ข้อสอบใบขับขี่รถจักรยานยนต์และรถยนต์ 2564 ใหม่ล่าสุด ชุดที่ 2
วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2564
กฏหมายน่ารู้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายหัวข้อ " กฎหมายน่ารู้ " ให้แก่นักเรียนในโครงการอบรม พลเมือง จัดโดย ศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า จังหวัดเชียงรายและสโมสรฝึกการพูดจังหวัดเชียงราย www.drsuthichai.com
วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564
ปลุกพลังนักการตลาด
บทความของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ใน วารสาร TPA News ฉบับที่ 294 ข่าว ส.ส.ท. ปีที่ 26 ฉบับที่ 294 เดือน มิถุนายน 2564 สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)© 2015 Technology Promotion Association (Thailand-Japan). All Rights Reserved.
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2564
ทำการตลาดให้ปังด้วยการใช้ Positioning
ทำการตลาดให้ปังด้วยการใช้ Positioning
โดย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย
ม.พิษณุโลก
มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนเคยถามประธานบริษัทโรเล็กซ์(นาฬิกาโรเล็กซ์) ช่วงนี้ "ธุรกิจนาฬิกาเป็นยังไงบ้าง" ประธาน บริษัทโรเล็กซ์ ก็หัวเราะ แล้วตอบกลับว่า ตัวเองไม่รู้เรื่องนาฬิกาเลย
เพราะ "โรเล็กซ์ไม่ใช่นาฬิกา" แต่เขาอธิบายต่อว่า “ มันเป็นสินค้าเครื่องประดับที่มีค่า เราอยู่ในธุรกิจระดับ
หรูหราชั้นเยี่ยม ”
เราจะเห็นได้ว่า ประธานบริษัทโรเล็กซ์ มีความสามารถทางการตลาด
ความสามารถในการรู้ว่าสินค้าของตนเอง(นาฬิกา)วางอยู่ตรงตำแหน่งใด
เพราะเขาได้วางตำแหน่งนาฬิกาโรเล็กซ์กับภาพพจน์ของการเป็นเครื่องประดับที่มีค่า
ซึ่งทำให้ภาพพจน์ของนาฬิกาโรเล็กซ์ ต้องแพง มีระดับ ซึ่งคนจะซื้อได้ต้องมีระดับ
มีเงินทอง ร่ำรวย
เช่นเดียวกับรถเบนซ์ในประเทศไทย
ที่ได้ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถที่คนมีเงิน คนมีระดับ ต้องการ ทั้งรถทรงที่ดูภูมิฐาน
รูปโฉมงดงาม หรูหรา และต้องขายราคาแพง
เพื่อให้คนที่มีเงิน มีฐานะได้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อซื้อไปจะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ
บางคนถึงกับพูดว่า “ ผมซื้อไว้เพื่อต้องการประดับบารมี ”
แต่ตรงกันข้ามกับหลายประเทศ ที่รถเบนซ์ ไม่ได้ถูกวางตำแหน่งเช่นเดียวกับประเทศไทย
ดังนั้น ในการทำการตลาด
กฎแรกของเกม เราจะเลือกขายของโหลราคาถูก มีคนจำนวนมากเป็นคนซื้อหรือเราจะขายของแพงหรือขายของหรู
ซึ่งขายให้กับคนที่มีรสนิยมซื้อ ซึ่งเป็นคนที่มีจำนวนน้อย ซึ่งในการทำการตลาดให้คนซื้อของทั้งราคาถูกและราคาแพง
