วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ฮา มาเก็ตติ้ง การตลาด

 

ฮา มาเก็ตติ้ง เรื่อง ตลก ปั่นกระแส

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

                        ต้องยอมรับกันว่า วัฒนธรรมไทยหรือคนไทยส่วนใหญ่ ชอบเรื่องราวที่ตลก สนุกสนาน มากกว่า ชอบเรื่องที่เครียดๆหรือเรื่องที่จริงจัง ฉะนั้นการนำเอา ความขำ อารมณ์ขำ อารมณ์สนุก มาใช้เพื่อสร้างความจดจำให้กับสินค้า บริโภค และสร้างแบรนด์จึงสมควรทำเพื่อให้เป็นที่จดจำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น 

ดังเราจะเห็น โฆษณา ไม่ว่าวิทยุ หรือ โทรทัศน์ ได้นำเรื่องขำขัน มาสร้างเป็นเรื่องราวจนคนดูคนฟังติดตรา

ตรึงใจ ซึ่งโฆษณาแนวตลก เรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ สร้างสุขให้ผู้คน มากกว่าโฆษณาธรรมดาๆ ทั่วไป หลายโฆษณาได้ผ่านมาเป็นเวลานานแล้ว แต่คนก็ยังจดจำกันได้อยู่

เช่น โฆษณา แฟลตปลาทอง เปิดตัวคอนโดมิเนียม เมื่อประมาณปี 2525 โดยได้รวบรวมดารา

ตลก มาแต่งตัวเป็นซุป'ตาร์หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงในระดับโลก คนดู ดูทีไรก็อดขำไม่ได้ กล่าวคือ Superstar ตลกทั่วฟ้าเมืองไทยในยุคนั้น คือ ล้อต๊อก, ชูศรี มีสมมนต์, โน้ต เชิญยิ้ม, น้อย โพธิ์งาม, ดอน จมูกบาน และ เทพ โพธิ์งาม 

สิงห์คะนองนา ก็ได้นำเสนอเรื่องราวว่าด้วย ฮีโร่หรือพระเอกขับรถอีแต๋นไปช่วยหญิงสาวหรือ

นางเอกที่ถูกจับ โดยมีการตีหรือเฆี่ยนรถอีแต๋น ทำเหมือนอย่างกับเฆี่ยนม้าให้วิ่งได้เร็วขึ้น  และยังมีวลีเด็ดคือ “ สงสัยทั่นรองจะถูกยิง”  ทำให้คนดูอดหัวเราะไม่ได้ ในสมัยนั้น

โฆษณา "ป.ปลานั้นหายากต้องลำบากออกเรือไป.." หรือ ‘อาเม้ง ป.ปลา’ ก็นำบทกลอน ที่คนฟังคน

ดูเคยท่องจำจนขึ้นใจ ในวัยเด็ก ออกมาประกอบการโฆษณาในแนวณรงค์รักษ์โลกจากโครงการรวมพลังหารสอง ซึ่งบทกลอนมีดังนี้ ป.ปลา นั้นหายาก ต้องลำบากออกเรือไป ขนส่งจากแดนไกล ใช้น้ำแข็ง เปลืองน้ำมัน แช่เย็นก็เสียไฟ หุงต้มไซร้แก๊สทั้งนั้น พลังงานต้องหมดกัน โอ้ลูกหลานจำจงดี’

เพราะสังคมไทยชอบตลก ไม่ชอบความเครียด อย่างว่าแต่การโฆษณาในโทรทัศน์ แม้แต่หนังหรือ

ภาพยนตร์ก็เช่นกัน ก็ได้นำเอาเรื่องตลกหรือมุขตลกมาใช้ในหนังจนสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

ตัวอย่างหนังตลกทำเงิน ทุบสถิติสร้างรายได้ให้แก่ผู้สร้างเพราะถูกจริตสังคมไทย เช่น  "พี่มาก พระโขนง"

เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2556 แนวโรแมนติก-สยองขวัญ-ตลก ซึ่งดัดแปลงจากเรื่องแม่นากพระโขนง ผีพื้นบ้านไทย นำแสดงโดย มาริโอ้ เมาเร่อ เป็นพี่มาก กับดาวิกา โฮร์เน่ เป็นแม่นาก
                             "เดี่ยว ไมโครโฟน" ของโน้ต อุดม เปิดกันมายาวนานจนถึงเดี่ยว 12 เปิดแสดงแต่ละครั้ง คนดูกันถล่มทลาย โดย เดี่ยวไมโครโฟนครั้งที่ 1 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23-25 สิงหาคม พ.ศ. 2538 ที่ หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต

อาคารเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์

 หนังสือตลกอย่างหนังสือ “ขายหัวเราะ” หาอ่านกัน เจ้าตำรับหนังสือขำขันอายุยาวนาน 42 ปี โดย

หนังสือ “ขายหัวเราะ” เปิดตัวครั้งแรกในวันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2519 เป็นนิตยสารที่นำเสนอการ์ตูนตลกสามช่องจบ หรือ การ์ตูนแก๊กเกือบตลอดทั้งเล่ม ภายในลงพิมพ์เรื่องขำขันแทรกเป็นช่วงๆ และเรื่องสั้นสามเรื่องในแต่ละฉบับ ซึ่งไอเดียในการเขียนการ์ตูนแก๊ก ขำขัน และเรื่องสั้น

ซึ่งหากวิเคราะห์และพิจารณากันจริงๆแล้ว มุขตลกหรือมุขฮาจะเกิดจาก 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ

1.มุขหักมุม ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องราวที่คนฟังหรือคนดู คาดไม่ถึง คิดไม่ถึง เป็นเรื่องที่ผิดแผกแตกต่างจากสิ่งที่คนฟังหรือคนดูคิดหรือคาดว่าจะเป็น

2.มุขเกินจริง เป็นมุขตลกที่โอเวอร์หรือเกินจริง 

3.มุขที่เกิดจากการใช้ภาษา เช่น มุขล้อเลียน มุขการพูดผิด มุขการเขียนผิด          

                   สำหรับการนำอารมณ์ขันหรือความขำขัน มาใช้ไม่ควรยาวจนเกินไป เช่นการทำโฆษณาเนื้อหาไม่ควรเกิน 15 นาที เพราะถ้าหากยืดยาวจนเกินไป จะทำให้ความขำจะเฝื่อน อีกทั้งไม่ควรนำ มุขหรือตลก ที่เกี่ยวกับเรื่องของ ศาสนา มาเล่นเพราะจะสร้างความขัดแย้งได้ง่าย

              อีกทั้งการนำมุขตลกมา ควรใช้มุขตลกให้สอดคล้องกับสินค้า บริการหรือผลิตภัณฑ์ของเราด้วย เพราะมุขตลก บางมุขอาจเหมือนตลกคาเฟ่ ซึ่งไม่เหมาะกับสินค้าของเรา ซึ่งสินค้าของเราดูแล้ว ลูกค้าหรือผู้ดูต้องการความเชื่อมั่นหรือต้องการความมั่นใจ

                  ดังนั้น นักการตลาดที่ทราบถึงวัฒนธรรมไทยที่ชอบความสนุก ทำให้นักการตลาดจำนวนมากได้นำความบันเทิงมาใช้เพิ่มอีกเพื่อผสมผสานให้ดียิ่งขึ้น กล่าวคือนอกจะนำเรื่องตลก มุขตลก มาใช้แล้วยัง มีเรื่องของ เกมส์การแข่งขัน การเล่นเกมส์ การถามแล้วตอบคำถามเพื่อมอบของรางวัล มาผสมผสานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำการตลาดได้ดียิ่งขึ้น

                  ซึ่งในยุคปัจจุบัน การทำอะไรไม่ควรทำเฉพาะเรื่อง แต่ควรทำอย่างผสมผสานกัน และต้องอาศัยเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ ความคิดต่าง ความคิดเชิงแกะดำ เข้ามาช่วย เพราะการทำอะไรเหมือนกับคนอื่นหรือแบบคนอื่น ไม่ทำให้เกิดความน่าสนใจหรือเกิดความแตกต่าง นักการตลาดควรมีมุมมองหรืออะไรที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ก็จะทำให้เกิดความน่าสนใจและเกิดแรงดึงดูดมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน สื่ออินเตอร์เน็ตหรือสื่อออนไลน์ เป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่และมีคนใช้เป็นจำนวนมาก หากนักการ

