วันอังคารที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560

นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด

นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
          ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยของเรา มีกระแสในเรื่องของนวัตกรรมและการสร้างสรรค์  ซึ่งจะเห็นได้ว่า รัฐบาล องค์กร บริษัท ห้างร้าน ได้สนับสนุนและจัดให้มีการอบรมเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอย่างมากมาย เช่น
            มีการเปิดอบรมหลักสูตรการพัฒนานวัตกรรมและพัฒนาองค์กร , หลักสูตรการสร้างสรรค์นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้สู่ครูมืออาชีพ , หลักสูตรการสร้างสรรค์และนวัตกรรมอุตสาหกรรมแฟชั่น,
หลักสูตรการสร้างนวัตกรรมใหม่และการสร้างสรรค์ โดยอาศัยการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น
            สำหรับบทความนี้  จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของ “นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การคิดสร้างสรรค์สิ่ง แปลกๆ ใหม่ๆ (Creative thinking) เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่หรือสิ่งที่แปลก ที่มีความแตกต่างไปจากของเดิมและสามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม 
 ดังนั้นองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์  คือ  ความคิดนั้นต้องเป็นสิ่งแปลก ใหม่ (New, Original) สามารถนำเอาไปใช้การได้ (Workable) และมีความเหมาะสม (Appropriate)
นวัตกรรม หมายถึง  สิ่งที่มีความแปลกใหม่  ซึ่งเกิดจากการใช้ความรู้ ความสามารถ ใช้ความคิดในเชิงสร้างสรรค์  สิ่งแปลกใหม่ในที่นี้อาจจะอยู่ในรูปต่างๆ เช่น  ของสินค้า ของผลิตภัณฑ์  แนวคิด การโฆษณา การสื่อสาร  การจัดสถานที่ รวมไปถึงกระบวนการที่สามารถนำไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนางานทางด้านการตลาด
ซึ่งมีเทคนิคในการทำแบบง่ายๆหรือเข้าใจให้ง่ายๆ ก็คือ การนำเอาสิ่ง 2 สิ่งขึ้นไปมารวมกัน ก็จะเกิดสิ่งที่มีความแปลกใหม่ขึ้นมา เช่น
-         การนำเอาสิ่ง 2 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง  ยาสีฟันรวมตุ๊กตา(หลอดยาสีฟันแต่ตัวหลอดกับหัวหลอดยาสีฟันเป็นตัวตุ๊กตาที่มีความแปลกๆหรือตุ๊กตาที่อยู่ในกระแสความดังแต่ควรระวังเรื่องลิขสิทธิ์)  
-         การนำเอาสิ่ง 3 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง (ธนาคาร+ร้านกาแฟ+ร้านอินเตอร์)
-         การนำเอาสิ่ง 4 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง ปั๊ม ปตท.(ปั๊มน้ำมัน +คาเฟ่ อเมซอน+7-11+เชสเตอร์กริลล์)
-         หรือการนำเอาสิ่ง หลาย สิ่งมารวมกัน ตัวอย่างเช่น  (มีด+ไขควง+กล้องขยาย+ช้อน+ส้อม+กรรไกร+ไม้จิ้มฟัน+ปากกา+ที่แคะขี้หู+เลื่อยขนาดเล็ก+เข็มทิศ+กรรไกรตัดเล็บ+คีม) สิ่งเหล่านี้สามารถพับออกมาใช้งานได้และสามารถพับเก็บได้ในชิ้นเดียวกัน
ดังนั้น ใครที่เปิดร้านอาหาร  ร้านกาแฟ หรือร้านอะไรก็ตาม เราสามารถนำเอานวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด โดยการนำเอาสิ่ง 2 สิ่งขึ้นไปมาขายพร้อมๆกันได้
เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ หลายๆแห่ง มีนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาดโดยนำเอาอาหาร หรือ กาแฟ มาทำนวัตกรรมให้มีหลายรสชาติ แก้วรูปทรงต่างๆ ที่มีความน่าสนใจ อีกทั้งยังมีนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาดในส่วนของคนขายอีกด้วย กล่าวคือ คนขายอาจจะแต่งตัวโป๊  คนขายอาจจะแต่งตัวแปลกๆ  คนขายหล่อ คนขายสวย เป็นต้น( สร้างสรรค์ด้านอาหารหรือกาแฟ + สร้างสรรค์ด้านคนขาย)
การวิจัยกับนวัตกรรม การวิจัยมีความสำคัญมากต่อการสร้างสรรค์และก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ซึ่งการวิจัยกับนวัตกรรม จะมีความแตกต่างกัน คือ การวิจัย เรามักจะเสียเงินหรือใช้เงินเพื่อสร้างความรู้หรือได้รับความรู้ใหม่ๆ แต่ นวัตกรรม เป็นการเปลี่ยนความรู้ให้เป็นเงินทอง
ตัวอย่าง เช่น
-         ระบบเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อและการสกัดสารคอลลาเจนจากเป๋าฮื้อ ถ้าเราเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อ ขาย   เราอาจจะขายได้ กิโลกรัมละ 1,000 บาท แต่ถ้าเรานำเอาการวิจัยมาสกัดเป็นสารคอลลาเจน เราก็จะขายได้ถึง 5,000 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว
-         นมยี่ห้อBedtime milk นมที่มีสารเมลาโทนินในธรรมชาติสูง ก็อาศัยงานวิจัยซึ่งเป็นของบริษัทแดรี่โฮมร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โดยการสนับสนุนของกระทรวงวิทยาศาสตร์  ก็ได้อาศัยงานวิจัยทำให้ผู้บริโภคทานนมแล้วนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวสินค้าและราคา
-         ข้าวเจ้าสามารถขายได้กิโลกรัมละ 30 บาท แต่เราสามารถสร้างนวัตกรรมโดยนำเอาผลการวิจัยมาใช้โดยการแปรรูปเป็น แป้งเด็กจากแป้งข้าวเจ้า หรือการเพิ่มปริมาตรในเม็ดยา ก็จะขายได้กิโลกรัมละ 400 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว หรือมาทำเป็นแป้งพัฟจากแป้งข้าวเจ้าก็จะได้กิโลกรัมละ 100,000บาท