สิ่งที่ต้องทำก็คือการโฆษณานั่นเอง
การทำการตลาดไม่ได้หมายถึงว่า
เราไปเรียนในห้องเรียนแล้วนำเอาไปปฏิบัติได้เลยในทันที
มันคงไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะการตลาดมันเป็นศาสตร์และก็เป็นทั้งศิลปะ
ศาสตร์หมายถึงเราเรียนรู้กันได้ แต่ศิลปะหมายถึง ความสามารถในการประยุกต์ พลิกแพลง
ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆตามสภาพความเป็นจริงที่ลงมือทำการตลาด
รู้จักสินค้าของคุณ เชื่อในสินค้า
ศึกษาให้รู้ถึงว่าสินค้าของคุณได้วางตำแหน่งเอาไว้ตรงไหน
นี่คือสัจธรรมในการขาย
หากคุณไม่รู้จักสินค้าของคุณ คุณไม่สามารถตอบคำถามคนซื้อได้
เพราะคุณไม่ได้สนใจสินค้าของคุณอย่างแท้จริง แต่ถ้าคุณรู้ลึกเกี่ยวกับสินค้าของคุณ
คุณก็จะตอบด้วยความมั่นใจ
ตัวอย่างคุณเคยเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
ถามหาแผนกสิ่งของที่คุณต้องการซื้อ พนักงานขายทำหน้างง ๆ แล้วอธิบายทางไปไม่ถูก
ไม่รู้ว่าสินค้าที่คุณต้องการอยู่ตรงไหน หรือว่ามีหรือเปล่า? รวมถึงเมื่อเจอกับสินค้าที่คุณต้องการแล้ว
คนขายยังไม่รู้จักสินค้าของตนเองที่เสนอขายอย่างแท้จริง
ซึ่งการรู้จักสินค้าของตนเองยังรวมไปถึงการรู้ว่าสินค้ามีวัตถุประสงค์อย่างไรรวมถึงการเข้าใจเรื่องของการวางตำแหน่งของสินค้าของตนเองด้วย
ดูตัวอย่างง่ายๆ ในอดีตคอมพิวเตอร์ออกมาใหม่ๆ
การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์หรือภาพพจน์ในใจของผู้ใช้หรือคนทั่วไป ก็คือ
คอมพิวเตอร์เป็นของที่ทันสมัย ใช้ยากและเต็มไปด้วยวิทยาการที่ยุ่งยาก
มีข้อจำกัดมากในการใช้ ทำให้คนกลัวที่จะใช้มัน ทำให้ยอดขายไม่ดี แต่เมื่อผู้ผลิตหันมา
วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์และเปลี่ยนภาพพจน์ใหม่ โดยแนะนำการใช้ให้ดูใช้ง่าย โดยนำเกมส์เข้ามาเป็นเครื่องมือ
เมื่อคนเล่นเกมส์ผ่านคอมพิวเตอร์มากๆ เลยทำให้เกิดความกล้าที่จะใช้มากขึ้น
เพราะดูแล้ว ใช้ง่าย ไม่ยาก ดังที่ตนเองคิด(คิดว่าเป็นวิทยาการสมัยใหม่ที่ใช้ยาก)
หลังจากการเปลี่ยนภาพพจน์ หลังจากนั้นคอมพิวเตอร์ก็แทบจะเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำนวันและทุกบ้านต้องมี
รวมไปถึงที่ทำงาน บริษัท ห้าง ร้าน องค์กรต่างๆ
การโฆษณาผ่านนักกีฬามีความสำคัญและทำให้การวางตำแหน่งและช่วยสร้างภาพพจน์ของผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี หลายบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของนักกีฬา
ประกาศว่า จะไม่ยอมสนับสนุนเงินผ่านนักกีฬา โดยเฉพาะกีฬาหลายประเภทมีการแข่งขัน
ปีหนึ่งแค่ 5-6
ครั้งเอง เพราะสิ้นเปลื้อง สู้เอาเงินไปโฆษณาในห้างสรรพสินค้าหรือซื้อสื่อ
