วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สัญญาประนีประนอมยอมความ คือ สัญญาที่ทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาท สัญญาเกิดขึ้นได้เพราะมีคน 2 ฝ่ายขึ้นไปร่วมทำสัญญากัน ไม่ว่าจะเป็นสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างทำของ สัญญาจ้างรับเหมาก่อสร้างต่อเติมบ้าน สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่า ฯลฯ สัญญาประนีประนอมยอมความ 2 ประเภท สัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาล คือการยอมผ่อนผันให้กันและทำสัญญากันขึ้นนอกศาล ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามสัญญาประนีประนอมยอมความกัน อีกฝ่ายก็ต้องไปฟ้องศาลตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นใหม่ สัญญาประนีประนอมยอมความในศาล คือการทำสัญญายอมหลังจากมีการฟ้องศาลไปแล้วและต่างฝ่ายต่างตกลงกันได้ ยอมลดราวาศอกให้อีกฝ่าย โดยมีการทำสัญญากันต่อหน้าศาล เมื่อทำสัญญาแล้วศาลจะพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้ เรียกว่า “พิพากษาตามยอม” ถ้าอีกฝ่ายไม่ทำตามสัญญาคู่ความก็สามารถบังคับคดีได้เลย ไม่ต้องไปฟ้องใหม่เพราะมีการฟ้องและศาลพิพากษาแล้ว ถ้าไปฟ้องอีกก็จะกลายเป็นฟ้องซ้ำ ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

 


สัญญาประนีประนอมยอมความ คือ สัญญาที่ทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาท สัญญาเกิดขึ้นได้เพราะมีคน 2 ฝ่ายขึ้นไปร่วมทำสัญญากัน ไม่ว่าจะเป็นสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาจ้างแรงงาน สัญญาจ้างทำของ  สัญญาจ้างรับเหมาก่อสร้างต่อเติมบ้าน สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่า ฯลฯ สัญญาประนีประนอมยอมความ 2 ประเภท สัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาล คือการยอมผ่อนผันให้กันและทำสัญญากันขึ้นนอกศาล  ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามสัญญาประนีประนอมยอมความกัน อีกฝ่ายก็ต้องไปฟ้องศาลตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นใหม่ สัญญาประนีประนอมยอมความในศาล คือการทำสัญญายอมหลังจากมีการฟ้องศาลไปแล้วและต่างฝ่ายต่างตกลงกันได้ ยอมลดราวาศอกให้อีกฝ่าย โดยมีการทำสัญญากันต่อหน้าศาล เมื่อทำสัญญาแล้วศาลจะพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้ เรียกว่า “พิพากษาตามยอม” ถ้าอีกฝ่ายไม่ทำตามสัญญาคู่ความก็สามารถบังคับคดีได้เลย ไม่ต้องไปฟ้องใหม่เพราะมีการฟ้องและศาลพิพากษาแล้ว ถ้าไปฟ้องอีกก็จะกลายเป็นฟ้องซ้ำ ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com



จุดไฟให้ลุกในใจ เปลี่ยนวันที่แย่แย่ให้กลับมาสู้ใหม่ ในวันที่คนอื่นๆ หาเหตุผลร้อยแปดที่ต้องการ “ ยอมแพ้ ล้มเลิก ไม่ไปต่อ ” แต่ คุณจงเป็นคนที่หาเหตุผลในการ “ สู้ต่อ ไม่หยุด เดินไปข้างหน้า ” สุทธิชัย ปัญญโรจน์ อาจารย์โทนี่ www.drsuthichai.com

 


จุดไฟให้ลุกในใจ เปลี่ยนวันที่แย่แย่ให้กลับมาสู้ใหม่ ในวันที่คนอื่นๆ หาเหตุผลร้อยแปดที่ต้องการ “ ยอมแพ้ ล้มเลิก ไม่ไปต่อ ” แต่ คุณจงเป็นคนที่หาเหตุผลในการ “ สู้ต่อ ไม่หยุด เดินไปข้างหน้า ” สุทธิชัย ปัญญโรจน์ อาจารย์โทนี่ www.drsuthichai.com

การสมรสซ้อน ถาม นาย A มีคู่สมรสแล้ว แต่ได้หลอกนางสาว B ว่า โสดยังไม่ได้แต่งงานหรือจดทะเบยนสมรส นางสาวB หลงเชื่อว่า นายA เป็นโสดจริงๆ จึงยอมแต่งงานและจดทะเบียนสมรสด้วย ดั้งนั้น การสมรสจะตกเป็นโมฆะหรือไม่

 


การสมรสซ้อน
ถาม นาย A มีคู่สมรสแล้ว แต่ได้หลอกนางสาว B ว่า
โสดยังไม่ได้แต่งงานหรือจดทะเบยนสมรส นางสาวB
หลงเชื่อว่า นายA เป็นโสดจริงๆ จึงยอมแต่งงานและจดทะเบียนสมรสด้วย
ดั้งนั้น การสมรสจะตกเป็นโมฆะหรือไม่

ตอบ ตกเป็นโมฆะ แม้ว่านางสาว B จะกระทำด้วยความสุจริตหรือไม่รู้ก็ตาม
ชายหรือหญิง หากว่ามีคู่สมรสแล้ว แล้วทำการสมรสซ้อน
ไม่ว่าจะกระทำโดยสุจริตหรือไม่ ย่อมตกเป็นโมฆะ 
อ้างอิง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6924/2560 
ป.พ.พ.มาตรา 1452 บัญญัติถึงเงื่อนไขในการสมรสว่า ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ 
ดังนั้น หากชายหรือหญิงทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ ไม่ว่าจะกระทำการโดยสุจริตหรือไม่ ย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น ตามป.พ.พ.มาตรา 1495
ทนายโทนี่
ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com


วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ำเซาะพัง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 2744/2546 จำเลยปลูกบ้านในที่ดินพิพาทที่เช่าจากโจทก์ ต่อมาที่ดินพิพาทใต้อาคารบ้านที่จำเลยปลูกสร้างถูกน้ำกัดเซาะเป็นเหตุให้ตลิ่งพังทลายลงสู่แม่น้ำ ที่ดินพิพาทกลายสภาพเป็นที่ชายตลิ่งโดยที่จำเลยยังคงทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ตลอดมาซึ่งโจทก์ก็ยังคงสงวนสิทธิแห่งความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เป็นค่าเช่าที่ดินพิพาทอยู่ มิได้ปล่อยทิ้งให้เป็นที่ชายตลิ่งที่ประชาชนทั่วไปจะเข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงมิใช่ที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) เมื่อสัญญาเช่าที่ดินพิพาทสิ้นสุดลงและล่วงเลยเวลาที่โจทก์ผ่อนผันให้จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์อีกต่อไป โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 

คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ำเซาะพัง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 2744/2546 จำเลยปลูกบ้านในที่ดินพิพาทที่เช่าจากโจทก์ ต่อมาที่ดินพิพาทใต้อาคารบ้านที่จำเลยปลูกสร้างถูกน้ำกัดเซาะเป็นเหตุให้ตลิ่งพังทลายลงสู่แม่น้ำ ที่ดินพิพาทกลายสภาพเป็นที่ชายตลิ่งโดยที่จำเลยยังคงทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ตลอดมาซึ่งโจทก์ก็ยังคงสงวนสิทธิแห่งความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เป็นค่าเช่าที่ดินพิพาทอยู่ มิได้ปล่อยทิ้งให้เป็นที่ชายตลิ่งที่ประชาชนทั่วไปจะเข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงมิใช่ที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) เมื่อสัญญาเช่าที่ดินพิพาทสิ้นสุดลงและล่วงเลยเวลาที่โจทก์ผ่อนผันให้จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์อีกต่อไป โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ำเซาะพัง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๓ - ๓๖๐/๒๕๐๗ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ นั้น การที่จะตีความว่า ถ้าที่ใดเป็นที่ชายตลิ่งแล้วย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เสมอไปนั้น ย่อมไม่ถูกต้อง เพราะจะต้องมีสภาพเป็นทรัพย์สินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกันด้วย จําเลยปลูกอาคารลงในที่ดินของจําเลยแม้ภายใต้อาคารนั้นถูกน้ำเซาะพังลงกลายสภาพเป็น ที่ชายตลิ่ง แต่จําเลยก็ยังใช้สิทธิแห่งความเป็นเจ้าของ คงครอบครองอาคารและที่ดินนั้นอยู่ มิได้ทอดทิ้ง ปล่อยให้เป็นที่ชายตลิ่งสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้ว ที่พิพาทนั้นยังหาเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 

คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ำเซาะพัง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๓ - ๓๖๐/๒๕๐๗ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ นั้น การที่จะตีความว่า ถ้าที่ใดเป็นที่ชายตลิ่งแล้วย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เสมอไปนั้น ย่อมไม่ถูกต้อง เพราะจะต้องมีสภาพเป็นทรัพย์สินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกันด้วย จําเลยปลูกอาคารลงในที่ดินของจําเลยแม้ภายใต้อาคารนั้นถูกน้ำเซาะพังลงกลายสภาพเป็น ที่ชายตลิ่ง แต่จําเลยก็ยังใช้สิทธิแห่งความเป็นเจ้าของ คงครอบครองอาคารและที่ดินนั้นอยู่ มิได้ทอดทิ้ง ปล่อยให้เป็นที่ชายตลิ่งสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้ว ที่พิพาทนั้นยังหาเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ำเซาะพัง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๙๓/๒๕๒๓ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทยังเป็นของโจทก์ กับพวกอยู่ แม้น้ำจะเซาะที่ดินโจทก์กับพวกตรงที่พิพาทจนกลายสภาพเป็นที่ชายตลิ่งไปแล้วก็ตาม แต่โจทก์ กับพวกก็ยังใช้สิทธิเป็นเจ้าของโดยใช้เป็นทางเข้าออกอยู่ มิได้ทอดทิ้งให้เป็นที่สําหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ที่พิพาท จึงไม่เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ำเซาะพัง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๙๓/๒๕๒๓ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทยังเป็นของโจทก์ กับพวกอยู่ แม้น้ำจะเซาะที่ดินโจทก์กับพวกตรงที่พิพาทจนกลายสภาพเป็นที่ชายตลิ่งไปแล้วก็ตาม แต่โจทก์ กับพวกก็ยังใช้สิทธิเป็นเจ้าของโดยใช้เป็นทางเข้าออกอยู่ มิได้ทอดทิ้งให้เป็นที่สําหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ที่พิพาท จึงไม่เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ําเซาะพัง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๕/๒๔๗๕ ที่ดินที่ ถูกทางน้ําเซาะดินพัง แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นลําคลอง สาธารณะ เจ้าของที่ดินยังมีกรรมสิทธิ์อยู่ ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


คําพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่ดินชายตลิ่งที่ถูกน้ําเซาะพัง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๕/๒๔๗๕ ที่ดินที่ ถูกทางน้ําเซาะดินพัง แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นลําคลอง สาธารณะ เจ้าของที่ดินยังมีกรรมสิทธิ์อยู่ ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ผู้ที่มีชื่อในทะเบียนที่ดินได้รับข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามกฎหมายดีกว่า คำพิพากษาฎีกาที่ 4679/2559 ที่ดินตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โจทก์ซื้อมาเมื่อปี 2535 ตามสารบัญจดทะเบียนในเอกสารดังกล่าวอันเป็นทะเบียนที่ดิน โจทก์จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนั้น ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 


ผู้ที่มีชื่อในทะเบียนที่ดินได้รับข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามกฎหมายดีกว่า คำพิพากษาฎีกาที่ 4679/2559 ที่ดินตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โจทก์ซื้อมาเมื่อปี 2535 ตามสารบัญจดทะเบียนในเอกสารดังกล่าวอันเป็นทะเบียนที่ดิน โจทก์จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนั้น ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์อยู่และถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายย่อมรับไปทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่อโจทก์ คำพิพากษาฎีกาที่ 809 / 2545 โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของ ท. ผู้ตายให้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองที่ ท. ได้จำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงินกู้ไว้แม้โจทก์ฟ้องคดีหลังจาก ท. ถึงแก่ความตายไปเกิน 1 ปี คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคสามแล้ว แต่บทบัญญัติดังกล่าวยกเว้นมิให้ใช้บังคับในกรณีสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ตามมาตรา 193/27 แม้คดีขาดอายุความแล้ว ก็ยังยอมให้โจทก์ผู้รับจำนองใช้สิทธิบังคับเอาจากทรัพย์สินที่จำนองได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของ ท. ให้ชำระหนี้โจทก์จากทรัพย์สินที่จำนองได้ โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจโดยทำเป็นหนังสือแก่ ร. ทนายโจทก์ให้บอกกล่าวบังคับจำนอง แต่เมื่อ ร. ได้บอกกล่าวบังคับจำนองในนามของโจทก์และโจทก์ยอมรับเอาการบอกกล่าวแล้ว ย่อมถือว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 823 และถือว่าโจทก์ได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยแล้ว ท. ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์อยู่และถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายย่อมรับไปทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่อโจทก์ โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกร้องบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมได้เท่าที่ไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601 ส่วนจำเลยจะได้รับมรดกของผู้ตาย และผู้ตายจะมีทรัพย์มรดกหรือไม่ เป็นเรื่องต้องว่ากันในชั้นบังคับคดี

 


ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์อยู่และถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายย่อมรับไปทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่อโจทก์ คำพิพากษาฎีกาที่ 809 / 2545 โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของ ท. ผู้ตายให้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองที่ ท. ได้จำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงินกู้ไว้แม้โจทก์ฟ้องคดีหลังจาก ท. ถึงแก่ความตายไปเกิน 1 ปี คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคสามแล้ว แต่บทบัญญัติดังกล่าวยกเว้นมิให้ใช้บังคับในกรณีสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ตามมาตรา 193/27 แม้คดีขาดอายุความแล้ว ก็ยังยอมให้โจทก์ผู้รับจำนองใช้สิทธิบังคับเอาจากทรัพย์สินที่จำนองได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมของ ท. ให้ชำระหนี้โจทก์จากทรัพย์สินที่จำนองได้ โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจโดยทำเป็นหนังสือแก่ ร. ทนายโจทก์ให้บอกกล่าวบังคับจำนอง แต่เมื่อ ร. ได้บอกกล่าวบังคับจำนองในนามของโจทก์และโจทก์ยอมรับเอาการบอกกล่าวแล้ว ย่อมถือว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 823 และถือว่าโจทก์ได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยแล้ว ท. ผู้ตายเป็นหนี้โจทก์อยู่และถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายย่อมรับไปทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่อโจทก์ โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกร้องบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมได้เท่าที่ไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601 ส่วนจำเลยจะได้รับมรดกของผู้ตาย และผู้ตายจะมีทรัพย์มรดกหรือไม่ เป็นเรื่องต้องว่ากันในชั้นบังคับคดี

การนำเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่น ว่าการกระทำความผิดอาญาศาลยกฟ้อง การกระทำนี้จะถือว่าเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จหรือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6430/2560 การที่จำเลยกับ อ. เข้าไปเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันไปขายได้เงิน 713,733 บาท จริง ซึ่งรายได้ดังกล่าวเป็นดอกผลของทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ต้องแบ่งแก่ทายาททุกคนเท่าๆกัน แต่จำเลยกลับแบ่งให้โจทก์และ จ. ไม่เท่ากัน ส่วนที่เหลือจำเลยกับ อ. ได้ไปเกินกว่าส่วนแบ่งที่ตนควรจะได้รับ เมื่อฝ่ายโจทก์ทวงถาม ฝ่ายจำเลยกลับท้าให้โจทก์ฟ้อง พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกย่อมทำให้โจทก์เข้าใจได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันเบียดบังเอาเงินผลผลิตปาล์มน้ำมันไปเป็นของตนโดยทุจริต ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันยักยอกเงินผลผลิตปาล์มน้ำมันตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3573/2555 ของศาลชั้นต้น จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลกล่าวหาจำเลยไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หาใช่โจทก์เอาความอันเป็นเท็จฟ้องจำเลยการที่จำเลยมาฟ้องโจทก์หาว่าโจทก์เอาความอันเป็นเท็จฟ้องจำเลย ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3893/2555 ของศาลชั้นต้น ทั้งที่รู้แล้วว่าเรื่องที่จำเลยนำมาฟ้องโจทก์เป็นความเท็จ จึงเป็นฟ้องเท็จตาม ป.อ. มาตรา 175 เมื่อจำเลยฟ้องเท็จแล้ว แม้ศาลจะยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จตามบทบัญญัติดังกล่าว อ้างอิง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 ผู้ใดเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา หรือว่ากระทำความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

การนำเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่น ว่าการกระทำความผิดอาญาศาลยกฟ้อง การกระทำนี้จะถือว่าเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จหรือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6430/2560 การที่จำเลยกับ อ. เข้าไปเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมันไปขายได้เงิน 713,733 บาท จริง ซึ่งรายได้ดังกล่าวเป็นดอกผลของทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ต้องแบ่งแก่ทายาททุกคนเท่าๆกัน แต่จำเลยกลับแบ่งให้โจทก์และ จ. ไม่เท่ากัน ส่วนที่เหลือจำเลยกับ อ. ได้ไปเกินกว่าส่วนแบ่งที่ตนควรจะได้รับ เมื่อฝ่ายโจทก์ทวงถาม ฝ่ายจำเลยกลับท้าให้โจทก์ฟ้อง พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกย่อมทำให้โจทก์เข้าใจได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันเบียดบังเอาเงินผลผลิตปาล์มน้ำมันไปเป็นของตนโดยทุจริต ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันยักยอกเงินผลผลิตปาล์มน้ำมันตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3573/2555 ของศาลชั้นต้น จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลกล่าวหาจำเลยไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หาใช่โจทก์เอาความอันเป็นเท็จฟ้องจำเลยการที่จำเลยมาฟ้องโจทก์หาว่าโจทก์เอาความอันเป็นเท็จฟ้องจำเลย ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3893/2555 ของศาลชั้นต้น ทั้งที่รู้แล้วว่าเรื่องที่จำเลยนำมาฟ้องโจทก์เป็นความเท็จ จึงเป็นฟ้องเท็จตาม ป.อ. มาตรา 175 เมื่อจำเลยฟ้องเท็จแล้ว แม้ศาลจะยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จตามบทบัญญัติดังกล่าว อ้างอิง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175  ผู้ใดเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา หรือว่ากระทำความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์


 

ทางสาธารณะมิได้จำกัดแต่เฉพาะทางบกเท่านั้น ทางน้ำก็เป็นทางสาธารณะได้ แม่น้ำเจ้าพระยาจึงถือว่าเป็นทางสาธารณะ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2567 ทางจำเป็นตาม ป.พ.พ.มาตรา 1349 เป็นการจำกัดหรือลิดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้อื่น จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด แม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ยังคงมีสภาพเป็นทางสาธารณะ แม้การสัญจรจะไม่สะดวกและไม่สอดคล้องกับความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเท่าการสัญจรทางบกก็ไม่ทำให้สิ้นสภาพเป็นทางสาธารณะไป ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ (ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางพิพาทให้เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 ทางสาธารณะมิได้จำกัดแต่เฉพาะทางบกเท่านั้น ทางน้ำก็เป็นทางสาธารณะได้ และ พิพากษากลับให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่) ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

 

ทางสาธารณะมิได้จำกัดแต่เฉพาะทางบกเท่านั้น ทางน้ำก็เป็นทางสาธารณะได้ แม่น้ำเจ้าพระยาจึงถือว่าเป็นทางสาธารณะ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2567 ทางจำเป็นตาม ป.พ.พ.มาตรา 1349 เป็นการจำกัดหรือลิดรอนอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้อื่น จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด แม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ยังคงมีสภาพเป็นทางสาธารณะ แม้การสัญจรจะไม่สะดวกและไม่สอดคล้องกับความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเท่าการสัญจรทางบกก็ไม่ทำให้สิ้นสภาพเป็นทางสาธารณะไป ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ (ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสี่เปิดทางพิพาทให้เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 ทางสาธารณะมิได้จำกัดแต่เฉพาะทางบกเท่านั้น ทางน้ำก็เป็นทางสาธารณะได้ และ พิพากษากลับให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่) ทนายโทนี่ ทนายสุทธิชัย ปัญญโรจน์

หากผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สิน ผู้รับจำนองต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนด้วยตามเงื่อนไขใน ป.พ.พ. มาตรา 728 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5226/2567 (หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 728, 735) โจทก์มิได้ฟ้องบริษัท อ. ลูกหนี้ผู้กู้ยืมเงินเป็นจำเลย และแม้โจทก์จะฟ้อง ช. เป็นจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ก็ฟ้องในฐานะที่ ช. เป็นทายาทโดยธรรมของ ส. ผู้ค้ำประกันและผู้จำนองอีกคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ฟ้อง ช. เป็นจำเลยในฐานะผู้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 82147 เมื่อผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สินซึ่งจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 735 ผู้รับจำนองต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนด้วยตามเงื่อนไขใน ป.พ.พ. มาตรา 728 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์มิได้บอกกล่าวไปยังบริษัท อ. ลูกหนี้ก่อนด้วยว่าให้ชำระหนี้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 82147 ได้

 


หากผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สิน  ผู้รับจำนองต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนด้วยตามเงื่อนไขใน ป.พ.พ. มาตรา 728 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5226/2567 (หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 728, 735) โจทก์มิได้ฟ้องบริษัท อ. ลูกหนี้ผู้กู้ยืมเงินเป็นจำเลย และแม้โจทก์จะฟ้อง ช. เป็นจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ก็ฟ้องในฐานะที่ ช. เป็นทายาทโดยธรรมของ ส. ผู้ค้ำประกันและผู้จำนองอีกคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ฟ้อง ช. เป็นจำเลยในฐานะผู้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 82147 เมื่อผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สินซึ่งจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 735 ผู้รับจำนองต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนด้วยตามเงื่อนไขใน ป.พ.พ. มาตรา 728 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์มิได้บอกกล่าวไปยังบริษัท อ. ลูกหนี้ก่อนด้วยว่าให้ชำระหนี้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 82147 ได้

ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับมารดาผู้เสียหายแล้ว แต่จำเลยเคยอุปการะผู้เสียหายเสมือนบิดา เมื่อมารดาพาผู้เสียหายไปฝากพักอาศัยอยู่ และจำเลยได้มีพฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เสียหาย จึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5524/2567(เล่ม 9 หน้า 2038) หลักกฎหมาย ป.อ. มาตรา 285 แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับ ก. แล้ว และอำนาจปกครองของผู้เสียหายตามกฎหมายเป็นของ ก. ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุ ก. พาผู้เสียหายไปฝากให้พักอาศัยอยู่กับจำเลยซึ่งก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยพักอาศัยอยู่กับจําเลยหลายปีโดยจำเลยอุปการะเลี้ยงผู้เสียหายเสมือนเป็นบิดา เช่นนี้ พฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายจึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย ซึ่งก่อนเกิดเหตุเคยอยู่ในความอุปการะของจำเลย และขณะเกิดเหตุ ก. ได้ฝากให้ผู้เสียหายอยู่ในความดูแลของจำเลย ทำให้ผู้เสียหายต้องมีความเคารพยำเกรงและเชื่อฟังจำเลย ผู้เสียหายจึงเป็นผู้อยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 285 แล้ว ดังนี้ เมื่อจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายในระหว่างที่ผู้เสียหายอยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้น

 


ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับมารดาผู้เสียหายแล้ว แต่จำเลยเคยอุปการะผู้เสียหายเสมือนบิดา เมื่อมารดาพาผู้เสียหายไปฝากพักอาศัยอยู่ และจำเลยได้มีพฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เสียหาย จึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5524/2567(เล่ม 9 หน้า 2038) หลักกฎหมาย ป.อ. มาตรา 285 แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับ ก. แล้ว และอำนาจปกครองของผู้เสียหายตามกฎหมายเป็นของ ก. ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุ ก. พาผู้เสียหายไปฝากให้พักอาศัยอยู่กับจำเลยซึ่งก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยพักอาศัยอยู่กับจําเลยหลายปีโดยจำเลยอุปการะเลี้ยงผู้เสียหายเสมือนเป็นบิดา เช่นนี้ พฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายจึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย ซึ่งก่อนเกิดเหตุเคยอยู่ในความอุปการะของจำเลย และขณะเกิดเหตุ ก. ได้ฝากให้ผู้เสียหายอยู่ในความดูแลของจำเลย ทำให้ผู้เสียหายต้องมีความเคารพยำเกรงและเชื่อฟังจำเลย ผู้เสียหายจึงเป็นผู้อยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 285 แล้ว ดังนี้ เมื่อจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายในระหว่างที่ผู้เสียหายอยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

หลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิมาหลอกขาย การซื้อขายที่ดินจึงเป็นโมฆะ ต้องคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8755/2551 จำเลยหลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิมาหลอกขายให้โจทก์ ทำให้โจทก์เข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองสามารถโอนสิทธิและนำไปออกเอกสารสิทธิได้ เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญา การซื้อขายที่ดินจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 และต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ จำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี


หลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิมาหลอกขาย การซื้อขายที่ดินจึงเป็นโมฆะ ต้องคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8755/2551 จำเลยหลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิมาหลอกขายให้โจทก์ ทำให้โจทก์เข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองสามารถโอนสิทธิและนำไปออกเอกสารสิทธิได้ เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญา การซื้อขายที่ดินจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 และต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ จำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี



 

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

คนเราที่เกิดทุกข์ก็เพราะความคิดปรุงแต่ง เรานำเอาความคิดปรุงแต่งนำหน้า จิตดั้งเดิมหรือความจริงแท้อยู่ตลอดเวลา หากว่าเราสับเปลี่ยนโดยการนำเอา จิตดั้งเดิมหรือความจริงแท้มานำหน้า ความคิดปรุงแต่ง อยู่ด้านหลัง เราก็จะไม่เกิดทุกข์ อีกทั้ง จิตดั้งเดิมหรือความจริงแท้ ก็จะรู้เท่าทันความคิดปรุงแต่ง

 


คนเราที่เกิดทุกข์ก็เพราะความคิดปรุงแต่ง เรานำเอาความคิดปรุงแต่งนำหน้า จิตดั้งเดิมหรือความจริงแท้อยู่ตลอดเวลา หากว่าเราสับเปลี่ยนโดยการนำเอา จิตดั้งเดิมหรือความจริงแท้มานำหน้า ความคิดปรุงแต่ง อยู่ด้านหลัง เราก็จะไม่เกิดทุกข์ อีกทั้ง จิตดั้งเดิมหรือความจริงแท้ ก็จะรู้เท่าทันความคิดปรุงแต่ง

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

จิตเดิมแท้หรือจิตดั้งเดิมของคนเรา ตอนเราเป็นทารกเหมือนกระดาษขาวแต่พอเราเริ่มโตขึ้น เราก็เอาสิ่งสมมุติมาปรุงแต่ง จนเป็นตัวกู ของกู เช่น พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายของเรา รถบ้านที่ดินเงินทองของเราจนทำให้กระดาษขาว มันเปื้อนไปหมด จนเกิดความทุกข์ ความสุข ความโลภ ความหลงความโกรธ ความรัก ความสมหวัง ความผิดหวังหากเรามีปัญญา เรารู้ว่า จิตเดิมแท้หรือจิตดั้งเดิม เป็นกระดาษขาว เราก็จะไม่หลงในสิ่งสมมุติ เราก็จะอยู่เหนือสิ่งสมมุติ จิตเดิมแท้ก็จะไม่ปรุงแต่ง

 

จิตเดิมแท้หรือจิตดั้งเดิมของคนเรา ตอนเราเป็นทารกเหมือนกระดาษขาวแต่พอเราเริ่มโตขึ้น เราก็เอาสิ่งสมมุติมาปรุงแต่ง จนเป็นตัวกู ของกู เช่น พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายของเรา รถบ้านที่ดินเงินทองของเราจนทำให้กระดาษขาว มันเปื้อนไปหมด จนเกิดความทุกข์ ความสุข ความโลภ ความหลงความโกรธ ความรัก ความสมหวัง ความผิดหวังหากเรามีปัญญา เรารู้ว่า จิตเดิมแท้หรือจิตดั้งเดิม เป็นกระดาษขาว เราก็จะไม่หลงในสิ่งสมมุติ เราก็จะอยู่เหนือสิ่งสมมุติ จิตเดิมแท้ก็จะไม่ปรุงแต่ง


วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

คนคิดเก่ง คิดมาก ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นทุกข์ จึงถือได้ว่าเป็นคนที่คิดไม่เป็น คิดเก่ง คิดมาก คิดเพราะมีกิเลสตัณหา อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากประสบความสำเร็จ อยากร่ำรวย อยากมีชื่อเสียง เราจึงคิด ความอยากจึงเป็นที่มาของความทุกข์ ตามหลัก อริยสัจ 4 ที่มาของทุกข์คือ "สมุทัย" ซึ่งหมายถึง สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ หลายคนคิดกังวล คิดสงสัย คิดกลัว คิดลบ คิดจนเครียด นักคิดเก่ง นักคิดมาก หลายคนจึงคิดจนความเครียดลงกระเพาะ คิดจนเป็นไมเกรน คิดจนเป็นโรคซึมเศร้า จึงถือได้ว่า คนคิดเก่ง คิดมาก เหล่านี้เป็นคนคิดไม่เป็น เพจ : อิสระโดยธรรม

 


