วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2562

มี IQ EQ SQ ยังไม่พอต้องมี AQ


มี IQ EQ SQ ยังไม่พอต้องมี AQ
โดย...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
                


        IQ EQ SQ  และ AQ  คือตัวอักษรย่อของภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความสำคัญกับการดำเนินชีวิตและการทำงาน ซึ่งแต่ละตัวมีความหมายและรายละเอียดดังนี้
IQ ย่อมาจาก Intelligenec Quotient คือ ความฉลาดความสามารถทางเชาว์ปัญญา  ซึ่งถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยที่คอยส่งเสริม เชาว์ปัญญาเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ แต่สามารถแสดงออกโดยผ่านพฤติกรรมต่างๆของบุคคล
            ซึ่งในปัจจุบัน เรามีเครื่องมือวัดจากแบบทดสอบหรือเครื่องมือที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นโดยมีการแบ่งออกเป็นทักษะต่างๆคือ  ทักษะด้านคณิตศาสตร์ , ทักษะด้านการคิด , ทักษะด้านความจำ , ทักษะด้านการใช้ภาษา , ทักษะด้านความเร็วในการคำนวณต่าง เป็นต้น
            สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิด IQ ได้แก่ กรรมพันธุ์ , อาหาร, การฝึกฝนในการใช้ความคิด ,  การเลี้ยงดู การอบรมสั่งสอน ตลอดจนสิ่งแวดล้อมภายในครอบครัว เป็นต้น
           EQ  ย่อมาจาก  Emotional Quotient  หมายถึง เชาว์อารมณ์ หรือความฉลาดทางอารมณ์ คือ การรู้จัก เรียนรู้ ความรู้สึก อารมณ์ของตนเองและผู้อื่น อีกทั้งสามารถบริหารจัดการกับอารมณ์ต่างๆได้  มีงานวิจัยออกมาหลายชิ้นพบว่า บางคนมี IQ ที่สูง มีความฉลาดทางสติปัญญา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็เนื่องมาจากการขาด EQ   เช่น นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกหลายๆคน มีความฉลาดทางปัญญาระดับอัจฉริยะ แต่ครอบครัวแตกแยก ภรรยาขอเลิก หรือ ทำงานร่วมกันคนอื่นๆไม่ได้ เป็นต้น
          SQ ย่อมาจากคำว่า Social Quotient  หมายถึง ความฉลาดทางสังคม  เป็นความสามารถในการปรับตัวในการเข้าสังคมได้ดี  เป็นบุคคลที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี  มีทักษะในการพูดจา ยิ้มแย้มแจ่มใส มีบุคลิกภาพที่ดี
            IQ EQ SQ 3 สิ่งข้างต้นนี้มีความสำคัญมาก แต่ภายในบทความนี้ อยากที่จะเน้นเกี่ยวกับเรื่องของ AQ ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน
            AQ ย่อมาจาก Adversity Quotient หมายถึง ความสามารถในการฝันฝ่าอุปสรรคปัญหาต่างๆ ทั้งต้องมีความอดทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ร่างกาย จิตใจ เพื่อที่จะบรรลุถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้  ตัวอย่างเช่นนักไต่เขา 3 คน
  คนที่ 1 เมื่อเห็นภูเขาสูงๆ แล้ว ปฏิเสธไม่อยากที่จะปีนเพราะกลัวเหนื่อย ทั้งๆที่ตนเองก็สามารถปีนขึ้นได้  เราเรียกนักไต่เขาคนนี้ว่า “ Quitters”  หรือ ผู้ที่ไม่ยอมเดินทางหรือหยุดเดินทางเมื่อเจอปัญหาอุปสรรค  มีลักษณะของการหลบเลี่ยง
  คนที่ 2 เมื่อปีนเขาไปได้สักครึ่งทาง บ่นว่าเหนื่อยแล้วหยุดพัก ตั้งเต้นท์แล้วไม่ยอมปีนต่อ สำหรับลักษณะของคนที่ 2 เมื่ออยู่ภายในองค์กรมักไม่ชอบทำตนให้เด่นเกินหน้าใคร เราเรียกนักไต่เขาคนนี้ว่า “ Campers” หรือ ผู้หยุดพักพิงเมื่อได้ที่เหมาะ
  คนที่ 3 จะพยายามปีนให้ไปถึงจุดสูงสุดบนยอดเขา เป็นนักปีนเขาที่อุทิศตนไม่หยุดยั้ง ชอบความท้าทาย มีแรงจูงใจ มีวินัย เมื่อปีนถึงจุดสูงสุดบนยอดเขา มักจะพูดกับตัวเองและผู้คนรอบข้างว่า “ มีเขาลูกไหนที่สูงกว่านี้ให้ปีนอีกไหม” เราเรียกนักไต่เขาคนนี้ว่า “ Climbers” หรือ ผู้ที่รุกไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง
            ในการดำเนินชีวิตและการทำงาน ท่านคิดว่าตัวเอง มีลักษณะเหมือนนักปีนเขาคนใด เพราะถ้าหากท่านเหมือนกับนักปีนเขาคนที่ 1 และคนที่ 2 ท่านมีโอกาสเป็นผู้แพ้มากกว่าผู้ที่ชนะ แต่ถ้าหากท่านมีลักษณะเหมือนนักปีนเขาคนที่ 3 ท่าน มีโอกาสในการเป็นผู้ชนะ มากกว่าผู้พ่ายแพ้
          อีกทั้ง AQ ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของความสามารถในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1.คนที่มี AQ จะมีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ต่างๆได้เป็นอย่างดี กล่าวคือถ้าต้องเผชิญเหตุการณ์ร้ายๆหรือพบกับปัญหาอุปสรรคต่างๆจะสามารถอดทนต่อสิ่งเหล่านั้นได้
2.คนที่มี AQ จะมีวิธีคิดหรือวิธีในการมองปัญหา ตามความเป็นจริงและสามารถแก้ไขปัญหาหรือสถานการณ์ต่างๆ พร้อมทั้งหาทางออกได้
3.คนที่มี AQ จะเป็นคนที่มีอดทน ทนทาน ต่อปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ อีกทั้งมีความมุมานะในการฝ่าฟันปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี


โดยสรุป IQ EQ  SQ  มีความสำคัญ แต่คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานหรือในชีวิตจะขาดเรื่องของ  AQ  ไม่ได้เลย กล่าวคือ มีความฉลาด มีการอารมณ์ที่ดี มีการเข้าสังคมที่ดี แต่ถ้าขาดไปซึ่ง ความอดทน ความมานะ บากบั่น ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้


วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2562

ก้าวหน้าไปทีละขั้น


เดินไปทีละก้าว...ก้าวหน้าไปทีละขั้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำหลักสูตร MBA และอาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
                จงอย่าใช้ชีวิตแบบวงกลมเพราะจะทำให้ชีวิตองคุณกลับมายืนอยู่จุดเดิม อย่าใช้ชีวิตแบบเส้นตั้งฉาก(90 องศา)
เพราะจะทำให้คุณปืนขึ้นไปแล้วเหนื่อย แต่จงใช้ชีวิตแบบเส้นขั้นบันได เพราะจะทำให้คุณเดินก้าวไปทีละขั้น ทำให้ไม่เหนื่อยอีกทั้งยังมีเวลาพักผ่อนระหว่างที่ยืนอยู่ระหว่างขั้นบันได


ในหนังสือ “วิธีการสร้างอนาคต”ของพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งเป็นบุคคลต้นแบบของกระผมได้ยกตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมดังนี้ 
 วิธีการสร้างอนาคตที่ดี คือ การค่อย ๆ สร้างไปทีละขั้น ไม่ใจเร็วด่วนได้ จงก้าวไปทีละขั้น แต่ไม่หยุดและทุกขั้นที่ก้าวต้องก้าวอย่างมั่นคงหนักแน่น ประหนึ่งรากฐานของตึกหรือสิ่งก่อสร้างจะต้องสร้างให้มั่นคงหนักแน่น การสร้างอนาคตของคนเรา- ต้องสร้างไปอย่างช้า ไม่ใจเร็วด่วนได้ เพราะถ้าใจเร็วด่วนได้จะทำให้รากฐานไม่มีความมั่นคงหนักแน่นยิ่งสร้างสูงขึ้นไปยิ่งจะโค่นล้มลงได้ง่าย”
จากข้อความข้างต้น จึงทำให้เราทราบว่า ท่านพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ท่านเป็นคนขยันขันแข็ง เป็นคนทำอะไรทำจริงจัง ไม่ท้อแท้ ไม่ยอมแพ้ ไม่ย่อท้อ ต่อการทำงาน หากใครได้อ่านชีวประวัติของท่าน ก็จะทราบว่า ท่านเป็นคนทำงานหนัก ทำงานหลายชั่วโมงต่อวัน ทำงานได้หลากหลาย เช่น เป็นนักการเมือง เป็นนักการทูต เป็นนักพูด เป็นนักเขียน ฯลฯ
เดินต่อไป...... ก้าวต่อไป คนเราเปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่ผ่านพ้นมาในอดีตไม่ได้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้  จงวางเป้าหมายของชีวิต แล้วจงก้าวเดินต่อไปทีละก้าว  จงจับจ้องที่เป้าหมาย แต่จงอย่าจับจ้องที่อุปสรรค แล้วชีวิตของท่านก็จะก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงหนักแน่น เพราะโลกทั้งโลกมักเปิดทางให้กับคนที่รู้ตัวว่าเขาจะเดินทางไปในทิศทางใด ขอให้ท่านจงเดินไปข้างหน้า