ตลาดท่านใด สามารถนำเอาเรื่องขำขัน เรื่องสนุกสนาน ไปใช้ในการลงสื่อ ออนไลน์เช่น Facebook , Youtube , TikTok ฯลฯ ก็จะเป็นที่จดจำได้อย่างรวดเร็วและสามารถสร้างแบรนด์ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น



วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2563

รวมพลังนำเสนองานวุฒิอาสาธนาคารสมองภาคเหนือ ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

 

เมื่อวันที่ 24-26 พฤศจิกายน 2563 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ วุฒิอาสาธนาคารสมองจังหวัดพะเยา ได้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ “ รวมพลังนำเสนองานวุฒิอาสาธนาคารสมองภาคเหนือ ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ณ ห้องประชุมเชียงรุ้ง โรงแรมเวียงอินทร์ จังหวัดเชียงราย จัดโดย มูลนิธิพัฒนาไท สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และวุฒิอาสาธนาคารสมองภาคเหนือ ( 17 จังหวัด) www.drsuthichai.com










อัพเดท ข่าว !!! คนจนเฮ สถานที่ลงทะเบียน บัตรคนจน ประจำปี 2564


 

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2563

บรรยาย การขับขี่อย่างปลอดภัย

 5 ธันวาคม 2563 ผศ.ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อ “ เทคนิคการขับขี่รถอย่างปลอดภัยและพ.ร.บ.ประกันภัยภาคบังคับ” ให้แก่โครงการขนส่งสาขาเคลื่อนที่ เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ในกลุ่มจังหวัดเชียงราย ณ องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านตุ่น จังหวัดพะเยา www.drsuthichai.com







วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ด่วน คนละครึ่งเฟส 2 เพิ่มวงเงิน 4,500 บาท ลงทะเบียนคนละครึ่ง


 

ด่วน เตือนอีกครั้ง โครงการคนละครึ่ง เฟส 1 ใช้สิทธิให้หมดภายใน 31 ธันวาคม 2563


 

บัตร สวัสดิการ แห่งรัฐ เดือน ธันวาคม 2563

 


โครงการ ประกัน ราย ได้ เกษตรกร ผู้ ปลูก ข้าว ปี 2563 – 64 ครม อนุมัติเพิ่ม 2 8 หมื่นล้านบาท


 

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Positive Thinking

 

Positive Thinking 

ฝึกคิดบวก ชีวิตเปลี่ยน

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

การฝึกความคิดบวก เป็นสิ่งที่ดีงามสำหรับการมีชีวิตอยู่ เพราะการคิดบวก ทำให้เรามีความหวัง ทำให้เรามองโลกในแง่ดี ทำให้เรามีความสุขมากกว่าการคิดลบ เพราะความคิดสามารถกำหนดชีวิตของคนเราได้ ดังเช่นคำพูดที่ว่า “ เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน” ในบทความฉบับนี้เรามาพูดเรื่องของความคิดในเชิงบวกกันดีกว่า

1.คนเราสามารถสร้างความสุขจากภายในได้  “ ชีวิตที่ผ่านพบ มีลบก็มีเพิ่มขอเพียงให้เหมือนเดิมกำลังใจ” คนที่จะผ่านชีวิตที่มีความทุกข์ได้ คนคนนั้นต้องหมั่นคิดบวก หมั่นพยายามให้กำลังใจตนเอง ชีวิตของคนเราสามารถมีความทุกข์หรือมีความสุขได้ขึ้นอยู่กับความคิดและสิ่งที่อยู่ภายในใจของตนเองทั้งสิ้น สำหรับปัจจัยภายนอกเป็นสิ่งที่ประกอบ เช่น สิ่งแวดล้อม สิ่งเร้า หากพวกเราทำให้ใจเรามีความสุขได้ สิ่งภายนอกที่มากระทบก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย

2.อยากคิดบวกบางครั้งก็ต้อง ปิดหูบ้าง หมายถึง คนคิดบวก ในบางครั้ง ก็ไม่ควรไปฟังคำพูด คำนินทา คำด่า คำหยาบ คำพูดที่ไม่ดี คำพูดที่ทำให้คิดลบ เพราะอาจจะทำให้เราจิตตก คิดในด้านลบ และทำให้เราขาดความเชื่อมั่นหรือขาดความมั่นใจในตนเอง ตรงกันข้ามกับบางคน ปิดหู ไม่ได้ยิน อาจทำให้คิดในทางบวก ตัวอย่างเช่น นิทานเรื่อง “ กบแข่งกันปีนต้นไม้ ” 