คนคิดเก่ง คิดมาก ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นทุกข์ จึงถือได้ว่าเป็นคนที่คิดไม่เป็น คิดเก่ง คิดมาก คิดเพราะมีกิเลสตัณหา อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากประสบความสำเร็จ  อยากร่ำรวย อยากมีชื่อเสียง เราจึงคิด ความอยากจึงเป็นที่มาของความทุกข์ ตามหลัก อริยสัจ 4  ที่มาของทุกข์คือ "สมุทัย" ซึ่งหมายถึง สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ หลายคนคิดกังวล คิดสงสัย  คิดกลัว คิดลบ คิดจนเครียด นักคิดเก่ง นักคิดมาก หลายคนจึงคิดจนความเครียดลงกระเพาะ คิดจนเป็นไมเกรน คิดจนเป็นโรคซึมเศร้า จึงถือได้ว่า คนคิดเก่ง คิดมาก เหล่านี้เป็นคนคิดไม่เป็น เพจ : อิสระโดยธรรม

ความคิดเปรียบเสมือนกับลิง(คิดทุกข์ คิดสุข คิดบวก คิดลบ ความคิดมาก คิดไม่หยุด มีลักษณะไม่อยู่นิ่ง คิดไปคิดมาอยู่ตลอดเวลา) สติเปรียบเสมือนเชือก (สติมีหน้าที่ดึงหรือตรึงความคิดไว้) ภาวนาเปรียบเสมือนหลัก(ภาวนามากๆ อย่างต่อเนื่องติดต่อกัน อย่าให้ขาดสาย แล้วความคิดก็จะค่อยๆ คิดน้อยลงไปตามลำดับ..ลำดับ) เพจ อิสระโดยธรรม

 


ความคิดเปรียบเสมือนกับลิง(คิดทุกข์ คิดสุข คิดบวก คิดลบ ความคิดมาก คิดไม่หยุด  มีลักษณะไม่อยู่นิ่ง  คิดไปคิดมาอยู่ตลอดเวลา) สติเปรียบเสมือนเชือก (สติมีหน้าที่ดึงหรือตรึงความคิดไว้) ภาวนาเปรียบเสมือนหลัก(ภาวนามากๆ อย่างต่อเนื่องติดต่อกัน อย่าให้ขาดสาย แล้วความคิดก็จะค่อยๆ คิดน้อยลงไปตามลำดับ..ลำดับ) เพจ อิสระโดยธรรม

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

จำเลยได้รับเงินงบประมาณ เกินสิทธิที่ตนเองได้ โจทก์หรือหน่วยงานราชการสามารถติดตามเอาเงินคืนได้โดยไม่มีอายุความ คำพิพากษาศาลฎีกาที่1259/2564 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานของราชการที่ได้รับเงินงบประมาณเป็นเงินเดือน รวมทั้งเงินตอบแทนหรือเงินรางวัลซึ่งเป็นเงินงบประมาณของแผ่นดินทั้งสิ้น การเบิกจ่ายงบประมาณของแผ่นดินย่อมเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของกฎหมาย โจทก์ย่อมใช้สิทธิติดตามเอาเงินงบประมาณแผ่นดินที่นำไปจ่ายให้จำเลยเกินสิทธิที่จะได้รับ และสิทธิติดตามเอาคืนเงินที่จ่ายเกินสิทธิให้จำเลยเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนตาม ป.พ.พ.มาตรา 1336 ไม่มีอายุความ จำเลยจะอ้างว่าได้รับเงินเกินสิทธิในฐานลาภมิควรได้ซึ่งมีอายุความ 1 ปีตามมาตรา 419 หาได้ไม่

 


จำเลยได้รับเงินงบประมาณ เกินสิทธิที่ตนเองได้ โจทก์หรือหน่วยงานราชการสามารถติดตามเอาเงินคืนได้โดยไม่มีอายุความ คำพิพากษาศาลฎีกาที่1259/2564 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานของราชการที่ได้รับเงินงบประมาณเป็นเงินเดือน รวมทั้งเงินตอบแทนหรือเงินรางวัลซึ่งเป็นเงินงบประมาณของแผ่นดินทั้งสิ้น การเบิกจ่ายงบประมาณของแผ่นดินย่อมเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของกฎหมาย โจทก์ย่อมใช้สิทธิติดตามเอาเงินงบประมาณแผ่นดินที่นำไปจ่ายให้จำเลยเกินสิทธิที่จะได้รับ และสิทธิติดตามเอาคืนเงินที่จ่ายเกินสิทธิให้จำเลยเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนตาม ป.พ.พ.มาตรา 1336 ไม่มีอายุความ จำเลยจะอ้างว่าได้รับเงินเกินสิทธิในฐานลาภมิควรได้ซึ่งมีอายุความ 1 ปีตามมาตรา 419 หาได้ไม่

ขู่เข็ญ ข่มขู่ “ เดี๋ยวฆ่าให้ตาย ” หรือ “ เดี๋ยวยิงทิ้งเลย ” การทำให้คนอื่นเกิดความตกใจกลัว ต้องรับโทษทางอาญา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1203/2542 ขณะที่จำเลยทั้งสองพูดว่า "ถ้ามึงแน่จริงมึงออกมาทำไมไม่ออกมา ออกมาโดน แน่" นั้น จำเลยทั้งสองอยู่ที่หน้าบ้าน ของผู้เสียหาย แสดงว่าเป็นการบังคับขู่เข็ญไม่ให้ผู้เสียหาย ออกไปจากบ้าน หากขืนออกไปจะถูกจำเลยทั้งสองทำร้าย หาใช่เป็นเพียงคำท้าให้ออกไปต่อสู้กันไม่ คำพูดเช่นนี้ใช้กับ ผู้ใดโดยปกติแล้วผู้นั้นย่อมตกใจกลัว เมื่อข้อเท็จจริง ฟังได้ว่าผู้เสียหายเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2517 จำเลยถือปืนพลาสติกมาขู่เข็ญทำท่าจะยิงผู้เสียหายผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นปืนจริงเกิดความกลัวหรือตกใจ จำเลยต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392

 


ขู่เข็ญ ข่มขู่ “ เดี๋ยวฆ่าให้ตาย ” หรือ “ เดี๋ยวยิงทิ้งเลย ” การทำให้คนอื่นเกิดความตกใจกลัว ต้องรับโทษทางอาญา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1203/2542 ขณะที่จำเลยทั้งสองพูดว่า "ถ้ามึงแน่จริงมึงออกมาทำไมไม่ออกมา ออกมาโดน แน่" นั้น จำเลยทั้งสองอยู่ที่หน้าบ้าน ของผู้เสียหาย แสดงว่าเป็นการบังคับขู่เข็ญไม่ให้ผู้เสียหาย ออกไปจากบ้าน หากขืนออกไปจะถูกจำเลยทั้งสองทำร้าย หาใช่เป็นเพียงคำท้าให้ออกไปต่อสู้กันไม่ คำพูดเช่นนี้ใช้กับ ผู้ใดโดยปกติแล้วผู้นั้นย่อมตกใจกลัว เมื่อข้อเท็จจริง ฟังได้ว่าผู้เสียหายเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2517 จำเลยถือปืนพลาสติกมาขู่เข็ญทำท่าจะยิงผู้เสียหายผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นปืนจริงเกิดความกลัวหรือตกใจ จำเลยต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392  

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ปล่อยเงินกู้ อย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย ? ตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 - การเก็บดอกเบี้ยต้องไม่เกิน ร้อยละ 15 ต่อปี - ต้องไม่กำหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจำนวนเงินกู้หรือเรื่องอื่น ต้องไม่มีการเรียกเอาประโยชน์อื่นใด นอกจากดอกเบี้ยที่กำหนดในสัญญา บทลงโทษ จำคุก 2 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

 