น่าจะคุ้มค่ากว่า แต่จริงๆแล้ว
การโฆษณาผ่านนักกีฬาทำให้เกิดความประทับใจ อีกทั้งยังประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วโลกรู้จักได้เร็วและมีคุณภาพเป็นอย่างมาก
เมื่อเทียบกับเอาเงินจำนวนหลายสิบล้านที่จะต้องเสียไปเพื่อให้ได้ผลทางการโฆษณาในสื่อต่างๆ
เพราะการจ้างนักกีฬาใส่เสื้อ กางเกง หมวก
รองเท้า ถุงเท้า ของบริษัทของเรา ถึงแม้จะมีการแข่งขันเพียงค่า 5 ครั้งต่อปี แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า
เพราะการให้สปอนเซอร์กับนักกีฬาผู้เป็นแชมป์ของแต่ละนัดการแข่งขัน
ก็จะออกมาเป็นข่าวไปทั่วโลก และมีแฟนคลับที่ชื่นชอบไปทุกมุมเมือง
อย่าเสียเวลาเข็นครกขึ้นภูเขา
มีการประชุมประจำปีของ
บริษัทผลิตอาหารสุนัข(หมา)แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าผู้เป็นประธานบริษัทผลิตอาหารสุนัขแห่งนั้นนั่งฟังการประชุมตลอด
10
วัน ซึ่งมีฝ่ายต่างๆ ระดมความคิดเห็น และนำเสนอแผนการต่างๆเป็นอย่างดี เช่น
แผนการขาย แผนการตลาด แผนการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ฟังดูแล้วมีประสิทธิภาพมากๆ
พอถึงวันที่ 10
ประธานบริษัทฯ จึงได้ถามในที่ประชุมว่า
เราก็ประชุมกันมา 10 วันแล้ว ที่ว่าแผนการต่างๆของบริษัทของเราจะเป็นการปฏิวัติตลาด
อีกทั้งผมฟังดูแล้วว่าแผนการของพวกเราเป็นแผนที่พวกเราชมกันเองว่าวิเศษมากๆ
แต่ถามพวกเรากันจริงๆ ว่า ที่เราพูดกันสวยงาม แต่ถามว่า
ทำไมอาหารสุนัข(หมา)ของเราถึงขายได้ไม่ดีเท่ากับคู่แข่ง(บริษัทอื่น)
ผู้เข้าร่วมประชุมเงียบ แล้วมีเสียงตอบ เบาๆ ว่า
“ ก็หมา มันไม่ชอบกินอาหารของเราเนี่ย ”
ดังนั้น
อย่าไปเสียเวลาเปล่า เถียงกันมา นำเสนอกันมา 10 วัน
มาสรุปที่ตัวผลิตภัณฑ์หรือตัวสินค้า(อาหาร) ไม่อร่อย สุนัข(หมา) ไม่ชอบกิน
ถึงแม้เราจะมีแผนการตลาดที่สุดยอด มีแผนการขายที่ดีเยี่ยม แผนการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ที่แหวกแนวอย่างไรก็ตาม
แต่ถ้าสุนัข(ไม่รับประทาน) ก็คงไม่มีความหมาย ฉะนั้น
อย่าไปเสียเวลาเข็นครกขึ้นภูเขา
จงกลับไปแก้ไขที่ต้นเหตุหรือรสชาติของอาหารสุนัข(หมา)
วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2564
ปลดปล่อยใจให้เป็นอิสระ...ชำระใจให้สะอาด
ปลดปล่อยใจให้เป็นอิสระ...ชำระใจให้สะอาด
โดย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย
ม.พิษณุโลก
สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
พวกเราคงเคยได้ยินประโยคนี้
ซึ่งกระผมคิดว่ามีความเป็นจริงมากทีเดียวหรือคำกลอนคำสอนของหลวงพ่อพุทธทาส
เคยสอนเอาไว้เป็นกลอนว่า
สุขหรือทุกข์
อยู่ที่ใจ มิใช่หรือ ถ้าใจถือ ก็เป็นทุกข์ ไม่สุขสม
ถ้าไม่ถือ ก็เป็นสุข
