วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่ใช่ ต่อให้เขามาหา มาตามตื้อ ตามจีบ พูดจาไพเราะ ยิ่งรู้สึก...รำคาญ แต่ถ้าเขาเป็นคนที่ใช่ ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องพยายาม พูดจาอย่างไร ก็น่าฟัง อย่าพยายามเป็นคนที่ใช่ เพราะคนที่ใช่ไม่ต้องพยายาม สุทธิชัย ปัญญโรจน์ อาจารย์โทนี่ www.drsuthichai.com

 

ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่ใช่ ต่อให้เขามาหา มาตามตื้อ ตามจีบ พูดจาไพเราะ ยิ่งรู้สึก...รำคาญ  แต่ถ้าเขาเป็นคนที่ใช่ ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องพยายาม พูดจาอย่างไร ก็น่าฟัง  อย่าพยายามเป็นคนที่ใช่  เพราะคนที่ใช่ไม่ต้องพยายาม สุทธิชัย ปัญญโรจน์ อาจารย์โทนี่ www.drsuthichai.com


วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ทำงานอย่างมีความสุขและสนุกกับการทำงาน

 


ทำงานอย่างไรให้มีความสุข
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com


  คนเราทุกคนเกิดมาแล้วควรทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น การทำงานคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราสามารถทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้ แต่ในการทำงานก็ทำให้คนส่วนใหญ่เกิดความทุกข์ได้เช่นกัน ในบทความตอนนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่อง “ การทำงานอย่างไรให้มีความสุข ” ซึ่งท่านสามารถนำเอาหลักการบางอย่างไปใช้ได้ การทำงานอย่างไรให้มีความสุขมีดังนี้

  1.มีความรักในงานที่ทำ การมีความรัก ความชอบ ในงานที่ตนเองทำ เป็นหัวใจหลักของการมีความสุขในการทำงาน โทมัส เอดิสัน เป็นนักประดิษฐ์เอกของโลก ได้ประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ มามากมาย สิ่งประดิษฐ์บางชิ้นก็ยากเย็นแสนยาก แต่ท่านมีความรัก ความชอบในงานที่ทำท่านจึงมีความสนุกกับมัน อีกทั้งสามารถทำงานได้เป็นเวลานานๆ จิตใจก็คิดแต่เรื่องของการประดิษฐ์ตลอดเวลา ไม่ว่าตอนรับประทานอาหาร ตอนเข้าห้องน้ำ เมื่อมีความรัก ความชอบในงานที่ทำ ผลงานที่ยิ่งใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับคนผู้นั้นเสมอ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเราไม่มีความรัก ความชอบ ในงานที่ทำ งานนั้นๆ ก็จะเป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัสสำหรับเรา เราจะทำงานด้วยความเบื่อหน่าย ท้อแท้ ไม่มีความสุข อยากที่จะเปลี่ยนงาน

  2.มีเป้าหมายในการทำงาน หากท่านทำงานไปวันๆ ไม่มีเป้าหมาย ท่านจะทำงานอย่างขอไปที หรือไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ท่านควรเริ่มตั้งเป้าหมายในการทำงาน ว่าอีก 5 ปี ข้างหน้าท่านจะขึ้นตำแหน่งบริหาร หรือ ปีหน้าท่านจะสร้างยอดขายให้ได้ 1 ล้านบาทต่อปี ถ้าท่านมีเป้าหมายดังกล่าว ท่านก็จะมีความขยัน มีความกระตือรือร้น ท่านจะมีพลังในการหาวิธีเพื่อไปถึงเป้าหมาย