โดยสรุป นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด มีความสำคัญมากต่อการช่วยเพิ่ม
มูลค่าเพิ่มให้กับตัวของสินค้าและมูลค่าเพิ่มให้กับราคาของสินค้า สมัยอดีต ประเทศไทยเรามีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เช่น มีแร่ธาตุ  ยางพารา  ข้าว ป่าไม้ แต่ในยุคปัจจุบัน ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ก็เหลือน้อยลง อีกทั้ง สินค้าที่ส่งออกเหล่านี้  ประเทศต่างๆ ก็ส่งสินค้าแบบเดียวกับเรา ซึ่งมีความเหมือนกัน
            สิ่งที่จะช่วยให้ราคาดีขึ้น มีกำไรสูงขึ้น และสามารถแข่งขันกันได้ ก็คือ การใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ๆ ทางด้านการตลาด หากว่าเราสามารถสร้างสรรค์และสร้างนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆได้ เราก็จะได้เปรียบทางการตลาดเหนือคู่แข่งขัน



           
 

​เทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษ

เทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
            ปัจจุบัน ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก ใครที่เก่งภาษาอังกฤษย่อมสร้างโอกาสและมักจะได้เปรียบคนอื่นๆ ไม่จะเป็นเรื่องของหน้าที่การงาน  การติดต่อสื่อสาร โอกาสในการสอบชิงทุนการศึกษาเพื่อไปต่างประเทศหรือการสอบไปดูงาน ต่างประเทศ หรือทำวิจัย  ทดลอง ค้นคว้า ในต่างประเทศ ซึ่งจะต้องใช้ภาษาอังกฤษในสอบแข่งขัน
            ยิ่งปัจจุบันประเทศไทย ได้เข้าสู่  AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ. ได้แก่ ไทย พม่า ลาว เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา บรูไน. ซึ่งมีข้อตกลงกันว่าให้ใช้ภาษาอาเซียนในการติดต่อสื่อสารกัน ซึ่งภาษาอาเซียนก็คือภาษาอังกฤษนั่นเอง
            สำหรับบทความนี้ กระผมมีเทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษให้ได้ผล มาฝากกัน คือทำอย่างไรถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้ ทั้งนี้จะสังเกตดูว่า ประเทศไทยของเรา เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่อนุบาลจนถึงเรียนในมหาวิทยาลัย แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษให้ได้ผลมีดังนี้
1.    ฟัง ฟัง ฟัง คือ ฟังภาษาอังกฤษให้มากๆ   ฟังทุกๆวัน  ฟังในทุกที่ที่โอกาสอาจจะฟังครั้งละ  5 นาที 10 นาที 15 นาที  ฟังในทุกสถานที่ เช่น เวลาอาบน้ำ ก็เปิดภาษาอังกฤษฟัง  เวลาเดินออกกำลังกายก็ใช้หูฟัง ฟังภาษาอังกฤษไปด้วย ถ้าทำได้เช่นนี้ เราจะสามารถฟังภาษาอังกฤษสะสมได้วันละอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงต่อวัน ทีเดียว
2.    ฟังซ้ำไป ซ้ำมา ให้เกิดการจดจำและเกิดทักษะในการเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้น  เช่นเราฟังนิทานภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ เราฟังครั้งแรกเราอาจจะไม่เข้าใจ 100 % เราอาจจะเข้าใจเพียง 30%  แต่ถ้าเราฟังครั้งที่ 2 เราอาจจะจำเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น และความเข้าใจก็จะเพิ่มขึ้นจาก 30%เป็น 35% และถ้าเราฟังครั้งที่ 3,4,5,6,7,8,9,10…………เ ราก็จะยิ่งเข้าใจเรื่องราวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆจนถึง 100 %
3.    ฟังเรื่องที่ง่ายๆไปหาเรื่องที่ยากๆ เช่น ฟังนิทานสำหรับเด็กก่อน เพราะใช้คำศัพท์ที่ง่าย ถ้าเราเริ่มต้นจากการฟังข่าวภาษาอังกฤษซึ่งมีศัพท์ที่ยากหรือมีศัพท์เฉพาะเยอะ เราก็อาจจะเรียนรู้ได้ช้าลง เหมือนกับการยกน้ำหนัก เราควรที่จะเริ่มจากน้ำหนักที่น้อยก่อนแล้วเพิ่มจำนวนน้ำหนักขึ้นไปทีละนิด  ถ้าเราเริ่มจากการยกน้ำหนักที่มีน้ำหนักมากเราก็จะยกมันไม่ไหว
4.    ฟังเรื่องราวที่สามารถนำเอาไปใช้ในการสนทนาภาษาอังกฤษได้จริงๆ ไม่ควรฟังหรืออ่านหนังสือ ตำรา เรียนซึ่งไม่สามารถช่วยทำให้เราสนทนาภาษาอังกฤษได้ดี เพราะในตำราเรียนเป็นรูปแบบที่ตายตัว แต่ในความจริงเราสามารถตอบได้หลายคำตอบ เช่น คนที่ 1 Good morning.How are you?  คนที่ 2 I am fine. Thank you and you. คนที่ 1 I am fine.ประโยคพวกนี้พวกเราคงฟังกันคุ้นหูเนื่องจากอยู่ในหนังสือเรียนภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่แต่ในความเป็นจริง เราสามารถตอบได้หลายคำตอบ เช่น  คนที่ 1 Good morning.How are you? คนที่ 2  I am good. I am sick. I am great.I am very well today. I am tired. I am hungry.I am not so good today.เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าท่านอยากพูดอังกฤษได้ ท่านจะต้องฟังภาษาอังกฤษให้มาก เพราะการพูดมาจาก
การฟัง เมื่อท่านฟังภาษาอังกฤษได้หรือรู้ว่าเขาพูดอะไร ท่านก็จะเข้าใจและท่านก็จะเริ่มขยับปากพูดได้ทีละนิดทีละหน่อย  เมื่อท่านฟังภาษาอังกฤษเข้าใจได้ระดับหนึ่ง ขั้นต่อไปกระผมแนะนำให้เริ่มอ่านภาษาอังกฤษ เพราะจะทำให้เรารู้ศัพท์เพิ่มมากขึ้นและทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น
การอ่านภาษาอังกฤษก็ใช้หลักการเดียวกันกับการพูดก็คือ อ่านทุกเวลาที่มีโอกาส อ่านซ้ำไป

ซ้ำมาหลายๆรอบ(ซึ่งสิ่งที่เราฟังและซึ่งที่เราอ่านควรเป็นเรื่องที่เราชอบ) อ่านจากหนังสือที่ง่ายๆไปหนังสือที่ยาก(เช่นอ่านนิทานสำหรับเด็กก่อน ไม่ควรอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษก่อนในระยะที่ฝึกฝนใหม่ๆ) และไม่ควรอ่านหนังสือเรียน หนังสือตำราเรียนภาษาอังกฤษ(เพราะพวกเราอ่านมากแล้วในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยแต่ก็ลืมไปเกือบหมด) ควรอ่านหนังสือจำพวกนิทานหรือหนังสือที่ช่วยทำให้การพูดภาษาอังกฤษได้ดี

