูแลรักษาที่ดินพิพาทไว้เพื่อประโยชน์แห่งตนและปฏิเสธต่อการอ้างสิทธิในการเป็นเจ้าของต่อบุคคลอื่นเป็นต้น ดังนั้น การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของโจทก์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


 

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

การจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของคนอื่นโดยการครอบครองปรปักษ์ จะต้องครอบครองหลังจากที่ดินมีโฉนดแล้ว และต้องครอบครองติดต่อกันด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 10 ปี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6462/2549 ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทนับแต่วันที่ที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ผู้ร้องก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 เนื่องจากการครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มนับแต่วันที่ที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินเป็นต้นไป ทั้งผู้ร้องจะนับระยะเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทก่อนจะมีการออกโฉนดที่ดินรวมเข้าด้วยก็มิได้ เพราะการที่จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น ใช้ได้แต่เฉพาะที่ดินมีกรรมสิทธิ์เท่านั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 121 ตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 ทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทให้แก่นาย ก. คือ โฉนดเลขที่ 11425 ตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยอ้างว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงเป็นการยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทนับแต่วันที่ที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 ถึงวันฟ้อง คือวันที่ 24 ธันวาคม 2545 ยังไม่ถึง 10 ปี แม้ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ผู้ร้องก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากการครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มนับแต่วันที่ที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินเป็นต้นไป ทั้งผู้ร้องจะนับระยะเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทก่อนจะมีการออกโฉนดที่ดินรวมเข้าด้วยก็มิได้ เพราะการที่จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น ใช้ได้แต่เฉพาะที่ดินมีกรรมสิทธิ์เท่านั้น #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


การจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของคนอื่นโดยการครอบครองปรปักษ์ จะต้องครอบครองหลังจากที่ดินมีโฉนดแล้ว และต้องครอบครองติดต่อกันด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6462/2549
ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทนับแต่วันที่ที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ผู้ร้องก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 เนื่องจากการครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มนับแต่วันที่ที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินเป็นต้นไป ทั้งผู้ร้องจะนับระยะเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทก่อนจะมีการออกโฉนดที่ดินรวมเข้าด้วยก็มิได้ เพราะการที่จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น ใช้ได้แต่เฉพาะที่ดินมีกรรมสิทธิ์เท่านั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 121 ตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 ทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทให้แก่นาย ก. คือ โฉนดเลขที่ 11425 ตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยอ้างว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงเป็นการยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทนับแต่วันที่ที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 ถึงวันฟ้อง คือวันที่ 24 ธันวาคม 2545 ยังไม่ถึง 10 ปี แม้ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ผู้ร้องก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากการครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มนับแต่วันที่ที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินเป็นต้นไป ทั้งผู้ร้องจะนับระยะเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทก่อนจะมีการออกโฉนดที่ดินรวมเข้าด้วยก็มิได้ เพราะการที่จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น ใช้ได้แต่เฉพาะที่ดินมีกรรมสิทธิ์เท่านั้น 
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


ตำรวจใช้ ไปซื้อยา จึง เป็นแค่เครื่องมือของตำรวจ ไม่มีความผิด ไม่ได้มีเจตนาทำผิดเอง คุณก็อาจจะไม่ต้องรับโทษ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2205/2554

 


ตำรวจใช้  ไปซื้อยา จึง เป็นแค่เครื่องมือของตำรวจ ไม่มีความผิด ไม่ได้มีเจตนาทำผิดเอง คุณก็อาจจะไม่ต้องรับโทษ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2205/2554 การที่จำเลยที่ 1 ยินยอมไปซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 2 มาให้เจ้าพนักงานตำรวจครั้งนี้ก็เพราะหวังค่าจ้าง ซึ่งไม่ว่าค่าจ้างนั้นจะเป็นกรณีตามที่โจทก์นำสืบว่าค่าจ้าง คือ แบ่งเมทแอมเฟตามีนให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวนครึ่งเม็ดหรือไม่มีค่าจ้าง จำเลยที่ 1 คงจะไม่ไปดำเนินการซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 2 มาให้ และการที่เจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยที่ 1 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 เช่นนี้ ถือเป็นการอาศัยจำเลยที่ 1 เป็นเครื่องมือ เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเป็นผู้เริ่มมิใช่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เริ่มในการไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 ส่วนการที่เจ้าพนักงานตำรวจมอบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อให้จำเลยที่ 1 ก็ดี หรือการที่จำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนของกลางมามอบให้เจ้าพนักงานตำรวจก็ดี เป็นวิธีการอย่างหนึ่งของเจ้าพนักงานตำรวจที่เคยให้สายลับไปดำเนินการ ซึ่งโดยปกติเจ้าพนักงานตำรวจก็มักจะให้ค่าตอบแทนแก่สายลับ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการสืบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยที่ 1 จึงอยู่ในสถานะเดียวกับสายลับ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำความผิด #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์



วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

หากคุณต้องการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คุณต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ แล้วจงตั้งเป้าหมาย พร้อมทั้งเริ่มลงมือทำ ในสิ่งที่คุณรักในทุกวัน ทีละเล็ก ทีละน้อย จนกระทั่งถึงเป้าหมายที่คุณต้องการ #อาจารย์โทนี่ #สุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


หากคุณต้องการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คุณต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ แล้วจงตั้งเป้าหมาย พร้อมทั้งเริ่มลงมือทำ ในสิ่งที่คุณรักในทุกวัน ทีละเล็ก ทีละน้อย จนกระทั่งถึงเป้าหมายที่คุณต้องการ #อาจารย์โทนี่ #สุทธิชัย ปัญญโรจน์

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

เมื่อลูกหนี้ถึงแก่ความตาย เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2161/2558 แม้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิงตาม ป.พ.พ. มาตรา 194 และมาตรา 214 แต่เมื่อลูกหนี้ถึงแก่ความตายกฎหมายคุ้มครองให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น ตามมาตรา 1734 และมาตรา 1738 วรรคหนึ่ง ดังนั้น เจ้าหนี้จะไปบังคับเอาจากทรัพย์สินของบุคคลอื่นไม่ได้ การที่ทายาทของลูกหนี้จะต้องรับผิดทั้งสิทธิและหน้าที่ของลูกหนี้ซึ่งเป็นเจ้ามรดกก็เพื่อให้เจ้าหนี้มีทางได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น ไม่ทำให้ทายาทนั้นต้องรับผิดชดใช้จากทรัพย์สินส่วนตัวด้วย หากทายาทรับทรัพย์สินจากกองมรดกของผู้ตายไปแล้วก็เพียงให้รับผิดไม่เกินทรัพย์มรดกที่ทายาทได้รับไปตามมาตรา 1601 และมาตรา 1738 วรรคสอง โดยยังถือว่าทรัพย์สินที่ได้รับไปนั้นเป็นกองมรดกอยู่ คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ผู้เป็นเจ้าหนี้กองมรดกฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นทายาทรับผิดในค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ตายเจ้ามรดกกระทำละเมิด จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องบังคับสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยเพื่อให้ได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น มิได้ฟ้องให้จำเลยต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ฉะนั้น เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิบังคับคดีเฉพาะทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตายเท่านั้น จึงไม่มีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ที่ดินพิพาท #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


เมื่อลูกหนี้ถึงแก่ความตาย เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2161/2558 แม้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิงตาม ป.พ.พ. มาตรา 194 และมาตรา 214 แต่เมื่อลูกหนี้ถึงแก่ความตายกฎหมายคุ้มครองให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น ตามมาตรา 1734 และมาตรา 1738 วรรคหนึ่ง ดังนั้น เจ้าหนี้จะไปบังคับเอาจากทรัพย์สินของบุคคลอื่นไม่ได้ การที่ทายาทของลูกหนี้จะต้องรับผิดทั้งสิทธิและหน้าที่ของลูกหนี้ซึ่งเป็นเจ้ามรดกก็เพื่อให้เจ้าหนี้มีทางได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น ไม่ทำให้ทายาทนั้นต้องรับผิดชดใช้จากทรัพย์สินส่วนตัวด้วย หากทายาทรับทรัพย์สินจากกองมรดกของผู้ตายไปแล้วก็เพียงให้รับผิดไม่เกินทรัพย์มรดกที่ทายาทได้รับไปตามมาตรา 1601 และมาตรา 1738 วรรคสอง โดยยังถือว่าทรัพย์สินที่ได้รับไปนั้นเป็นกองมรดกอยู่ คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ผู้เป็นเจ้าหนี้กองมรดกฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นทายาทรับผิดในค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ตายเจ้ามรดกกระทำละเมิด จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องบังคับสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยเพื่อให้ได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น มิได้ฟ้องให้จำเลยต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ฉะนั้น เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิบังคับคดีเฉพาะทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตายเท่านั้น จึงไม่มีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ที่ดินพิพาท #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ที่ดินสินสมรสโอนที่ดินโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จะเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายไม่ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2537

 