  3.มีมนุษยสัมพันธ์ในการทำงานร่วมกัน หลักในการทำงานร่วมกันย่อมเกิดปัญหาความไม่เข้าใจหรือความขัดแย้งขึ้นใน องค์การเสมอ ท่านต้องพยายามปรับตัว ท่านต้องรู้จักปล่อยวางในบางสถานการณ์ อีกทั้งท่านควรมีมนุษยสัมพันธ์ในที่ทำงาน คนที่มีมนุษยสัมพันธ์มักเป็นคนที่มีเพื่อนมาก มีคนคอยให้การช่วยเหลือ อีกทั้งจะมีความสุขในการทำงานในการดำเนินชีวิตมากกว่าคนที่ทำงานเข้ากับใคร ไม่ได้

  4.มีการบริหารเวลาที่ดี คนเรามีเวลาเท่ากัน 24 ชั่วโมง แต่ขึ้นอยู่กับว่าคนๆนั้น จะบริหารเวลา 24 ชั่วโมง อย่างไรให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นมากที่สุด หลักการบริหารเวลาที่ดี มีผู้รู้เคยแนะนำว่า ควรแบ่งเวลาออกเป็น 4 ส่วน ใหญ่ๆ กล่าวคือ แบ่งเวลาให้แก่งาน แบ่งเวลาให้แก่สังคม แบ่งเวลาให้แก่ครอบครัว และแบ่งเวลาให้แก่สุขภาพของตนเอง

  สำหรับ เวลาที่ใช้ในการนอนหลับ เวลาที่ใช้ไปในการเดินทาง เวลาที่ใช้ไปในการรับประทานอาหาร เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจาก เราเสียเวลาดังกล่าวค่อนข้างมากสำหรับการทำสิ่งเหล่านี้ หากรู้จักใช้ประโยชน์จากเวลาที่เสียไปดังกล่าวก็จะทำให้เราสามารถสร้างผลงาน ขึ้นมาอย่างมากมาย เช่น ระหว่างขับรถอาจฟังเทปหรือvcd วิชาการ หรือ เราอาจจะนอนหลับให้น้อยลงเพื่อจะได้มีเวลาในการทำงานเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ศาสตร์ในการบริหารเวลาเป็นศิลปะ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

  5.มีความคิดเรื่องประโยชน์ที่ได้จากการทำงาน งานทุกงานมีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นทั้งสิ้น หากท่านคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ของแต่ตนเองเป็นหลัก เช่น เรื่องการขึ้นเงินเดือน เรื่องการขึ้นตำแหน่ง เรื่องโบนัส ฯลฯ การทำงานของท่านก็อาจเป็นทุกข์ เมื่อถึงเวลาพิจารณาท่านไม่ได้สิ่งดังกล่าว แต่หากท่านมองเห็นประโยชน์ที่ได้จากการทำงานที่ทำให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ ท่านจะมีพลังในการทำงานมากขึ้น เช่น ท่านเป็นครู เป็นอาจารย์ ท่านเกิดความภาคภูมิใจในการสอนในการผลิตนักเรียน หรือนักศึกษา นิสิต ที่มีคุณภาพ มีคุณธรรม ออกมารับใช้สังคม ท่านจะเกิดความสุขใจจากสิ่งที่ท่านได้ทำงาน

  และยังมีอีกหลายปัจจัยที่จะทำให้ท่านมีความสุขในที่ทำงาน เช่น การคิดบวก , การรู้จักคลายเครียดในการทำงาน เป็นต้น จะเห็นได้ว่า สิ่งที่กระผมกล่าวมาข้างต้น เป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับตนเองเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งการทำงานมีเรื่องทะเลาะกัน หรือ ไม่เข้าใจกัน แต่เรานำมาคิดมากจนเกินไปก็จะทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้นได้ สุขในการทำงานหรือทุกข์ในการทำงานขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นสำคัญว่าเราจะเลือก ความสุขหรือเลือกเอาความทุกข์ที่เกิดจากการทำงาน


ความเชื่อมั่นในตัวเอง

 


ทำได้ สำเร็จได้
                                             เชื่อมั่นในตน
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

  ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของบรรดาบุคคลที่ประสบ ความสำเร็จ ไม่มีบุคคลสำคัญคนใดเลยที่ไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว หากท่านปราศจากความเชื่อมั่นในตนเองแล้วท่านก็ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ที่ใหญ่โตได้ 
  ลักษณะของคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองจะมีพฤติกรรม กล่าวคือ กล้าแสดงออก กล้าพูด กล้าคิด กล้าที่จะลงมือทำ มีความกล้าเสี่ยง ชอบริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งแปลกๆใหม่ๆ มีความเป็นผู้นำ เป็นต้น
สำหรับการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง เราสามารถสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง ได้ดังนี้
  1.ต้องรู้จักพึ่งตนเอง การพึ่งพาตนเอง การใช้ความสามารถของตนเองให้มากที่สุด จะทำให้เราสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างมากมาย คนที่ขาดการพึ่งพาตนเอง ได้แต่ขอความพึ่งพาจากผู้อื่น จะทำให้เกิดความอ่อนแอ อีกทั้งเป็นสิ่งที่ทำลายอนาคตของตนเอง
  2.ต้องรู้จักนั่งแถวหน้า ในงานอบรม ในงานสัมมนา ในงานประชุมต่างๆ เราจะเห็นได้ว่าคนที่เป็นผู้นำหรือคนที่มีความมั่นใจในตนเองจะเป็นคนนั่งแถว หน้า แต่ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่ขาดความมั่นใจจะรู้สึกมีความปลอดภัยโดยการนั่งแถวหลังๆ เพราะการนั่งแถวหน้า มักจะเป็นจุดเด่น เป็นเป้าสายตา อีกทั้งยังมีโอกาสถูกวิทยากรถามอีกด้วย
  3.ต้องมีความกระตือรือร้น โดยฝึกเคลื่อนไหวร่างกายให้มีความกระฉับกระเฉง เดินให้เร็วกว่าปกติสัก 20-30 เปอร์เซ็นต์ ฝึกเดินยืดอก ยืดไหล่ หน้าเชิด อย่างคนที่มีความมั่นใจในตนเอง ถ้าท่านผู้อ่านลองไปสังเกตดู ในการเดินแต่ละรูปแบบ อารมณ์ของคนเราจะเปลี่ยนไป การเดินเร็วกว่าปกติจะทำให้ท่านมีอารมณ์ที่สดชื่น มีความมั่นใจในตนเอง แต่ตรงกันข้ามหากท่านเดินช้ากว่าปกติ อารมณ์ของท่านก็จะมีความรู้สึกที่ห่อเหี่ยว เฉื่อยชา 
  4.ต้องฝึกการพูดต่อหน้าที่ชุมชนและฝึกพูดแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม การฝึกพูดต่อหน้าที่ชุมชนและการฝึกแสดงความคิดเห็น จะทำให้เราเกิดความมั่นใจในตนเอง คนหลายคนมีศักยภาพ มีความสามารถ มีความคิดที่ดีเฉียบแหลม แต่ไม่กล้ายืนพูดต่อหน้าที่ชุมชนหรือแสดงความคิดเห็น ฉะนั้นหากท่านต้องการสร้างความมั่นใจในตนเอง ท่านต้องกล้าที่จะยืนพูดหรือกล้าแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะชน เมื่อท่านพูดบ่อยๆ ท่านก็จะมีความมั่นใจในตนเองมากยิ่งขึ้น
  5. ต้องฝึกพูดบวกกับตัวเองบ่อยๆ ว่า “ฉันทำได้” “ ฉันสู้ตาย” ไม่ควรพูดกับตัวเองในทางลบ “ ฉันทำไม่ได้แน่” “ เรื่องนี้ยากเกินไป” “ไม่เอาแล้วไม่สู้แล้ว” การฝึกพูดบวกกับตัวเองบ่อยๆ จะช่วยให้ท่านเกิดความมั่นใจในตนเองยิ่งขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อท่านพูดลบกับตัวเองบ่อยๆ ความมั่นใจในตนเองของท่านก็จะลดน้อยลง
  6. ต้องฝึกสบสายตา คนที่มีความมั่นใจในตนเอง เวลาพูดเวลาสนทนากันเขามักจะกล้ามองตาผู้สนทนา แต่บุคคลที่ขาดความมั่นใจในตนเอง มักจะเป็นคนที่ลบสายตาในเวลาที่สนทนากัน การลบสายตามักจะทำให้ผู้สนทนาตีความหมายไปในทิศทางต่างๆ เช่น ผู้ลบสายตาเขากลัวอะไร , เขากำลังปิดบังอำพรางอะไรหรือไม่ , เขากำลังมีความลับอะไรบางอย่างหรือไม่ ฯลฯ
  7.ต้องฝึกมองโลกในแง่ดี ฝึกยิ้มให้กว้าง ฝึกอารมณ์ให้เบิกบานแจ่มใส จะช่วยสร้างกำลังใจของท่านให้ดีขึ้น และทำให้เกิดความมั่นใจในตนเอง การฝึกยิ้มให้กว้างจนเห็นฟันจะดีกว่าการยิ้มแบบปิดปากหรือยิ้มแบบครึ่งๆ กลางๆ จากการศึกษาและสำรวจ บุคคลที่ยิ้มกว้างหรือยิ้มแบบเปิดเผยจะทำให้ท่านชนะความกลัวและเกิดความมั่น ใจในตนเองขึ้น
  ทั้งหมดข้างต้นนี้ เป็นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ในการฝึกสร้างความมั่นใจให้แก่ตนเอง หากท่านลองนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ท่านก็จะเกิดความมั่นใจในตนเองมากขึ้น จงฝึกเพื่อพัฒนาตนเอง ปรับปรุงตนเอง ท่านก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวของท่าน


วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

คิดทำอย่างมหาเศรษฐีเงินล้าน

 


คิดทำอย่างเศรษฐี
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

  คนที่จะเป็นเศรษฐี มักมีบุคลิก ลักษณะ ทัศนคติ นิสัยใจคอ ส่วนใหญ่ที่คล้ายคลึงกัน เช่น หากผมชี้ไปยังกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งแล้ว ถามพวกเราว่าคนกลุ่มดังกล่าวใครเป็นคนมีฐานะดีร่ำรวย ผมเชื่อแน่ว่าหลายๆคนอาจชี้เหมือนกัน กล่าวคือ ดูจากบุคลิก ท่าทาง การพูดจา เรียกว่าคนๆนั้นเป็นคนมี “ ราศีจับ ” นั้นเอง
  ดังนั้น การจะเป็นเศรษฐีท่านจำเป็นจะต้องเรียนรู้และสังเกตว่า บรรดาคนมีฐานะดี ร่ำรวยและเป็นเศรษฐีเขาคิดกันอย่างไร ซึ่งอาจพูดรวมได้ว่าเศรษฐีส่วนใหญ่มีหลักการสำคัญที่เหมือนกันดังนี้
  1.มีความคิดว่าตนเองมีสิทธิเป็นเศรษฐีหรือร่ำรวยได้ วิธีการสร้างความคิด ความฝัน ที่ดีวิธีหนึ่งก็คือ หมั่นจินตนาการว่า ตนนอนหลับในบ้านหลังใหญ่ที่สวยหรู จินตนาการว่าตนขับรถคันใหญ่ราคาแพง มีคนใช้คอยปรนนิบัติรับใช้ ถ้าหากท่านจินตนาการบ่อยๆ ทุกๆวัน วันละหลายๆครั้งหลายๆนาที ก็จะทำให้จิตใต้สำนึกของท่านรับรู้ความรู้สึกนั้นมากขึ้น ถ้าจะให้ดีท่านควรตัดภาพรูปรถ รูปบ้านที่ตนเองต้องการ ติดไว้ในห้องทำงาน ห้องนอน แล้วมองมันทุกวัน หลักการนี้เป็นหลักการที่บริษัทฝึกอบรมเกี่ยวกับการขายใช้ในการอบรมนักขาย
  2.เขียนเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษร จงเขียนเป้าหมายที่ท่านต้องการเป็นโดยเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรโดยแบ่งเป็น เป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะกลางและเป้าหมายระยะยาว เพราะหากไม่มีเป้าหมายก็ไม่มีทิศทาง พวกเราคงเห็นเรือที่ลอยอยู่กลางทะเล เมื่อถูกคลื่นซัดไปทางใดมันก็จะเคลื่อนไปทางนั้น แต่หากเรากำหนดทิศทางหรือมีเป้าหมาย เรือลำนั้นถึงแม้จะเจอคลื่นลม ก็สามารถฝ่าฟันคลื่นลมไปยังฝั่งเป้าหมายได้ ฉะนั้นควรกำหนดเป้าหมายว่าปีหน้าเราจะสร้างรายได้เท่าไร แล้วจงเขียนมันขึ้นมา