พูดเหมือนผู้นำ

พูดเหมือนผู้นำ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
                บทความนี้ ผมอยากเขียนเกี่ยวกับการพูดของผู้นำระดับโลก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่สาธารณะชนหรือการพูดต่อหน้าที่ชุมชน ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้นำมักจะต้องใช้การพูดเพื่อจูงใจให้คนจำนวนมากคล้อยตาม
            เช่น JFK หรือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี  ,  อับราฮัม ลินคอล์น , บารัก โอบามา  ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา หรือ Tony Blair (โทนี่ แบลร์) อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ หรือ -  อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์  อัจฉริยะบุคคลระดับโลก
            หากเรานำเอาคำพูดของบุคคลเหล่านี้มาวิเคราะห์ดูเราจะพบว่า พวกเขามีเทคนิคในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนและใช้เทคนิคต่างๆดังนี้
1.     มี 3 คำมหัศจรรย์ หรือ มี 3 ประโยคมหัศจรรย์ เช่น
-          อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐได้กล่าวในการไว้อาลัยแก่ผู้สูญเสียชีวิตในสงครามกลางเมือง ว่า “รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ” หรือ “ คุณอาจจะหลอกคนทุกคนได้ในบางเวลา คุณอาจจะหลอกคนบางคนได้ตลอดเวลา แต่คุณไม่สามารถหลอกคนทุกคนตลอดเวลาได้”
-         อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์  อัจฉริยะคนหนึ่งของโลก Learn from yesterday, live for today, hope for tomorrow.   “เรียนรู้จากวันวาน ใช้ชีวิตอยู่ในวันนี้ มีความหวังกับวันพรุ่งนี้
2.    มีการสอดใส่อารมณ์ต่างๆลงไปในน้ำเสียง เราจะเห็นว่า สุนทรพจน์ของผู้นำระดับโลกมีชีวิตชีวา เพราะเขาสอดใส่อารมณ์ ความรู้สึก ลงไปในน้ำเสียง จึงทำให้ผู้ฟังเกิดความกระตือรือร้น อยากฟัง อีกทั้งมีความซาบซึ้งกินใจ ในเวลาฟังอีกด้วย
3.    มีการใช้ วรรคทอง ซึ่งการใช้วรรคทองทำให้ผู้ฟังเกิดการจดจำ
-         JFK หรือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี  กล่าววรรคทองในวันรับตำแหน่งประธานาธิบดีว่า “ โปรดอย่าถามว่าประเทศชาติของท่านจะทำอะไรให้กับท่านได้บ้าง แต่จงถามว่า ท่านจะทำอะไรให้แก่ประเทศชาติของท่าน ”
-         นางอินทิรา คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของอินเดีย ถ้าท่านมีเงินหนึ่งรูปี และฉันมีเงินหนึ่งรูปี แล้วนำเงินนั้นมาแลกกัน ก็จะไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าคุณมีความเห็นหนึ่งความคิดเห็น ฉันมีหนึ่งความคิดเห็นและนำมาแลกกัน เราจะได้ความคิดเห็นเพิ่มเป็นสองความคิดเห็น
4.มีการใช้คำอุปมาอุปไมย  หรือคำเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นคำที่สั้น   กะทัดรัด  ซึ่งนิยมพูดกันในชีวิตประจำวัน  อาจจะเป็นคำพูดในเชิงต่อว่าหรือเปรียบเปรย (ทั้งในทางดีและทางร้ายก็ได้)  โดยผู้นำจะพูดโดยยกเอาเหตุการณ์หรือสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นมาเทียบเคียง เพื่อให้ผู้ฟังเห็นภาพไปตามนั้น  มักจะมีคำเชื่อมว่า  “ เป็น , เหมือน , เท่า,  ราวกับ ” เป็นคำที่ใช้เชื่อมประโยค
5.มีการยกตัวอย่าง ผู้นำที่พูดเก่งมักจะใช้ตัวอย่างประกอบเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจได้ง่าย ซึ่งตัวอย่างนั้นจะต้องสอดคล้องกับเรื่องที่พูด อีกทั้งเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ  ผู้นำหลายคนมักใช้ตัวอย่างของตนเองหรือประสบการณ์ของตนเองเป็นตัวอย่าง เช่น ตนพบกับความยากลำบากมากก่อน ตนจึงเข้าใจและเห็นใจ บุคคลที่ยากลำบาก หรือ ตนได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาและเกิดการสูญเสียเพื่อนฝูง ญาตพี่น้อง ตนจึงเข้าใจเรื่องของการสูญเสียและการต่อสู้ทางการเมืองเป็นอย่างดี เป็นต้น