จงก้าวอย่างช้าๆ แต่อย่าหยุด ดีกว่าวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วแล้วก็หยุดนอนพัก พวกเราคงได้ยินนิทานเรื่อง กระต่ายกับเต่า นิทานภายในเรื่องมีการวิ่งแข่งขันกัน แต่ผลปรากฏว่า เต่าชนะกระต่าย ทั้งๆที่กระต่ายวิ่งได้เร็วกว่า ก้าวได้ยาวกว่า แต่กระต่ายประมาทจึงได้นอนพัก ตรงข้ามกับเต่า เดินช้ากว่า วิ่งช้ากว่า ก้าวเท้าสั้นกว่า แต่เต่าไม่หยุดเดิน เต่าเดินต่อไป เดินต่อไป ด้วยความมานะพยายาม ไม่พักผ่อน ในที่สุด เต่าก็ชนะกระต่าย
ระยะทางหมื่นลี้ ย่อมเริ่มต้นจากก้าวแรกเสมอ ในการทำงานหรือการเป็นผู้บริหารก็ดี  “ไม่มีใครขึ้นสูงได้โดยไม่ต้องปืนหรือก้าวขึ้นบันไดขั้นต่ำที่สุดก่อน” การที่ผู้บริหารคนหนึ่งจะเป็นผู้บริหารที่ดี เขาจะต้องผ่านการเป็นลูกน้องมาก่อน
หรือใครที่เป็นผู้บริหารหน่วยงานขายที่ดี เขาจะต้องเป็นนักขายมาก่อน
                ถ้าไม่กล้า...ก็ไม่มีวันเดินหน้า....และก็จะไม่มีก้าวแรก คนเราเมื่อไม่กล้าที่จะทำอะไร ก็ไม่ควรหวังว่าจะได้อะไร จงกล้าที่จะไปตามหาความฝันของตนเอง จงกล้าที่จะค้นหาเส้นทางเดินของตนเอง ถึงแม้เส้นทางนั้น คนรอบข้างของเราจะคัดค้าน ต่อต้าน ไม่เห็นด้วย ไม่มีการสนับสนุน ก็ตาม จงก้าวเดิน จงกล้าที่จะก้าวเดิน ไปสู่ความฝันอย่างมั่นใจ จงเลือกอาชีพที่ตนเองชอบและตนเองถนัด แต่ถ้าหากท่านยังหาอาชีพที่ท่านชอบยังไม่เจอ จงหามันต่อไป จงหามันต่อไป แล้วจงกล้าที่จะก้าวเดินต่อไป อย่าได้หวั่นไหวกับอุปสรรคต่างๆ
........เพราะทุกลมหายใจของชีวิตคือประสบการณ์และบทเรียนของเราเอง จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด จงยืนยิ้มรับกับวันพรุ่งนี้ที่ยังมาไม่ถึง จงก้าวต่อไปทีละขั้น จนกว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต ขอให้ท่านผู้อ่านของกระผม พบแต่ความโชคดี มีความสุขตลอดชีวิต สาธุ สาธุ สาธุ........

