ทำการตลาดให้ปังด้วยการใช้ Positioning
โดย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย
ม.พิษณุโลก
มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนเคยถามประธานบริษัทโรเล็กซ์(นาฬิกาโรเล็กซ์) ช่วงนี้ "ธุรกิจนาฬิกาเป็นยังไงบ้าง" ประธาน บริษัทโรเล็กซ์ ก็หัวเราะ แล้วตอบกลับว่า ตัวเองไม่รู้เรื่องนาฬิกาเลย
เพราะ "โรเล็กซ์ไม่ใช่นาฬิกา" แต่เขาอธิบายต่อว่า “ มันเป็นสินค้าเครื่องประดับที่มีค่า เราอยู่ในธุรกิจระดับ
หรูหราชั้นเยี่ยม ”
เราจะเห็นได้ว่า ประธานบริษัทโรเล็กซ์ มีความสามารถทางการตลาด
ความสามารถในการรู้ว่าสินค้าของตนเอง(นาฬิกา)วางอยู่ตรงตำแหน่งใด
เพราะเขาได้วางตำแหน่งนาฬิกาโรเล็กซ์กับภาพพจน์ของการเป็นเครื่องประดับที่มีค่า
ซึ่งทำให้ภาพพจน์ของนาฬิกาโรเล็กซ์ ต้องแพง มีระดับ ซึ่งคนจะซื้อได้ต้องมีระดับ
มีเงินทอง ร่ำรวย
เช่นเดียวกับรถเบนซ์ในประเทศไทย
ที่ได้ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถที่คนมีเงิน คนมีระดับ ต้องการ ทั้งรถทรงที่ดูภูมิฐาน
รูปโฉมงดงาม หรูหรา และต้องขายราคาแพง
เพื่อให้คนที่มีเงิน มีฐานะได้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อซื้อไปจะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ
บางคนถึงกับพูดว่า “ ผมซื้อไว้เพื่อต้องการประดับบารมี ”
แต่ตรงกันข้ามกับหลายประเทศ ที่รถเบนซ์ ไม่ได้ถูกวางตำแหน่งเช่นเดียวกับประเทศไทย
ดังนั้น ในการทำการตลาด
กฎแรกของเกม เราจะเลือกขายของโหลราคาถูก มีคนจำนวนมากเป็นคนซื้อหรือเราจะขายของแพงหรือขายของหรู
ซึ่งขายให้กับคนที่มีรสนิยมซื้อ ซึ่งเป็นคนที่มีจำนวนน้อย ซึ่งในการทำการตลาดให้คนซื้อของทั้งราคาถูกและราคาแพง
สิ่งที่ต้องทำก็คือการโฆษณานั่นเอง
การทำการตลาดไม่ได้หมายถึงว่า
เราไปเรียนในห้องเรียนแล้วนำเอาไปปฏิบัติได้เลยในทันที
มันคงไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะการตลาดมันเป็นศาสตร์และก็เป็นทั้งศิลปะ
ศาสตร์หมายถึงเราเรียนรู้กันได้ แต่ศิลปะหมายถึง ความสามารถในการประยุกต์ พลิกแพลง
ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆตามสภาพความเป็นจริงที่ลงมือทำการตลาด
รู้จักสินค้าของคุณ เชื่อในสินค้า
ศึกษาให้รู้ถึงว่าสินค้าของคุณได้วางตำแหน่งเอาไว้ตรงไหน
นี่คือสัจธรรมในการขาย
หากคุณไม่รู้จักสินค้าของคุณ คุณไม่สามารถตอบคำถามคนซื้อได้
เพราะคุณไม่ได้สนใจสินค้าของคุณอย่างแท้จริง แต่ถ้าคุณรู้ลึกเกี่ยวกับสินค้าของคุณ
คุณก็จะตอบด้วยความมั่นใจ
ตัวอย่างคุณเคยเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
ถามหาแผนกสิ่งของที่คุณต้องการซื้อ พนักงานขายทำหน้างง ๆ แล้วอธิบายทางไปไม่ถูก
ไม่รู้ว่าสินค้าที่คุณต้องการอยู่ตรงไหน หรือว่ามีหรือเปล่า? รวมถึงเมื่อเจอกับสินค้าที่คุณต้องการแล้ว
คนขายยังไม่รู้จักสินค้าของตนเองที่เสนอขายอย่างแท้จริง
ซึ่งการรู้จักสินค้าของตนเองยังรวมไปถึงการรู้ว่าสินค้ามีวัตถุประสงค์อย่างไรรวมถึงการเข้าใจเรื่องของการวางตำแหน่งของสินค้าของตนเองด้วย
ดูตัวอย่างง่ายๆ ในอดีตคอมพิวเตอร์ออกมาใหม่ๆ
การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์หรือภาพพจน์ในใจของผู้ใช้หรือคนทั่วไป ก็คือ
คอมพิวเตอร์เป็นของที่ทันสมัย ใช้ยากและเต็มไปด้วยวิทยาการที่ยุ่งยาก