ดังนั้น  ผู้ที่เป็นผู้นำ หรือ ผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำ ควรนำเอาเทคนิคทั้ง 5 ข้อข้างต้น ไปใช้หรือไปประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการพูดของท่านให้เหมือนกับผู้นำ เมื่อท่านพัฒนาการพูดโดยใช้เทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้โดยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง กระผมเชื่อว่า การพูดของท่านจะเหมือนกับผู้นำระดับโลก และท่านจะเป็นบุคคลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการพูดแบบผู้นำ

บทความ ทำไมถึงต้องอ่านหนังสือ

ทำไมถึงต้องอ่านหนังสือ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
          คนส่วนใหญ่ต้องการประสบความสำเร็จ คนส่วนใหญ่ต้องการความร่ำรวย คนส่วนใหญ่ต้องการชีวิตที่ดีขึ้น คนส่วนใหญ่ต้องการสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง และคนส่วนใหญ่ต้องการความสุข
            ถามว่าทั้งหมดนี้ ถ้าเราต้องการมันจริงๆ  เราสามารถหาได้จากที่ใด คำตอบก็คือ เราสามารถหาได้จากการอ่านหนังสือครับ
            ถ้าเราอยากเริ่มต้นทำธุรกิจแบบ บิล เกตส์  ในการทำบริษัทไมโครซอฟท์  เราสามารถทราบประสบการณ์ต่างๆที่เขา ทำผิดพลาดและสิ่งที่เขาทำแล้วประสบความสำเร็จได้จากหนังสือที่เขาเขียน
            ถ้าเราอยากเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ อย่าง วอเรน บัฟเฟต นักลงทุนหุ้นระดับโลก เราสามารถเล่นหุ้นโดยการเลียนแบบได้จากการอ่านหนังสือที่เขาเขียน และเราสามารถรู้เทคนิคต่างๆที่เขาใช้ในการทำกำไรจากตลาดหลักทรัพย์
            ถ้าเราอยากเป็นนักการเมืองและนักต่อสู้ทางการเมือง แบบ มหาตมา คานธี ที่ต่อสู้แบบอหิงสา จนประสบความสำเร็จและได้รับชัยชนะจนประเทศอินเดียได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษ เราสามารถอ่านหนังสือของเขาหรือหนังสือที่มีคนเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวการต่อสู้ของเขาได้
            ถ้าเราอยากมีความสุข ท่านไดลามะ(เป็นตำแหน่งประมุขหัวหน้าคณะสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายมหายานแบบทิเบตเกลุก เป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณสูงสุดของชาวทิเบต) สามารถสอนท่านได้โดยผ่านตัวหนังสือต่างๆที่เขาเขียน
          ถ้าเราอยากเป็นดารา นักแสดง  นักร้อง อย่างฮอลลีวูด  เราสามารถอ่านหนังสือของ ดารา นักแสดง นักร้อง ที่เขาเขียนถึงชีวประวัติของเขาได้ ซึ่งจะทำให้เราเกิดพลัง ในการต่อสู้และเกิดความฝัน ความทะเยอทะยานในการพัฒนาตนเอง
            ถ้าเราอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ เราสามารถหาอ่านจากหนังสือต่างๆที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพได้ หรือถ้าเราเป็นโรคใดโรคหนึ่ง เราก็สามารถอ่านหนังสือเกี่ยวกับโรคที่เราเป็นได้เพื่อที่จะได้ป้องกันและดูแลสุขภาพของเราให้ดีขึ้น
            ดังนั้น เราจะเห็นว่า หนังสือมีความสำคัญมากต่อบุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จ เมื่อเราต้องการร่ำรวย จงอ่านหนังสือของนักเขียนที่เขาร่ำรวยมาจากการต่อสู้และการทำงาน  แน่นอนครับ นักเขียนเหล่านี้ ไม่สามารถมาสอนท่านได้ด้วยตนเอง หรือ ท่านไม่มีปัญหาจ้างเขามาสอนท่านให้รู้เทคนิคต่างๆ หรือไอเดียต่างๆได้ แต่ ทุกอย่างที่ท่านอยากรู้อยู่ในหนังสือครับ เพียงแต่ท่านลงทุนซื้อหนังสือหรือยืมหนังสือที่ห้องสมุด แล้วก็เริ่มต้นอ่านมัน  อ่านมัน อ่านมัน อ่านให้มากๆ
          สรุป ถ้าท่านต้องการความร่ำรวย จงอ่านหนังสือ  ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต จงอ่านหนังสือ  ถ้าท่านต้องการมีความสุข  จงอ่านหนังสือ ถ้าท่านต้องการมีเป้าหมายมีความฝันและต้องการรู้จักตนเองมากขึ้น จงอ่านหนังสือ    จงอ่านหนังสือให้มากๆ แล้วท่านจะได้สิ่งที่ท่านต้องการ