ปล่อยเงินกู้ อย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย ?
ตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560
- การเก็บดอกเบี้ยต้องไม่เกิน ร้อยละ 15 ต่อปี
- ต้องไม่กำหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจำนวนเงินกู้หรือเรื่องอื่น
ต้องไม่มีการเรียกเอาประโยชน์อื่นใด นอกจากดอกเบี้ยที่กำหนดในสัญญา
บทลงโทษ จำคุก 2 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6083/2546 ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจไม่อาจบังคับกันได้ ความรักที่แท้จริง คือความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรัก ความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิด และการเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของคนที่ตนรัก จำเลยปรารถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตายเป็นความผิด และ การกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตายหาใช่ความรักไม่ ทั้งเป็นความผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง

 


คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6083/2546
ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจไม่อาจบังคับกันได้ ความรักที่แท้จริง คือความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรัก ความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิด และการเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของคนที่ตนรัก

จำเลยปรารถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตายเป็นความผิด และ
การกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตายหาใช่ความรักไม่ ทั้งเป็นความผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง


ฟ้องเรียกคืนเงินตามสัญญาซื้อขาย อายุความ 10 ปี (หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 193/30, 419) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5783/2567 โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินจากจำเลย มีบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาซื้อขายที่ดินอันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขายที่ดินว่า หากรังวัดที่แล้วปรากฏว่ามีเนื้อที่ไม่ครบถ้วนตามที่ระบุในโฉนดที่ดิน จำเลยยินยอมคืนเงินโจทก์ตามส่วนที่ดินซึ่งขาดไป เป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินโดยมีข้อตกลงการคืนเงินถ้าที่ดินไม่ครบถ้วน เมื่อรังวัดที่ดินแล้วพบว่าที่ดินขาดหายไปบางส่วนจริง การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเพื่อเรียกเงินราคาที่ดินบางส่วนคืนเป็นกรณีสืบเนื่องจากจำเลยผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน จะนำอายุความ 1 ปี ฐานลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 419 มาบังคับไม่ได้ เมื่อไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องบังคับใช้อายุความสิบปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 (หมายเหตุ 1 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เงินที่โจทก์จ่ายไปตามสัญญาซื้อขายไม่ถือว่าเป็นเงินส่วนที่โจทก์ชำระเกินไปและเป็นเงินที่จำเลยได้มาเพราะการที่โจทก์กระทำเพื่อชำระหนี้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ อันจะถือได้ว่าเป็นลาภมิควรได้ที่ตกแก่จำเลยซึ่งโจทก์จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องเอาเงินคืนจากจำเลยภายในอายุความ 1 ปี )

 


ฟ้องเรียกคืนเงินตามสัญญาซื้อขาย อายุความ 10 ปี (หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 193/30, 419)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5783/2567 
โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินจากจำเลย มีบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาซื้อขายที่ดินอันเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขายที่ดินว่า หากรังวัดที่แล้วปรากฏว่ามีเนื้อที่ไม่ครบถ้วนตามที่ระบุในโฉนดที่ดิน จำเลยยินยอมคืนเงินโจทก์ตามส่วนที่ดินซึ่งขาดไป เป็นกรณีที่โจทก์กับจำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินโดยมีข้อตกลงการคืนเงินถ้าที่ดินไม่ครบถ้วน เมื่อรังวัดที่ดินแล้วพบว่าที่ดินขาดหายไปบางส่วนจริง การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเพื่อเรียกเงินราคาที่ดินบางส่วนคืนเป็นกรณีสืบเนื่องจากจำเลยผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน จะนำอายุความ 1 ปี ฐานลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 419 มาบังคับไม่ได้ เมื่อไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องบังคับใช้อายุความสิบปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30

(หมายเหตุ 1 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เงินที่โจทก์จ่ายไปตามสัญญาซื้อขายไม่ถือว่าเป็นเงินส่วนที่โจทก์ชำระเกินไปและเป็นเงินที่จำเลยได้มาเพราะการที่โจทก์กระทำเพื่อชำระหนี้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ อันจะถือได้ว่าเป็นลาภมิควรได้ที่ตกแก่จำเลยซึ่งโจทก์จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องเอาเงินคืนจากจำเลยภายในอายุความ 1 ปี )


วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4655/2566 การที่โจทก์จำเลยทำสัญญาลักษณะที่รวมการเช่าระยะแรก 30 ปี แต่กำหนดมีคำมั่นที่โจทก์จะให้เช่าอีกสองคราว คราวละ 30 ปี ในวันเดียวกัน ทั้งจำเลยยังชำระเงินการเช่าสองคราว คราวละ 30 ปี เช่นที่กล่าวข้างต้น ไม่มีรายละเอียดกำหนดค่าเช่าใหม่ เงื่อนไขการเช่าใหม่ ทั้ง ๆ ที่กำหนดระยะเวลายาวนานล่วงเลยไปแล้วถึง 30 ปี จะให้ต่อระยะเวลาเช่าไปอีก 2 คราว คราวละ 30 ปี รวมเป็น 90 ปี ซึ่งปกติสภาพความเจริญของที่ดิน สภาวะเศรษฐกิจ ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่การทำคำมั่นของโจทก์จำเลยเท่ากับถือตามอัตราค่าเช่าเดิม เงื่อนไขการเช่าเดิมทุกประการ แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าโจทก์จำเลยต่างประสงค์หลีกเลี่ยง ป.พ.พ. มาตรา 540 ที่ห้ามเช่าเกิน 30 ปี ฉะนั้นสัญญาส่วนที่เป็นคำมั่นที่จะต่อสัญญาเช่าอีก 2 คราว ๆ ละ 30 ปี จึงตกเป็นโมฆะ เนื่องจากวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายชัดแจ้ง และกรณีไม่อาจจะให้ตีความเป็นสัญญาบุคคลสิทธิระหว่างโจทก์กับจำเลยเพื่อให้มีผลบังคับต่อไปตามที่จำเลยฎีกา เพราะมิฉะนั้นวัตถุประสงค์ของ ป.พ.พ. มาตรา 540 ดังกล่าวย่อมจะไร้ผลบังคับ


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4655/2566 การที่โจทก์จำเลยทำสัญญาลักษณะที่รวมการเช่าระยะแรก 30 ปี แต่กำหนดมีคำมั่นที่โจทก์จะให้เช่าอีกสองคราว คราวละ 30 ปี ในวันเดียวกัน ทั้งจำเลยยังชำระเงินการเช่าสองคราว คราวละ 30 ปี เช่นที่กล่าวข้างต้น ไม่มีรายละเอียดกำหนดค่าเช่าใหม่ เงื่อนไขการเช่าใหม่ ทั้ง ๆ ที่กำหนดระยะเวลายาวนานล่วงเลยไปแล้วถึง 30 ปี จะให้ต่อระยะเวลาเช่าไปอีก 2 คราว คราวละ 30 ปี รวมเป็น 90 ปี ซึ่งปกติสภาพความเจริญของที่ดิน สภาวะเศรษฐกิจ ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่การทำคำมั่นของโจทก์จำเลยเท่ากับถือตามอัตราค่าเช่าเดิม เงื่อนไขการเช่าเดิมทุกประการ แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าโจทก์จำเลยต่างประสงค์หลีกเลี่ยง ป.พ.พ. มาตรา 540 ที่ห้ามเช่าเกิน 30 ปี ฉะนั้นสัญญาส่วนที่เป็นคำมั่นที่จะต่อสัญญาเช่าอีก 2 คราว ๆ ละ 30 ปี จึงตกเป็นโมฆะ เนื่องจากวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายชัดแจ้ง และกรณีไม่อาจจะให้ตีความเป็นสัญญาบุคคลสิทธิระหว่างโจทก์กับจำเลยเพื่อให้มีผลบังคับต่อไปตามที่จำเลยฎีกา เพราะมิฉะนั้นวัตถุประสงค์ของ ป.พ.พ. มาตรา 540 ดังกล่าวย่อมจะไร้ผลบังคับ