บทความทางการตลาด ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

บทความของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการตลาด ที่เขียน ณ วารสาร สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี ไทย-ญี่ปุ่น



วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2562

กลยุทธ์ทางด้านการตลาด ผศ.ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์



กลยุทธ์ทางด้านการตลาด
โดย...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพิษณุโลก
                ในยุคปัจจุบันมีกลยุทธ์ทางการตลาดมากมาย ที่โน้มน้าวจิตใจหรือกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการอยากซื้อสินค้าอยากทดลองสินค้า โดยเฉพาะ การโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่ง ทำให้ผู้บริโภคถูกหลอกได้ อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่น มันฝรั่งทอด ยี่ห้อต่างๆ เราจะสังเกตเห็นว่ามันฝรั่งทอดที่เราซื้อในห้างสรรพสินค้า 2 ใน 3 เป็นอากาศ ส่วนหนึ่งในสาม เป็นชิ้นของมันฝรั่งทอด เมื่อเราเปิดออกมาดูก็จะมีแต่ลมเหลือเพียงแต่ชิ้นมันฝรั่งเพียงไม่กี่ชิ้น  แต่ทางบริษัทผลิตมันฝรั่งทอดอาจจะชี้แจงแล้วอ้างว่า การที่มีลมหรืออากาศในถุงมันฝรั่ง ก็เพื่อไม่ให้เกิดมันฝรั่งแตกหัก แต่ ถ้าเราเปิดดูแล้ว เราก็อาจจะเสียดายเงินที่ซื้อไปเพราะดูจากถุงมีความใหญ่มาก แต่พอเปิดข้างใน กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่เห็น
                สำหรับเรื่องของการสร้างแบรนด์ก็เช่นเดียวกัน ในยุคนี้ได้ใช้กลยุทธ์ด้านการตลาดมากมายเพื่อโน้มน้าวจิตใจหรือกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการอยากที่จะซื้อ มีการวิจัยของสถาบันวิจัยในต่างประเทศ ที่เกี่ยวกับการวิจัยแบรนด์ เขาบอกว่าถ้าผู้บริโภคเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าก็จะเจอแบรนด์มากถึง 72000 แบรนด์เลยทีเดียว ฉะนั้นเรากำลังอยู่ในยุคของทางเลือกที่มีอย่างมากมายมโหฬารซึ่งแตกต่างกับในอดีตถ้านึกถึงผงซักฟอกสักยี่ห้อหนึ่งเราอาจจะนึกถึง บรีส เปา แฟ้บ แต่ปัจจุบันเราลองดูว่าผงซักฟอกมีกี่ยี่ห้อ เราแทบจำไม่ได้ทั้งหมด
                ฉะนั้นเรากำลังอยู่ในยุคของเทคโนโลยีโดยเฉพาะทางอินเตอร์เน็ต  เราสามารถขายของทางออนไลน์ได้  เด็กสมัยใหม่ร่ำรวยขึ้น  อย่างรวดเร็วเพราะ ขายของทางออนไลน์ เช่น การเปิดร้านค้าทางด้าน Facebook การทำเว็บไซต์ ต่างๆ ฉะนั้นสมัยก่อนถ้าเราจะสร้างแบรนด์สักยี่ห้อหนึ่ง เราจะต้องโฆษณาสื่อหลัก อย่าง เช่น ทีวี  หนังสือพิมพ์ วิทยุ ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมากมายมหาศาล แต่ปัจจุบันเรามีสินค้า 1 ยี่ห้อ เราสามารถโฆษณาใน Facebook หรือสื่อ ในออนไลน์ต่างๆ ได้ในราคาถูกและฟรี
อีกทั้งในอดีต ต้นทุนในการผลิตสื่อ โฆษณาก็มีราคาสูง การจะทำโฆษณาออกทางโทรทัศน์สัก 1 ชิ้น ต้องเสียเงินไปหลายแสนหลายล้านบาท แต่ปัจจุบันมีกล้อง มีโทรศัพท์มือถือ มีโปรแกรมตัดต่อที่ทำได้ง่ายและราคาแสนถูก เราก็สามารถที่จะผลิตโฆษณา ได้อย่างง่ายดายและราคาถูก
ในอดีต กูรูด้านการตลาดอย่าง ฟิลลิปคอตเลอร์(Philip Kotler) เคยได้เขียนหรือบรรยายไว้ว่า  การที่เอาชนะการแข่งขันกันด้านการตลาด มีหลัก 2 หลักใหญ่ๆที่ใช้กัน ก็คือ
1.       ต้องทำให้ต้นทุนราคาถูกๆหรือการตั้งราคาถูกมากกว่าคู่แข่ง