             

วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2560

บทความ การสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ทางด้านการตลาด

การสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ทางด้านการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
          กลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางการตลาด มีด้วยกันหลายวิธีเช่น กลยุทธ์ด้านราคาหรือต้นทุน , กลยุทธ์ทางด้านความรวดเร็ว และกลยุทธ์ที่สำคัญและเป็นที่นิยมในโลกยุคนี้ก็คือ การสร้างความแตกต่างหรือการสร้างสรรค์และนวัตกรรม ในบทความนี้ เราจึงมาพูดเกี่ยวกับเรื่อง การสร้างสรรค์และนวัตกรรมทางด้านการตลาดกัน
            อันดับแรกเรามาทราบความหมายกันก่อน
            ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ (Creative thinking) เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมและใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม  องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์        ได้แก่ ความคิดนั้นต้องเป็นสิ่งใหม่ (New, Original) ใช้การได้ (Workable) และมีความเหมาะสม (Appropriate)
            ปัจจุบันเรามีอาชีพวิทยากร ถ้าผมแก้ผ้าไปบรรยายหรือสอน พวกเราคิดว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์หรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่ ถึงแม้จะเป็นสิ่งใหม่คือไม่มีใครทำมาก่อน แต่ไม่มีความเหมาะสมและใช้การได้
            ส่วนความหมายของคำว่า “นวัตกรรม หมายถึง  สิ่งใหม่ๆที่ได้จากองค์ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์  การทดลอง โดยออกมาในรูปของผลิตภัณฑ์ แนวคิด หรือกระบวนการที่สามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้ อีกทั้งยังสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นเงินเป็นทองได้อีกด้วย
            ซึ่งการสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบ่งออกเป็น 2 แบบ
          1.การสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบบเปลี่ยนโลก
2.การสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบบเปลี่ยนแปลงแบบไม่มาก
1.การสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบบเปลี่ยนโลก เช่น การสร้างสรรค์และนวัตกรรม รถยนต์คันแรกของโลกของเฮนรี่ ฟอร์ด ,
    สตีฟ จ็อบ กับสินค้าตระกูล I (ipad iphone ipod imac) , เครื่องบินลำแรกของโลก ของสองพี่น้องตระกูลไรค์ เป็นต้น
2.การสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบบเปลี่ยนแปลงแบบไม่มาก เช่น สินค้าที่พวกเราเห็นในยุคปัจจุบัน มีการพัฒนาสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์  สี  รสชาติ  รูปทรงให้มีความแตกต่างกันออกไป