มีข้อจำกัดมากในการใช้ ทำให้คนกลัวที่จะใช้มัน ทำให้ยอดขายไม่ดี แต่เมื่อผู้ผลิตหันมา
วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์และเปลี่ยนภาพพจน์ใหม่ โดยแนะนำการใช้ให้ดูใช้ง่าย โดยนำเกมส์เข้ามาเป็นเครื่องมือ
เมื่อคนเล่นเกมส์ผ่านคอมพิวเตอร์มากๆ เลยทำให้เกิดความกล้าที่จะใช้มากขึ้น
เพราะดูแล้ว ใช้ง่าย ไม่ยาก ดังที่ตนเองคิด(คิดว่าเป็นวิทยาการสมัยใหม่ที่ใช้ยาก)
หลังจากการเปลี่ยนภาพพจน์ หลังจากนั้นคอมพิวเตอร์ก็แทบจะเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำนวันและทุกบ้านต้องมี
รวมไปถึงที่ทำงาน บริษัท ห้าง ร้าน องค์กรต่างๆ
การโฆษณาผ่านนักกีฬามีความสำคัญและทำให้การวางตำแหน่งและช่วยสร้างภาพพจน์ของผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี หลายบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของนักกีฬา
ประกาศว่า จะไม่ยอมสนับสนุนเงินผ่านนักกีฬา โดยเฉพาะกีฬาหลายประเภทมีการแข่งขัน
ปีหนึ่งแค่ 5-6
ครั้งเอง เพราะสิ้นเปลื้อง สู้เอาเงินไปโฆษณาในห้างสรรพสินค้าหรือซื้อสื่อ
น่าจะคุ้มค่ากว่า แต่จริงๆแล้ว
การโฆษณาผ่านนักกีฬาทำให้เกิดความประทับใจ อีกทั้งยังประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วโลกรู้จักได้เร็วและมีคุณภาพเป็นอย่างมาก
เมื่อเทียบกับเอาเงินจำนวนหลายสิบล้านที่จะต้องเสียไปเพื่อให้ได้ผลทางการโฆษณาในสื่อต่างๆ
เพราะการจ้างนักกีฬาใส่เสื้อ กางเกง หมวก
รองเท้า ถุงเท้า ของบริษัทของเรา ถึงแม้จะมีการแข่งขันเพียงค่า 5 ครั้งต่อปี แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า
เพราะการให้สปอนเซอร์กับนักกีฬาผู้เป็นแชมป์ของแต่ละนัดการแข่งขัน
ก็จะออกมาเป็นข่าวไปทั่วโลก และมีแฟนคลับที่ชื่นชอบไปทุกมุมเมือง
อย่าเสียเวลาเข็นครกขึ้นภูเขา
มีการประชุมประจำปีของ
บริษัทผลิตอาหารสุนัข(หมา)แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าผู้เป็นประธานบริษัทผลิตอาหารสุนัขแห่งนั้นนั่งฟังการประชุมตลอด
10
วัน ซึ่งมีฝ่ายต่างๆ ระดมความคิดเห็น และนำเสนอแผนการต่างๆเป็นอย่างดี เช่น
แผนการขาย แผนการตลาด แผนการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ฟังดูแล้วมีประสิทธิภาพมากๆ
พอถึงวันที่ 10
ประธานบริษัทฯ จึงได้ถามในที่ประชุมว่า
เราก็ประชุมกันมา 10 วันแล้ว ที่ว่าแผนการต่างๆของบริษัทของเราจะเป็นการปฏิวัติตลาด
อีกทั้งผมฟังดูแล้วว่าแผนการของพวกเราเป็นแผนที่พวกเราชมกันเองว่าวิเศษมากๆ
แต่ถามพวกเรากันจริงๆ ว่า ที่เราพูดกันสวยงาม แต่ถามว่า
ทำไมอาหารสุนัข(หมา)ของเราถึงขายได้ไม่ดีเท่ากับคู่แข่ง(บริษัทอื่น)
ผู้เข้าร่วมประชุมเงียบ แล้วมีเสียงตอบ เบาๆ ว่า
“ ก็หมา มันไม่ชอบกินอาหารของเราเนี่ย ”
ดังนั้น
อย่าไปเสียเวลาเปล่า เถียงกันมา นำเสนอกันมา 10 วัน
มาสรุปที่ตัวผลิตภัณฑ์หรือตัวสินค้า(อาหาร) ไม่อร่อย สุนัข(หมา) ไม่ชอบกิน
ถึงแม้เราจะมีแผนการตลาดที่สุดยอด มีแผนการขายที่ดีเยี่ยม แผนการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ที่แหวกแนวอย่างไรก็ตาม
แต่ถ้าสุนัข(ไม่รับประทาน) ก็คงไม่มีความหมาย ฉะนั้น
อย่าไปเสียเวลาเข็นครกขึ้นภูเขา
จงกลับไปแก้ไขที่ต้นเหตุหรือรสชาติของอาหารสุนัข(หมา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น