2.       หากทำต้นทุนราคาถูกไม่ได้ก็ต้องสร้างความแตกต่างซึ่งในยุคปัจจุบันเราได้ใช้กลยุทธ์นี้มากขึ้นหรือนิยมใช้
กันมาก ดังเราจะเห็นว่า สินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ มีความแตกต่างกัน เนื่องจากบริษัทได้สร้างนวัตกรรมหรือใช้ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆลงไปใน สินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ รวมทั้งนวัตกรรมหรือความคิดสร้างสรรค์ทางด้านโฆษณา นวัตกรรมหรือความคิดสร้างสรรค์ทางการประชาสัมพันธ์  นวัตกรรมหรือความคิดสร้างสรรค์ด้านการศึกษา นวัตกรรมหรือความคิดสร้างสรรค์ทางด้านการเมือง เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าต้องการที่จะชนะการแข่งขันในยุคปัจจุบันเราจะต้องมีความแตกต่าง กับคู่แข่ง
                สำหรับในยุคปัจจุบัน เราอาจจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเอาชนะการแข่งขันกันด้านการตลาดในวันนี้กระผมมีหลักการใหม่ๆมาเพิ่มเติมหรือต่อยอดกับหลักการของ ฟิลลิปคอตเลอร์(Philip Kotler) มีดังนี้
                1.เรื่องของความเร็ว เราอยู่ในยุคของปลาเร็วกินปลาช้า ถ้าใครทำอะไรได้เร็วกว่าผู้อื่นย่อมได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูล เรื่องของเทคโนโลยี หรือแม้แต่เรื่องของข้อมูล อย่างเช่น Facebook มีการเก็บข้อมูลของลูกค้าที่ใช้หรือโรงแรมใหญ่ๆมีการเก็บข้อมูลของลูกค้า ที่ใช้บริการ แล้วนำมาสนองตอบ ความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
                2.การค้นหาหรือการทำ SEO (การปรับแต่งเว็ปไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา) มีความสำคัญมา กล่าวคือทำอย่างไรที่จะให้คน หรือลูกค้าค้นพบ สินค้าของเรา หรือบริการของเราเป็นสิ่งสำคัญ เช่นปัจจุบันเรามีอินเตอร์เน็ต เรามี Google ถ้าสมมุติเขาค้นหา สินค้าของเรา แล้วเจอที่อาลีบาบา เจอที่ Lazada เจอในที่ต่างๆ เราก็สามารถที่จะขายสินค้าได้ ในทางกลับกัน ถ้าสินค้าคู่แข่ง ไม่สามารถ search เจอหรือค้นเจอ ก็ไม่สามารถที่ขายสินค้าหรือบริการนั้นได้ ฉะนั้น การทำให้ลูกค้าค้นเจอใน อินเตอร์เน็ต เป็นสิ่งที่มีความสำคัญในยุคปัจจุบัน
3.การร่วมมือหรือการทำ Partner Ship  ก็มีความสำคัญ การเป็นพันธมิตรกัน ทำให้เกิดความได้เปรียบ ในการแข่งขัน เพราะบางสิ่งบางอย่าง บริษัทของเราหรือองค์กรของเราอาจจะไม่ชำนาญแต่ต้องอาศัย บริษัทอื่นที่เขามีเทคโนโลยีหรือมีความสามารถในการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยี เข้ามาช่วย
สำหรับธุรกิจใหม่ๆที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันที่น่าสนใจ มีดังนี้
Refill station นี่คือธุรกิจของกลุ่มคนที่รักสิ่งแวดล้อม เป็นการขายน้ำยาต่างๆเช่น น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน น้ำยาเช็คพื้น น้ำยาล้างห้องน้ำ ฯลฯ  โดยที่ลูกค้าต้องเอาขวดปั๊มน้ำยาจากบ้านมาใส่เอง ทั้งนี้เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและลดจำนวนขยะ โดยผู้ขายจะนำขวดใหญ่ๆหรือน้ำยาถังใหญ่ๆตั้งไว้ แล้วให้ลูกค้านำเอาขวดมาเติมน้ำยากันเอาเอง โดยคิดค่าน้ำยาเท่านั้น จึงทำให้ราคาถูกลงเนื่องจากการใช้ขวดเก่ามาเติม ทำให้ต้นทุนลดลง สมมติผู้ขายซื้อขวดใหม่เอามาใส่ในราคาขวดละ 10-20 บาท เขาก็สามารถที่จะขายผลิตภัณฑ์ได้ในราคาที่ถูกลง อีกทั้งยังช่วยลดมลภาวะมลพิษจากการที่ขยะล้นโลกได้อีกด้วย