            ณ หมู่บ้านกบแห่งหนึ่งมีการแข่งขันกันปีนต้นไม้ เมื่อการแข่งขันได้เริ่มขึ้น กบแต่ละตัวก็พากันปีนขึ้นต้นไม้ โดยมีกบที่อยู่ด้านล่างต่างตะโกนขึ้นว่า “ ตกลงมา  ตกลงมา ตกลงมา ” ปรากฏว่า กบแต่ละตัว ก็ตกลงมาจริงๆ แต่ในที่สุด มีกบตัวหนึ่งปีนขึ้นต้นไม้อย่างรวดเร็ว จนขึ้นไปจุดสูงสุด กบตัวนี้จึงเป็นผู้ชนะการแข่งขัน เมื่อกบตัวนี้ลงจากต้นไม้ มีกบหลายตัวเข้าไปถามว่าทำไม กบตัวนี้ถึงเก่งและสามารถปีนขึ้นไปได้ที่จุดสูงสุด เมื่อกบผู้ชนะถูกถาม กบผู้ชนะ ก็ทำหน้า งง งง เพราะไม่เข้าใจและไม่ได้ยิน เพราะกบตัวนี้หูหนวกนั่นเอง ดังนั้น คนเราในบางครั้งอาจจะต้องทำตัวเป็นคนหูหนวกบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง เพราะคำพูดของคนอื่นๆ เป็นจำนวนมากมักผ่านเข้ามาแล้วทำร้ายจิตใจของเรา ทำให้เราเกิดความคิดในด้านลบ และหมดกำลังใจได้ เหมือนกับกบหลายตัวที่ตกลงมาจากต้นไม้ เพราะได้ยินคำพูดว่า “ ตกลงมา  ตกลงมา ตกลงมา ” แต่กบตัวที่ชนะ หูหนวก เมื่อมองจากต้นไม้ลงมาก็คิดว่า กบทุกตัวได้ตะโกนเชียร์ตนเองว่า “ รีบขึ้นไป รีบขึ้นไป รีบขึ้นไป” กบตัวนี้จึงรีบปีนขึ้นต้นไม้อย่างรวดเร็ว กบตัวนี้จึงเป็นผู้ชนะเพราะการคิดในด้านบวกนั้นเอง

3.คนที่คิดบวกต้องเลือกคบกับคนที่คิดบวก ไม่ควรไปคบกับคนที่คิดลบ

ถ้าใครศึกษาเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูดก็จะทราบว่า คนที่มีนิสัยใจคอ พฤติกรรม ทัศนคติ คล้ายกันก็จะเข้ากันได้ เช่น น้ำกับน้ำมัน เมื่อถูกผสมกัน อีกสักครู่น้ำกับน้ำมันก็จะเกิดการแยกตัวออกจากกัน ถ้าเราเป็นคนคิดบวก ดันไปคบกับเพื่อนที่คิดลบเยอะๆ อีกไม่นาน เราก็จะกลายเป็นคนที่คิดลบ จงถอยออกจากเพื่อนที่คิดลบ ก่อนที่จะสายเกินไป

4.จงใช้หลักศาสนา ในการดำรงชีวิต โดยส่วนตัวของกระผมเชื่อว่า ศาสนาทุกศาสนา สอนให้คนเป็นคนดี สอนให้คนพบความสุข ในบางครั้ง บางเวลา เราเกิดความทุกข์ จงเข้าหาศาสนา ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า คนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามาก เกิดความทุกข์มากๆในอดีต เขาก็จะเข้าหาศาสนา เช่น หลายคนมีความทุกข์ก็จะเข้าไปปรึกษาพระสงฆ์ หรือ เข้าไปทำบุญในวัด  เป็นต้น

ดังนั้น จงฝึกคิดบวกให้มาก จงฝึกคิดในทางบวกให้มาก แล้วชีวิตของท่านจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน



 

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

บทความ การพูดต่อหน้าที่ชุมชน การพูดต่อหน้าสาธารณะชน

 

การพูดต่อหน้าที่ชุมชน การพูดต่อหน้าสาธารณะชน

 

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

 

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

 

www.drsuthichai.com

 

              การพูดที่ประสบความสำเร็จ คนพูดต่อหน้าที่ชุมชน ควรคำนึงถึง วัตถุประสงค์ของการพูดหรือเป้าหมายของการพูด