ปัจจัยที่ทำให้เกิดการตลาดเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรม มีดังนี้
1.การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน  มีอยู่ 3 อย่าง คือ1.1.กลยุทธ์ผู้นำด้านต้นทุน(Cost Leadership)1.2.กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง(Differentiation) 1.3.กลยุทธ์สร้างความรวดเร็ว( speed)  กลยุทธ์สร้างความแตกต่างจึงเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์และนวัตกรรมนั้นเอง
2.การวิจัยทางการตลาด เราสามารถวิจัยการตลาดได้หลายอย่างเช่น 2.1. การวิจัยผู้บริโภค 2.2. การวิจัยผลิตภัณฑ์ 
   2.3. การวิจัยราคา 2.4. การวิจัยช่องทางการจำหน่าย  2.5. การวิจัยการส่งเสริมการตลาด 
3.พฤติกรรมผู้บริโภค เราสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคโดยใช้ทฤษกี 6W 1H  คือ Who? ใครเป็นลูกค้าเป้าหมาย
, What?        ผู้บริโภคซื้ออะไร ,  Why?       ทำไมผู้บริโภคจึงซื้อ ,  Who?  ใครมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อ,
When?         ผู้บริโภคซื้อเมื่อใด ,  Where?       ผู้บริโภคซื้อที่ไหน และ  How?      ผู้บริโภคซื้ออย่างไร
4.วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งประกอบไปด้วย ขั้นแนะนำ ขั้นเติบโต ขั้นเติบโตเต็มที่ และขั้นถดถอย
5.การเปลี่ยนแปลงของโลก มีความรวดเร็วมากกว่าในอดีตเนื่องจากเทคโนโลยีช่วยให้เกิดความรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะยุคนี้เรามีอินเตอร์เน็ตทำให้ทุกอย่างมีความรวดเร็วไม่ว่า เรื่องของข้อมูลข่าวสาร  เรื่องของการบริการโดยผ่านอินเตอร์เน็ต
            ปัจจัย 5 ข้อข้างต้น จึงก่อให้เกิดการตลาดเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรมขึ้น
การตลาดเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรม เราควรสร้างสรรค์และนวัตกรรม 4P หรือสร้างสรรค์ส่วนประสมทางการตลาด  (Marketing Mix  ) นั่นเองคือ  1.1. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Product   1.2. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Price  1.3. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม  Place  1.4. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Promotion
1.1. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Product  เราควรสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าให้มี คุณภาพและก่อให้เกิดความแตกต่าง ความแปลกใหม่ ไม่ว่าในเรื่องของ ความคงทน  สะอาด รสชาติต่างๆ  รูปร่างลักษณะแปลกใหม่ เช่น ทรงกลม ทรงกระบอก  ให้ใช้งานง่าย ทันสมัย พกพาสะดวก เป็นต้น
1.2. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Price การสร้างสรรค์และนวัตกรรมด้านราคา มีหลายรูปแบบเช่น
1.2.1.ตั้งราคาให้เท่ากันทุกชิ้น(ทั้งร้าน 10 บาททุกชิ้น  ทั้งร้าน 20 บาททุกชิ้น ทั้งราคา 90 บาททุกชิ้น)
1.2.2.ตั้งราคาด้วยเลข 9หรือลงท้ายด้วยเลข 9 เป็นการตั้งราคาตามจิตวิทยา เคยมีนักวิชาการชาวสหรัฐอเมริกาเคยทำการวิจัย โดยตั้งราคาสินค้าชนิดเดียวกันอย่างเดียวกัน แต่เอาไว้คนละร้าน  ร้านที่ 1 ตั้งราคาที่ 44 บาท  ร้านที่ 2 ตั้งราคาที่ 39 บาท ปรากฏว่า 39 บาทขายดีกว่า 44 (หลายคนคงบอกว่าก็แน่นอนเพราะมันถูกกว่ากัน) ต่อมานักวิชาการคนเดียวกันก็เลยตั้งราคาใหม่ให้ร้านที่ 1 ขายในราคา 33 บาท แต่ร้านที่ 2 ขายราคาเดิมคือ 39 บาท ปรากฏว่า ราคา 39 บาทก็ยังขายดีกว่า 33 บาท ดังนั้นการตั้งราคาด้วยเลข 9 หรือลงท้ายด้วย 9 มีผลอย่างมากในทางจิตวิทยา แต่นักวิชาการคนดังกล่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การตั้งราคาด้วยเลข 9 หรือลงท้ายด้วย 9 ไม่ควรตั้งเกินหรือมากกว่า 30% ของสินค้าทั้งหมดในร้าน เพราะจะทำให้ดูเหมือนว่าสินค้าไม่มีค่าหรือเป็นของที่ไม่มีคุณภาพเนื่องจากราคาถูก