ไม่ทุกข์ตรม เราอยากได้ ความสุข หรือทุกข์เอย
ดังนั้น
พวกเราจงปล่อยใจให้เป็นอิสระและชำระใจให้สะอาด
เมื่อเราปล่อยใจให้เป็นอิสระและชำระใจให้สะอาดแล้ว เราจะมีพลัง
แต่ถ้าเรายังไม่ปล่อยใจและชำระใจให้สะอาด จิตใจของเราก็เหมือนคนอยู่ในคุก
หลายคนมีความโกรธ ความเกลียด ความโมโห ความวิตกกังวล ความเครียด ความอาฆาตแค้น
ความเศร้าเสียใจ ความผิดหวัง ความทุกข์
ก็เนื่องมาจากเรายังไม่ได้ปลดปล่อยใจให้เป็นอิสระและชำระใจให้สะอาดนั้นเอง
การไม่ได้ปลดปล่อยสิ่งเหล่านี้
ทำให้เราเกิดอาการไม่ปกติ เกิดความเครียด เกิดอาการนอนไม่หลับ เกิดอาการคิดมาก
วิตกกังวล ไม่มีความสงบสุขทางด้านจิตใจ
แต่ถ้าเราปลดปล่อยใจให้เป็นอิสระและชำระใจให้สะอาด เราก็จะเกิดอาการเย็น สบาย สงบ
มีความสุข ไม่คิดมาก ไม่วิตกกังวล ไม่ร้อนรุ่มภายในจิตใจ
แล้วใครสามารถปลดปล่อยจิตใจของเราได้
คำตอบก็คือ ไม่มีใครช่วยปลดปล่อยจิตใจของเราได้ นอกจากตัวของเราเอง แน่นอน ความทุกข์ ความอาฆาต ความแค้น
ในใจของเรา มันปลดปล่อยยาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถของมนุษย์เรา จงค่อยๆ ปลดปล่อยมันออกจากจิตใจ
เมื่อเราฝึกไปมากๆ ค่อยๆ ฝึกไป สักวันสิ่งเหล่านี้มันก็จะค่อยๆ ลดลงไปตามลำดับ
แต่ถ้าเราไม่ฝึกหัดปลดปล่อย
จิตใจของเราก็จะจมอยู่ในคุก จงเปิดประตูคุก แล้วจงกล้าที่จะออกจากคุก จงหัดปล่อยว่าง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น จงให้อภัย
จงคิดดี จงทำดีให้มากๆ แล้ว ภายในจิตใจของเราก็จะเต็มไปด้วยความสุข หรือ
จงใช้ศาสนาที่เราเคารพรักหรือศรัทธาเข้าไปช่วยให้จิตใจของเราเกิดความสุข
เมื่อเราปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระและชำระใจให้สะอาดแล้ว
จิตใจของเราเกิดความสุข หน้าตาของเราก็จะผ่องใส ยิ้มแย้ม
เพราะความสุขภายในจิตใจมันส่งผลออกมายังหน้าตาภายนอกด้วย
ตรงกันข้ามหากว่าเรามีความทุกข์ภายในใจ เช่น ความเศร้า ความวิตกกังวล
มันก็ส่งผลทำให้หน้าตาของเราเศร้าหรือตึงเครียด ไม่ยิ้มแย้ม
ดังนั้น จงฝึกฝนจิตใจให้เป็นคนที่สงบ
เป็นคนที่มีจิตใจที่เป็นอิสระ เพราะนั่นคือวิถีของ
คนฉลาด จงปล่อยวางจิตใจของเรา
การปล่อยวางมิใช่การยอมแพ้ แต่ การปล่อยวางทำให้ใจของเราว่าง เมื่อใจของเราว่าง การปล่อยวางก็จะทำให้จิตใจของเราเบาสบาย
วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2564
โปรแกรมตัวเองแบบไหน คุณเป็นแบบนั้น
โปรแกรมตัวเองแบบไหน
คุณเป็นแบบนั้น
โดย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย
ม.พิษณุโลก
หลักการ NLP
เขาบอกว่า
คุณโปรแกรมตัวเองแบบไหน คุณก็จะเป็นแบบนั้น
ถ้าคุณพูดบวก คิดบวกกับตัวเองมากๆ
ผลลัพธ์ก็จะออกมาเป็นบวก เช่น คุณจะเป็นคนที่มีความสุขมากขึ้น