 

ภริยาฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นจะต้องบรรยายฟ้องถึงพฤติการณ์แสดงตนโดยเปิดเผยของหญิงอื่นด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5856/2567

 


ภริยาฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นจะต้องบรรยายฟ้องถึงพฤติการณ์แสดงตนโดยเปิดเผยของหญิงอื่นด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5856/2567 

จำเลยรับมอบรถยนต์ไว้ในครอบครองเพื่อเป็นประกันเงินกู้ยืม พฤติการณ์ที่จำเลยย้ายบ้านและไม่แจ้งให้ผู้เสียหายที่ 2 ทราบถึงที่อยู่แห่งใหม่เพื่อที่จะได้นำเงินไปไถ่ถอนและรับรถยนต์ และตัดขาดการติดต่อกับผู้เสียหายที่ 2 ไม่ทวงถามให้ผู้เสียหายที่ 2 ชำระเงินกู้ทั้งที่ผู้เสียหายที่ 2 ชำระหนี้มาเพียง 2 งวด ยังไม่ครบถ้วนที่กู้ยืมไป และปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้รับมอบรถยนต์ไว้จากผู้เสียหายที่ 2 บ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนาเบียดบังเอารถยนต์ไปเป็นของจำเลยหรือบุคคลที่ 3 โดยทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ. 352 วรรคหนึ่ง


จำเลยรับมอบรถยนต์ไว้ในครอบครองเพื่อเป็นประกันเงินกู้ยืม พฤติการณ์ที่จำเลยย้ายบ้านและไม่แจ้งให้ผู้เสียหายที่ 2 ทราบถึงที่อยู่แห่งใหม่เพื่อที่จะได้นำเงินไปไถ่ถอนและรับรถยนต์ และตัดขาดการติดต่อกับผู้เสียหายที่ 2 ไม่ทวงถามให้ผู้เสียหายที่ 2 ชำระเงินกู้ทั้งที่ผู้เสียหายที่ 2 ชำระหนี้มาเพียง 2 งวด ยังไม่ครบถ้วนที่กู้ยืมไป และปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้รับมอบรถยนต์ไว้จากผู้เสียหายที่ 2 บ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนาเบียดบังเอารถยนต์ไปเป็นของจำเลยหรือบุคคลที่ 3 โดยทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ. 352 วรรคหนึ่ง

 

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สัญญาค้ำประกันที่นายจ้างให้ทำแบบไม่จำกัดวงเงินความรับผิด สัญญาค้ำประกันนั้น ย่อมตกเป็นโมฆะบังคับใช้ไม่ได้ ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด เพราะฝ่าฝืนประกาศกระทรวงฯ มีผลให้สัญญาค้ำประกันตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ เทียบเคียง ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 354/2561

 


สัญญาค้ำประกันที่นายจ้างให้ทำแบบไม่จำกัดวงเงินความรับผิด 
สัญญาค้ำประกันนั้น ย่อมตกเป็นโมฆะบังคับใช้ไม่ได้ ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิด เพราะฝ่าฝืนประกาศกระทรวงฯ มีผลให้สัญญาค้ำประกันตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ 
เทียบเคียง  ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 354/2561


วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6943/2562 ชายหญิงไม่มีเจตนาจดทะเบียนสมรส ทรัพย์สินที่มอบให้แก่กันไม่เป็นของหมั้นและสินสอด ฝ่ายชายจะอ้างว่า ฝ่ายหญิงผิดสัญญาหมั้น และเรียกของหมั้นและสินสอดคืนและค่าทดแทนจากฝ่ายหญิงไม่ได้…

 คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6943/2562 ชายหญิงไม่มีเจตนาจดทะเบียนสมรส ทรัพย์สินที่มอบให้แก่กันไม่เป็นของหมั้นและสินสอด ฝ่ายชายจะอ้างว่า ฝ่ายหญิงผิดสัญญาหมั้น และเรียกของหมั้นและสินสอดคืนและค่าทดแทนจากฝ่ายหญิงไม่ได้…

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1827 / 2566 ผู้ตายสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กับจำเลย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์หรือฏีกา แต่มีสิทธิยื่นคำร้องขอ 44/1 ค่าเสียหายจะมากน้อยเพียงใด ต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญคือว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร ตามมาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 วรรคหนึ่ง และมาตรา 438 วรรคหนึ่ง

 


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1827 / 2566 ผู้ตายสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กับจำเลย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์หรือฏีกา แต่มีสิทธิยื่นคำร้องขอ 44/1 ค่าเสียหายจะมากน้อยเพียงใด ต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญคือว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร ตามมาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 วรรคหนึ่ง และมาตรา 438 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3872/2563 จำเลยได้เอาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นไปใช้มีความผิดฐานใช้บัตรฯของผู้อื่นไปโดยไม่ชอบและยังมีความผิดฐานลักทรัพย์ การนำบัตรฯไปชำระสินค้า เท่ากับว่าจำเลยได้แสดงตนเป็นเจ้าของบัตรฯ ซึ่งเป็นการหลอกลวงร้านค้า มีความผิดฐานฉ้อโกง

 


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3872/2563 จำเลยได้เอาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นไปใช้มีความผิดฐานใช้บัตรฯของผู้อื่นไปโดยไม่ชอบและยังมีความผิดฐานลักทรัพย์ การนำบัตรฯไปชำระสินค้า เท่ากับว่าจำเลยได้แสดงตนเป็นเจ้าของบัตรฯ ซึ่งเป็นการหลอกลวงร้านค้า มีความผิดฐานฉ้อโกง


วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ความสุขภายใน มีค่า มีความสำคัญมากกว่าความสุขภายนอก จิตที่ สงบ เย็น ใส ไม่ไหลไปตามกระแส ไม่วุ่นวาย คือสมบัติที่ไม่มีใครแย่งหรือขโมยไปได้ สุทธิชัย ปัญญโรจน์(อ.โทนี่) www.drsuthichai.com

 





ซื้อที่ดินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลเป็นผู้มีสิทธิดีกว่าผู้ที่ได้ที่ดินมาโดยการรับโอนการครอบครองจากผู้มีชื่อถือสิทธิครอบครองในที่ดิน

 


ซื้อที่ดินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลเป็นผู้มีสิทธิดีกว่าผู้ที่ได้ที่ดินมาโดยการรับโอนการครอบครองจากผู้มีชื่อถือสิทธิครอบครองในที่ดิน

คำถามที่ถามกันมามาก: กรณีที่ถูกรถชน เสียชีวิต จะตกลงค่าเสียหายกันอย่างไร? โดยสรุป พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จะต้องจ่าย เช่น ค่าปลงศพ ค่าจัดงานศพต่างๆ ตาม ป.พ.พ. ม.433 ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าสินไหมทดแทน แต่ไม่รวมถึงค่าไร้อุปการะเลี้ยงดู เพราะตามกฎหมายสามารถเพิ่มได้อีก เงินค่าเสียหายเบื้องต้นในกรณีความเสียหายต่อชีวิตที่บริษัทผู้รับประกันภัยชำระแก่ทายาทของผู้ตายตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 เป็นส่วนหนึ่งของค่าสินไหมทดแทน ต้องนำไปหักออกจากค่าปลงศพและค่าจัดการศพของผู้ตาย แต่ไม่รวมถึงค่าขาดไร้อุปการะ จะนำเงินค่าเสียหายเบื้องต้นไปหักออกจากค่าขาดไร้อุปการะที่ศาลกำหนดให้ไม่ได้