1.2.3.ตั้งราคาแบบ  Pay-What-You Want เกิดขึ้นที่อเมริกา ตามร้านอาหารหลายแห่งและตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เป็นการใช้บริการก่อน ไม่มีกำหนดราคา ลูกค้าจะจ่ายก็ต่อเมื่อ ใช้บริการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าเห็นว่าดีหรือมีคุณภาพก็เอาเงินใส่ในกล่อง
1.2.4.ตั้งราคาแบบ pay it forward เกิดขึ้นที่อเมริกาเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จหรือใช้บริการเสร็จ ตอนคิดเงิน ร้านอาหารหรือผู้ประกอบการก็บอกว่า มีคนจ่ายแทนคุณแล้วก็คือคนที่กินก่อนหน้าคุณ แล้วคุณจะจ่ายให้คนต่อไปเท่าไร เป็นการจ่ายเงินให้คนต่อไปที่ใช้บริการต่อจากเรา
1.3. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม  Place(ช่องทางการจัดจำหน่าย) คือการเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย  ซึ่งมีกิจกรรมได้แก่  การขนส่ง  การคลังสินค้า  / การบริหารสินค้าคงเหลือ การตัดสินใจเรื่องคนกลาง เป็นต้น
ในยุคปัจจุบันมีการสร้างสรรค์และนวัตกรรม Place หลายอย่าง เช่น การใช้รถยนต์เคลื่อนที่(รถยนต์อาหารหรือรถยนต์กาแฟเคลื่อนที่), E-commerce ฯลฯ
          1.4.
การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Promotion หมายถึง การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้รับข่าวสารซึ่งเป็นผู้บริโภค ให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือสินค้า รวมไปถึงข้อมูลกิจการของผู้จำหน่าย เช่น E-Mail Marketing ,  Online (Advertising and Search agent) , Billboard ฯลฯ
การสร้างสรรค์และนวัตกรรมกับการสร้างแบรนด์  การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆมีผลมากต่อการสร้างแบรนด์ เพราะการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆออกมาจะทำให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ความทันสมัย ความก้าวหน้า ของแบรนด์อยู่ตลอดเวลา เช่น แบรนด์ แอปเปิลคอมพิวเตอร์ ของสตีฟ จอบส์ ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ทันสมัยออกมาตลอดเวลา จึงทำให้แบรนด์แอปเปิลคอมพิวเตอร์มีความแข็งแกร่งและมีความทันสมัย  อีกทั้งยังได้สร้างความมั่งคั่งในด้านเงินทองอย่างมากมายมหาศาล
            การสร้างสรรค์และนวัตกรรมกับสารสนเทศ เทคโนโลยี ยุคปัจจุบันเราต้องยอมรับกันว่า สารสนเทศมีความสำคัญและมีความจำเป็นในการสร้างนวัตกรรม รวมทั้งมีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์ธุรกิจให้เติบโต เราจะเห็นได้ว่าบริษัทระดับโลกที่มีความยิ่งใหญ่มักใช้สารสนเทศ ข้อมูล ข่าวสาร เทคโนโลยีในการขาย เช่น บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับโซเซียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น  youtube  , Facebook ,  google ,   Twitter , Line , Instagram ฯลฯ บริษัทเหล่านี้เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ปี แต่ประเทศไทยเรายังทำเรื่องเหล่านี้น้อยมาก
            ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจของไทยเรามีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนานวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมเกี่ยวกับสินค้า นวัตกรรมเกี่ยวกับกระบวนการผลิต  หรือนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการบริการ เพราะในยุคปัจจุบัน ถ้าเราจะแข่งขันด้านราคา เราคงพ่ายแพ้ต่อการแข่งขัน โดยเฉพาะประเทศจีน สินค้า ผลิตภัณฑ์ของจีน มีราคาถูกมากๆ ถูกจนทำให้ผู้ประกอบธุรกิจหลายประเทศสู้ไม่ได้ ยิ่งในยุคของอินเตอร์เน็ต ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อสินค้าได้อย่างเสรีและได้ในราคาถูกยิ่งขึ้น เช่น เราสามารถสั่งซื้อสินค้าจากประเทศจีนได้โดยผ่านเว็ป aliexpress ซึ่งมีบริการส่งสินค้าถึงที่บ้านเลยทีเดียว