 

ซึ่งเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการพูดมีอยู่ 3 แบบคือ

 

๑. แบบจูงใจหรือชักชวนหรือโน้มน้าว เป็นการพูดเพื่อจูงใจให้ผู้ฟังคล้อยตามผู้พูด เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความ

เชื่อและทัศนคติ การกระทำ เช่น การพูดในรัฐสภา , การพูดหาเสียงของนักการเมือง , การพูดให้บริจาคร่างกายหรือบริจาคเลือด  เป็นต้น

 

 ๒. แบบบอกเล่าหรือบรรยาย  เป็นการพูดเพื่อบอกเล่าหรือบรรยายหรือสอน เพื่อให้ผู้ฟังได้รับความรู้ ได้รับข้อมูลข่าวสาร เช่น ครู อาจารย์ สอนหนังสือในห้องเรียน , การเล่าข่าวในช่องข่าวต่างๆซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมกันมากและผู้ฟังนิยมให้ผู้ประกาศข่าวเล่าข่าวมากกว่าการอ่านข่าวแบบเดิมๆ ซึ่งทำให้ผู้ฟังเกิดความสนุกสนานมากกว่า  เป็นต้น

 

 ๓. แบบบันเทิงหรือรื่นเริง เพื่อจรรโลงใจ เพื่อสร้างความบันเทิง ความสนุกสนาน อารมณ์ขันในการฟัง เช่น ทอล์คโชว์ , เดี่ยวไมค์โครโฟน เป็นต้น

 

              เมื่อนักพูดทราบว่าเรามีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการพูดแต่ละเวทีอย่างไร เราก็ต้องพูดให้ตรงกับวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการพูด ก็จะประสบความสำเร็จ มากกว่าผู้พูดที่ไม่รู้จักวิเคราะห์วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการพูดและอีกประการหนึ่งนักพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ประสบความสำเร็จต้องรู้และปรับใช้การพูดของตนเองตามสถานการณ์ต่างๆเช่น ซึ่งการพูดต่อหน้าชุมชนมีอยู่ด้วยกัน ๔ ประเภท ดังนี้

 

๑. พูดแบบท่องจํา  คือ การเตรียมเรื่องพูดโดยการท่องจำ เนื้อหา สาระ มาพูด โดยพูดอย่างมีศิลปะให้ดูอย่างเป็นธรรมชาติ มีการใช้ภาษากายประกอบการพูด

 

 ๒. พูดแบบมีต้นฉบับ คือ การพูดไปอ่านเนื้อหาจากต้นฉบับที่ร่างเพื่อนำเอาไปพูด ซึ่งการพูดลักษณะนี้ ไม่ควรจะก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างเดียว ผู้พูดควรมีการซ้อมพูดหรือฝึกพูดจากต้นฉบับมาก่อนหลายๆรอบ เพื่อให้การพูดแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ

 

 ๓. พูดจากความเข้าใจ คือการพูดที่มีการเตรียมเนื้อหามาล่วงหน้า ผู้พูดต่อเข้าใจเนื้อหาของต้นฉบับเป็นอย่างดี ยิ่งเข้าใจถึงขั้นแตกฉานในเนื้อหาที่พูดผู้พูดก็จะสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นกันเองได้มากยิ่งขึ้น  

 

๔. พูดแบบกะทันหัน คือ เป็นการพูดที่ไม่ได้มีโอกาสเตรียมตัวไปพูดเลย ซึ่งผู้พูดประเภทนี้ต้องมีไหวพริบปฏิภาณ

ในการพูดสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ต้องพูดเพื่อให้คนฟังเข้าใจโดยมีการลําดับความคิด เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายขึ้น

 

โดยสรุปคือ ผู้พูดที่ประสบความสำเร็จในการพูดต่อหน้าสาธารณะชน มีดังต่อไปนี้

 

 ๑. ผู้พูดต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการพูดเป็นอย่างดี

 

๒.ผู้พูดต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง ว่าผู้ฟัง เป็นคนเพศใด วัยใด ระดับการศึกษาระดับใด  สถานภาพทางสังคม อาชีพอะไร

 

ความสนใจของผู้ฟัง ความคาดหวังและทัศนคติของผู้ฟังที่มีต่อเรื่องที่พูด

 