สถานีมีหอย เป็น ร้านขายหอยประเภทต่างๆแต่มีจุดขายที่พนักงาน ผู้ชายที่เล่นกล้าม มาเต้นหรือ มาสร้างความบันเทิง  ให้กับ ลูกค้า จึงทำให้ เกิด การตลาดที่แปลกใหม่  ลูกค้าเกิดความสนใจเช่นลูกค้ามาถ่ายรูปด้วย แล้วโพสต์หรือแชร์ ลงไปใน Facebook จึงทำให้เกิดการติดตาม และลูกค้ารายใหม่ต้องการที่จะเข้ามาเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆของทางร้าน

Sprinkle ขายน้ำดื่ม แต่จุดขายอยู่ที่การสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์หรือขวด  “น้ำดื่มสปริงเคิล (SPRINKLE)” จึงพลิกโฉมตัวเองตลอดเวลา โดยปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมาสร้างสีสันให้กับตลาดมากถึง 30 กว่าสี โดยออกแบบมาให้แตกต่างทั้งรูปทรง  สีสัน

เค้กหมูทอดเบรกแตก เป็นการผุดไอเดียเก๋ นำหมูทอดชิ้นโตๆ หนักว่า 1 กิโลกรัม มาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำแล้วนำมาโปะลงบนข้าวเหนียวที่ปั้นไว้เป็นก้อนเค้ก ทำให้เกิดการแปลกใหม่ อีกทั้งยังใช้เป็นของขวัญในวันสำคัญๆต่างๆ เช่น วันเกิด วันครบรอบงานแต่ง  วันครอบครัว หรือซื้อนำไปเป็นของฝากได้อีกด้วย

ในยุคปัจจุบัน ถ้าเราเดินทาง BTS เดินทางตามถนนในเมืองใหญ่ๆ เราจะพบงานโฆษณาตามป้ายโฆษณาต่างๆทางวิทยุ ทางสื่อสมัยใหม่ มากกว่าถึง 4000 Brand ต่อวัน และถามว่าเราจะจำ Brand ได้มากน้อยขนาดไหน ฉะนั้นการสร้างความแตกต่างและการคิดต่างโดยการ คิดเพื่อนำหน้าคู่แข่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการสร้างแบรนด์ในยุคปัจจุบัน
เพราะในอดีต นักการตลาดหรือเจ้าของกิจการ มักจะเลียนแบบ กล่าวคือเห็นโฆษณาชิ้นหนึ่งหรือเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ชิ้นหนึ่งของคู่แข่งออกมา  ก็จะรีบบอกให้ฝ่ายผลิตโฆษณาหรือฝ่ายผลิตผลิตภัณฑ์ของตนเองทำตามคู่แข่ง ถ้าท่านทำแบบนี้ แบบในอดีต ท่านแพ้คู่แข่งตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้วครับ ท่านไม่มีโอกาสได้เป็นผู้นำในการแข่งขันทางด้านการตลาดอย่างแน่นอน

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

บรรยาย อบรม จังหวัดพะเยา

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายให้ความรู้ทางกฏหมาย (โครงการโรงเรียนในโครงการยุติธรรมอุปถัมภ์)ให้แก่น้องนักเรียนโรงเรียนพะเยาประสาทวิทย์ จังหวัดพะเยา เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2562 





วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2562

บรรยาย ณ โรงเรียน ราชคึกฤห์วิทยา จังหวัดพะเยา


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยาย กฏหมาย  ณ วัดราชคึกฤห์วิทยา จังหวัดพะเยา กับโครงการโรงเรียนในโครงการยุติธรรมอุปถัมภ์ 








วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2562

ูธุรกิจภาคเหนือ บทความทางด้านการตลาด

บทความของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ในหนังสือพิมพ์ ธุรกิจภาคเหนือ เรื่อง แง่คิด ข้อคิด ที่สำคัญทางด้านการตลาด ประจำวันที่ 16-31 ธันวาคม 2561