 


คำถามที่ถามกันมามาก: กรณีที่ถูกรถชน เสียชีวิต จะตกลงค่าเสียหายกันอย่างไร?  
โดยสรุป พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จะต้องจ่าย เช่น ค่าปลงศพ ค่าจัดงานศพต่างๆ ตาม ป.พ.พ. ม.433 ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าสินไหมทดแทน แต่ไม่รวมถึงค่าไร้อุปการะเลี้ยงดู เพราะตามกฎหมายสามารถเพิ่มได้อีก
เงินค่าเสียหายเบื้องต้นในกรณีความเสียหายต่อชีวิตที่บริษัทผู้รับประกันภัยชำระแก่ทายาทของผู้ตายตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 เป็นส่วนหนึ่งของค่าสินไหมทดแทน ต้องนำไปหักออกจากค่าปลงศพและค่าจัดการศพของผู้ตาย แต่ไม่รวมถึงค่าขาดไร้อุปการะ จะนำเงินค่าเสียหายเบื้องต้นไปหักออกจากค่าขาดไร้อุปการะที่ศาลกำหนดให้ไม่ได้


จำเลยรับสารภาพ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4697/2566 แม้จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ก็ยังมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบประกอบคำให้การรับสารภาพ

 


จำเลยรับสารภาพ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4697/2566
แม้จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ก็ยังมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบประกอบคำให้การรับสารภาพ


วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 643/2563

 

ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 643/2563

ศาลอาญาพิจารณาพิพากษาคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาฎีกาที่ 1184/2564)

 


ศาลอาญาพิจารณาพิพากษาคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาฎีกาที่ 1184/2564)


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1666/2562 กระทำไปเพราะถูกหลอกลวงถือไม่ได้ว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิด


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1666/2562 กระทำไปเพราะถูกหลอกลวงถือไม่ได้ว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิด

 

วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

กู้เงินโดยนำโฉนดที่ดินให้ยึดถือไว้ แม้จะโอนให้ผู้อื่นโดยเสน่หา ก็มีสิทธิยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดได้


กู้เงินโดยนำโฉนดที่ดินให้ยึดถือไว้ แม้จะโอนให้ผู้อื่นโดยเสน่หา

ก็มีสิทธิยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดได้


 

กลับรถในขณะมีรถอื่นตามมา ระยะน้อยกว่า 100 เมตร ถือว่าประมาท


กลับรถในขณะมีรถอื่นตามมา
ระยะน้อยกว่า 100 เมตร ถือว่าประมาท


กลับรถในขณะมีรถอื่นตามมา

ระยะน้อยกว่า 100 เมตร ถือว่าประมาท


 

ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนชน ผู้เสียหายคนเดียวก็เป็นโจทก์ฟ้องตรงต่อศาล ได้

 


ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนชน ผู้เสียหายคนเดียวก็เป็นโจทก์ฟ้องตรงต่อศาล ได้

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

จำเลยอ้างว่าเป็นตำรวจพูดขอเงินผู้เสียหายโดยผู้เสียหายจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ #ไม่ผิดฐานกรรโชก #ฎีกาที่ 131/2546

 


จำเลยอ้างว่าเป็นตำรวจพูดขอเงินผู้เสียหายโดยผู้เสียหายจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ #ไม่ผิดฐานกรรโชก #ฎีกาที่ 131/2546 

แจ้งความเท็จ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2561

 


แจ้งความเท็จ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2561

จำเลยเข้าโรงแรมม่านรูดไปกับโจทก์ พนักงานโรงแรมเบิกความว่า ไม่มีการร้องขอ ความช่วยเหลือจึงเชื่อได้ว่าสมัครใจ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 589/2536


จำเลยเข้าโรงแรมม่านรูดไปกับโจทก์
พนักงานโรงแรมเบิกความว่า ไม่มีการร้องขอ
ความช่วยเหลือจึงเชื่อได้ว่าสมัครใจ  
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 589/2536


 

จง “ ชนะใจของตัวเอง ” ด้วยการปล่อยวาง การปล่อยวาง ไม่ใช่การยอมแพ้ เมื่อเราปล่อยวางได้ ใจของเราก็จะเบา ใจของเราก็จะเป็นอิสระ อย่าแบกทุกอย่างไว้ในใจ อะไรปล่อยวางได้ก็ควรที่จะปล่อยมันไป สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com


จง “ ชนะใจของตัวเอง ” ด้วยการปล่อยวาง การปล่อยวาง ไม่ใช่การยอมแพ้ เมื่อเราปล่อยวางได้ ใจของเราก็จะเบา ใจของเราก็จะเป็นอิสระ อย่าแบกทุกอย่างไว้ในใจ อะไรปล่อยวางได้ก็ควรที่จะปล่อยมันไป สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com
 

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

จงคิดบวกมากกว่าการคิดลบ เพราะการคิดบวก จะทำให้เรา เห็นโอกาส เพิ่มกำลังใจ สร้างความหวัง กล้าที่จะเรียนรู้ ทำให้มีพลัง และมีความสุข แต่...การคิดลบ จะทำให้เรา เห็นแต่ปัญหา ตัดกำลังใจ กดทับตัวเอง กลัวความล้มเหลว ทำให้หมดพลัง และไม่มีความสุข สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

 


จงคิดบวกมากกว่าการคิดลบ เพราะการคิดบวก จะทำให้เรา เห็นโอกาส เพิ่มกำลังใจ สร้างความหวัง กล้าที่จะเรียนรู้ ทำให้มีพลัง และมีความสุข แต่...การคิดลบ จะทำให้เรา เห็นแต่ปัญหา ตัดกำลังใจ กดทับตัวเอง กลัวความล้มเหลว ทำให้หมดพลัง และไม่มีความสุข สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com



วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

อย่าล่ามโซ่ตรวน ไว้ที่ข้อเท้าของตนเองอย่่ากักขังตัวเอง ไว้ในกรงขังที่มีชื่อว่า ความกลัว สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

อย่าล่ามโซ่ตรวน ไว้ที่ข้อเท้าของตนเองอย่่ากักขังตัวเอง ไว้ในกรงขังที่มีชื่อว่า  ความกลัว สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

 

จิตใจที่สงบและเข้มแข็ง คือพลัง คือทรัพย์สิน ที่ยิ่งใหญ่ ใครก็ไม่สามารถขโมยมันไปจากคุณได้ ในวันที่คุณไม่เหลืออะไรเลย ในวันที่คุณท้อแท้ สิ้นหวัง มีทุกข์มากมาก ในวันนั้นคือบทพิสูจน์ ความสงบและความเข้มแข็งของสภาพจิตใจของคุณเอง สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

 


จิตใจที่สงบและเข้มแข็ง คือพลัง คือทรัพย์สิน ที่ยิ่งใหญ่ ใครก็ไม่สามารถขโมยมันไปจากคุณได้  ในวันที่คุณไม่เหลืออะไรเลย ในวันที่คุณท้อแท้ สิ้นหวัง มีทุกข์มากมาก ในวันนั้นคือบทพิสูจน์ ความสงบและความเข้มแข็งของสภาพจิตใจของคุณเอง สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

อย่าปล่อยให้ความล้มเหลว ความกลัวในอดีต มาทำลายความมั่นใจของคุณในวันนี้ สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com

 


อย่าปล่อยให้ความล้มเหลว ความกลัวในอดีต มาทำลายความมั่นใจของคุณในวันนี้ สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com