คุณจะประสบความสำเร็จมากขึ้น คุณจะเป็นคนที่มีพลังมากขึ้น
ถ้าคุณพูดลบ คิดลบกับตัวเองมากๆ
ผลลัพธ์ก็คือ คุณจะเป็นคนที่มีความทุกข์ วิตกกังวล คุณจะไม่ประสบความสำเร็จ
คุณจะไม่มีความกล้าและคุณจะค่อยๆหมดพลังลงไป
ดังนั้น
การพูดบวก คิดบวก กับตัวของคุณเอง มีผลต่อชีวิตของคุณ เพราะ INPUT = OUTPUT
ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
หากคุณคิดว่า คุณทำไม่ได้ ไม่เก่ง คุณไม่มีความสามารถ คุณก็จะขาดความมั่นใจ
ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง แล้วในที่สุดคุณก็จะทำไม่ได้อย่างที่คุณคิด
และถ้าคุณยิ่งคิดลบมากยิ่งขึ้น
เช่น คิดว่า คุณไม่มีการศึกษา
คุณสู้ใครก็ไม่ได้ คุณแย่ ก็จะยิ่งทำให้ความคิดเหล่านี้ ตอกย้ำเข้าไปในจิตใต้สำนึก
แล้วคุณก็จะเกิดปมด้อย แล้วชีวิตของคุณก็ยิ่งจะเป็นไปตามคำพูดและความคิดที่แย่ๆของคุณ
ยิ่งกว่านั้น
มันก็จะไปปรากฏโดยแสดงออกโดยผ่านภาษากายหรือบุคลิกภาพ ท่าทางของคุณ เช่น
หากคุณคิดลบมากๆ คุณก็จะหมดพลัง ท่าทางการเดิน การเคลื่อนไหวของคุณก็จะขาดพลัง
ดูแล้วไม่กระตือรือร้น กระฉับกระเฉง แต่ตรงกันข้าม ถ้าคุณคิดบวก พูดบวก ท่าทาง
การเคลื่อนไหว ภาษากายของคุณจะดูทรงพลัง เคลื่อนไหวกระฉับกระเฉงรวดเร็ว
มีความกระตือรือร้น
นโปเลี่ยน ฮิลล์ ผู้คิดค้นศาสตร์แห่งความสำเร็จ
หรือ กฎแห่งความสำเร็จ (the
law of success) เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณคิดว่า คุณทำได้ คุณก็จะทำได้ แต่
ถ้าคุณคิดว่า คุณทำไม่ได้ คุณก็จะทำไม่ได้ ”
เพราะถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้
คุณก็จะเกิดความมั่นใจในตนเอง คุณจะเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้ คุณก็จะพ่ายแพ้ตั้งแต่ยกแรกแล้ว
(ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือไปทำ)
ดังนั้น
จงตั้งโปรแกรมตนเองใหม่ ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ
เราก็ต้องตั้งโปรแกรมยังคนที่ประสบความสำเร็จ ถ้าเราอยากร่ำรวย
เราก็ตั้งโปรแกรมแบบคนร่ำรวย ถ้าเราอยากมีความสุขในชีวิต
เราก็ตั้งโปรแกรมอย่างคนที่มีความสุขในชีวิต ว่าเขาเหล่านั้น คิดกันอย่างไร ทำกันอย่างไร
ตั้งโปรแกรมกันอย่างไร แล้วเราก็จะประสบความสำเร็จอย่างคนที่เราต้องการจะเป็น
โดยเราสามารถสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของเราได้ด้วยกันหลายทาง
แต่วิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือ พูดกับตัวเอง บ่อยๆ ซ้ำๆ จำนวนมากๆ นานๆ เช่น พูดกับตัวเองทุกวัน วันละหลายๆครั้ง
เป็นจำนวนหลายวันติดต่อกัน เพื่อให้ตนเองเกิดความมั่นใจ “ ฉันมีพลัง ฉันมีความเชื่อมั่น ฉันเก่งที่สุด
ฉันเยี่ยมที่สุด ฉันสุดยอด” เป็นต้น