ที่ดินสินสมรสโอนที่ดินโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จะเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายไม่ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2537 เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์จึงอ้างสิทธิของตนขึ้นใช้ยันจำเลยที่ 3 ผู้รับโอนคนใหม่ไม่ได้ ไม่ว่าจำเลยที่ 3 จะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยสุจริตหรือไม่ เพราะสิทธิของโจทก์ได้ขาดตอนไปแล้วตั้งแต่ครั้งจำเลยที่ 2 รับโอนทางทะเบียนโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสินสมรสที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ปลอมลายมือชื่อโจทก์ในหนังสือให้ความยินยอมนิติกรรมการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นโมฆะ ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 3 รู้ว่า จำเลยที่ 2 ซื้อมาจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต นิติกรรมการโอนระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นโมฆะ ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปจัดการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ถ้าไม่สามารถโอนได้ ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้ราคา    จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา     จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตในราคา 250,000 บาทต่อมาจำเลยที่ 2 ได้โอนขายให้จำเลยที่ 3 โดยสุจริตเช่นเดียวกันจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง       จำเลยที่ 3 ให้การว่า การจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กระทำโดยสุจริตจำเลยที่ 3 ได้จดทะเบียนซื้อขายจากจำเลยที่ 2 โดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง    ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์  โจทก์อุทธรณ์     ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน  โจทก์ฎีกา ศาลฏีกาพิพากษายืน #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ตัวการร่วมกันลักทรัพย์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2567 แม้จะไม่มีพยานเห็นขณะจำเลยร่วมกับ บ. ยกถังสแตนเลสของโจทก์ร่วมขึ้นรถกระบะ แต่จากพฤติการณ์ที่จำเลยและ บ. ร่วมนั่งมาในรถกระบะคันเดียวกันโดยขาออกจากไร่มีถังดังกล่าวบรรทุกอยู่ที่กระบะท้าย ครั้นเมื่อกลับเข้ามาในไร่พร้อมกันกลับไม่มีถังดังกล่าวบรรทุกกลับมาด้วย บ่งชี้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับ บ. เป็นคนร้ายลักเอาถังสแตนเลสของโจทก์ร่วมไป #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


ตัวการร่วมกันลักทรัพย์ 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  428/2567
แม้จะไม่มีพยานเห็นขณะจำเลยร่วมกับ บ. ยกถังสแตนเลสของโจทก์ร่วมขึ้นรถกระบะ แต่จากพฤติการณ์ที่จำเลยและ บ. ร่วมนั่งมาในรถกระบะคันเดียวกันโดยขาออกจากไร่มีถังดังกล่าวบรรทุกอยู่ที่กระบะท้าย ครั้นเมื่อกลับเข้ามาในไร่พร้อมกันกลับไม่มีถังดังกล่าวบรรทุกกลับมาด้วย บ่งชี้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกับ บ. เป็นคนร้ายลักเอาถังสแตนเลสของโจทก์ร่วมไป
#ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


 

เชื่อโดยสุจริตว่าเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3336/2547 บทบัญญัติใน ป.อ. มาตรา 84 หมายความว่า ผู้ใช้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดโดยผู้ถูกใช้รู้ว่าการกระทำตามที่ถูกใช้เป็นความผิด หากผู้ถูกใช้กระทำความผิดตามที่ถูกใช้ ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ หากผู้ถูกใช้ไม่กระทำผิดตามที่ถูกใช้ ผู้ใช้ต้องรับโทษหนึ่งในสามของโทษที่กำหนด คดีนี้ บ. เป็นนักการภารโรงไม่มีส่วนได้เสียในบัญชีเงินกู้และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างหรือให้ประโยชน์แก่ บ. ในการเผาทำลายบัญชีเงินกู้ จึงไม่มีเหตุที่ บ. ต้องเผาบัญชีเงินกู้ หาก บ. ทราบว่าการเผาทำลายบัญชีเงินกู้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย บ. ก็คงไม่กระทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 เนื่องจาก บ. อาจต้องรับโทษโดยที่ตนเองไม่ได้ประโยชน์ แต่ บ. ยอมเผาบัญชีเงินกู้ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาคงเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา การที่จำเลยที่ 1 สั่งให้ บ. เผาบัญชีเงินกู้นั้น จึงไม่ใช่เป็นการใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด เพราะ บ. ผู้ถูกใช้ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด แต่เป็นการที่จำเลยที่ 1 ใช้ บ. เป็นเครื่องมือของจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด ถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิดเองโดยอ้อม #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


เชื่อโดยสุจริตว่าเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3336/2547 บทบัญญัติใน ป.อ. มาตรา 84 หมายความว่า ผู้ใช้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดโดยผู้ถูกใช้รู้ว่าการกระทำตามที่ถูกใช้เป็นความผิด หากผู้ถูกใช้กระทำความผิดตามที่ถูกใช้ ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ หากผู้ถูกใช้ไม่กระทำผิดตามที่ถูกใช้ ผู้ใช้ต้องรับโทษหนึ่งในสามของโทษที่กำหนด คดีนี้ บ. เป็นนักการภารโรงไม่มีส่วนได้เสียในบัญชีเงินกู้และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างหรือให้ประโยชน์แก่ บ. ในการเผาทำลายบัญชีเงินกู้ จึงไม่มีเหตุที่ บ. ต้องเผาบัญชีเงินกู้ หาก บ. ทราบว่าการเผาทำลายบัญชีเงินกู้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย บ. ก็คงไม่กระทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 เนื่องจาก บ. อาจต้องรับโทษโดยที่ตนเองไม่ได้ประโยชน์ แต่ บ. ยอมเผาบัญชีเงินกู้ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาคงเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา การที่จำเลยที่ 1 สั่งให้ บ. เผาบัญชีเงินกู้นั้น จึงไม่ใช่เป็นการใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด เพราะ บ. ผู้ถูกใช้ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด แต่เป็นการที่จำเลยที่ 1 ใช้ บ. เป็นเครื่องมือของจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด ถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิดเองโดยอ้อม #ทนายโทนี่ #ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์