            โดยภาพรวมเราจะเห็นได้ว่าประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่ร่ำรวย ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ทำให้ประเทศอเมริการ่ำรวย แต่มีปัจจัยหนึ่งที่น่าคิดและพิจารณาก็คือ ประเทศอเมริกามี บุคคลสำคัญๆของโลกที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์หรือกล้าที่จะคิดนวัตกรรมใหม่ๆออกมา จึงทำให้ประเทศอเมริกาจดลิขสิทธิ์แล้วสามารถขายสินค้าไปได้ทั่วโลก เช่น 1.สตีฟ จอบส์ ได้ลิขสิทธิ์ในสินค้าแบรนด์แอปเปิลคอมพิวเตอร์เป็นชาวอเมริกา   2.บิล  เกตส์ บริษัทไมโครซอฟท์ เป็นชาวอเมริกา   3.ทอมัส แอลวา เอดิสัน  เป็นนักประดิษฐ์ของโลกและนักธุรกิจชาวอเมริกัน 4.พี่น้องตระกูลไรท์ ผู้สร้างเครื่องบินได้สำเร็จเป็นคนแรกเป็นชาวอเมริกา 5.เฮนรี ฟอร์ด ผู้ผลิตรถยนต์คันแรกก็เป็นชาวอเมริกา  และมีอีกเป็นจำนวนมากที่เป็นนักคิดนวัตกรรมชาวอเมริกา