๓.เตรียมขอบเขตเนื้อหาของเรื่องที่จะพูด โดยคํานึงถึงเนื้อเรื่อง สาระ และระยะเวลาในการพูด ประเด็นสําคัญๆที่จะต้องพูด

 

๔.เตรียมข้อมูล ค้นคว้า หาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่จะพูดมาให้มากที่สุดซึ่งต้องอาศัย การค้นคว้าจากการอ่าน การฟัง การสัมภาษณ์ การสอบถามจากผู้รู้ที่มีความรู้และประสบการณ์

 

๕.ต้องเขียนสคิป เกี่ยวกับโครงสร้างของเรื่องที่จะพูดออกมาทั้งหมดว่าจะขึ้นต้นอย่างไร ตรงกลางอย่างไร สรุปจบอย่างไร โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านเวลา ผู้ฟัง สถานที่ ภาษาที่ใช้ ความเข้าใจง่าย ตรงประเด็น เหมาะกับสถานการณ์ที่จะพูด

 

๖. ซ้อมพูด ซ้อมพูด และซ้อมพูด เพื่อให้เกิดความมั่นใจในตนเอง ผู้พูดต้องมีการซ้อมพูด จงหาสถานที่ที่สงบๆ แล้วซ้อมพูด ออกเสียงออกมาดังๆ จงใช้ท่าทางประกอบการพูด ถ้าเป็นไปได้จงหาเครื่องถ่ายวีดีโอหรือกล้องวีดีโอจากโทรศัพท์มือถือถ่ายหรือบันทึกแล้ว เปิดออกมาดูจะได้รู้ว่า เราควรจะปรับปรุง จังหวะการพูดอย่าง เราควรจะแก้ไขภาษากายอย่างไรในการพูด

 

7.สุดท้าย เมื่อเราต้องพูดต่อหน้าที่ชุมชนจริงๆ เราจะต้องมีการหยืดหยุ่นหรือปรับตามสถานการณ์ เช่น เจ้าภาพให้เราพูด 1 ชั่วโมง แต่ปรากฏว่ามีรายการอื่นๆ เกิดขึ้นจึงเหลือเวลาให้กับเราแค่ ครึ่งชั่วโมง เราก็ต้องมีการปรับทอนเนื้อหาที่ไม่สำคัญออกเพื่อให้เวลาเหลือแค่ครึ่งชั่วโมง หรือ ช่วงเวลาที่เราพูดเกิดไฟฟ้าดับ เราก็ต้องมีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ เป็นต้น

 

              ทั้งนี้ การพูดต่อหน้าที่ชุมชน เป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ ซึ่งเราทุกคนสามารถเรียนรู้กันได้ พัฒนากันได้ ฝึกฝนเพื่อเพิ่มทักษะกันได้ และเราทุกคนสามารถเป็นนักพูดที่ดีและประสบความสำเร็จได้ซึ่งขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ความปรารถนาอย่างแรงกล้าของแต่ละบุคคลนั้นเอง



วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

การดูแลบุตรหลานในช่วงปิดเทอม

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เป็นค่าวิทยากรหัวข้อ " การดูแลบุตรหลานในช่วงปิดเทอม" ให้แก่บ้านพักเด็กและครอบครัว คริสตจักรวารีพิมลธรรม ณ โบสถ์ คริสตจักรวารีพิมลธรรม ตำบล บ้านปิน อำเภอ ดอกคำใต้ พะเยา  ww.drsuthichai.com เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563

















วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

การโต้วาที ของสโมสรฝึกการพูดเชียงราย

 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ www.drsuthichai.com บรรยายพิเศษ "การโต้วาที พร้อมทั้งเสนอแนะ แนะนำวิจารณ์ และเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันการโต้วาที" ที่สมาคมพัฒนา ประชากรและชุมชนจังหวัดเชียงรายจัดโดยสมาคมฝึกการพูดจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2563 








วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

บทความ เมื่อมีวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ การทำตลาดออนไลน์อย่างไร

 บทความของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์  เกี่ยวกับ การตลาด เขียนให้กับสมาคมเทคโนโลยีไทยญี่ปุ่น วารสาร TPA News ฉบับที่ 285 ข่าว ส.ส.ท. ปีที่ 24 ฉบับที่ 285 เดือน กันยายน 2563 ครับ...