  3.หาวิธีการ เมื่อมีจินตนาการ เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ควรหาวิธีการในการเดินทางไปสู่เป้าหมาย เช่น ปีหน้าเราตั้งเป้าหมายว่าเราจะมีรายได้ 1 ล้านบาท เราจะทำอย่างไร เช่น เราจะเขียนหนังสือขาย เราจะขายประกันชีวิต เราจะทำธุรกิจเครือข่าย ทำจะประกอบธุรกิจ ฯลฯ เพื่อที่จะหาเงินให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
  4.ลงมือทำทันที เมื่อมีจิตนาการ เมื่อมีเป้าหมาย เมื่อมีวิธีการแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ การลงมือทำทันที บางคนมีจินตนาการสูง บางคนมีเป้าหมายชัดเจน บางคนมีวิธีการที่สวยหรู แต่ขาดการลงมือทำทันที สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่บังเกิดผล จงเริ่มต้นลงมือทำ 
สำหรับแนวความคิด การกระทำ การดำเนินชีวิต คนที่ต้องการสร้างฐานะหรือเป็นเศรษฐีควรทำเป็นประจำก็คือ 
  - การพูดให้กำลังใจตนเองเป็นประจำ หากทำได้ควรทำทุกๆวัน ทุกๆตอนเช้า เช่นพูดชมเชยตนเอง พูดว่าฉัน
เป็น คนเก่งที่สุด พูดออกมาดังๆว่า ฉันเยี่ยมที่สุด เป็นต้น การพูดชมเชย การพูดให้กำลังใจตนเองบ่อยๆ และในยามเช้าๆ จะทำให้เราทำงานด้วยความเบิกบานและมีความสุขเนื่องจากอารมณ์ดีสดชื่นแจ่มใส
  - มองงานที่ทำให้มีความสนุก หากทำงานที่เราไม่ชอบ งานนั้นอาจสร้างความทุกข์ให้แก่เรา แต่หากเราได้
ทำ งานที่เราชอบ งานนั้นจะเป็นงานที่สร้างความสุข ความสนุกให้แก่ตัวเราเอง จงปรับเปลี่ยนแนวคิดในการทำงาน จงปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้รวดเร็วขึ้น เช่น หากเรากำลังติดแสตมป์บนซองจดหมายซึ่งมีจำนวนมากเป็นพันซอง เราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะติดให้รวดเร็วขึ้น เป็นต้น
  - จงทำงานให้เกินเงินเดือน การทำงานให้เกินเงินเดือน มักจะทำให้เราเกิดประสบการณ์ในการทำงาน การ
ทำ งานเกินเงินเดือน จะทำให้เราเรียนรู้ระบบการทำงานได้ดีขึ้น ทำให้เจ้าของกิจการชื่นชอบ และในอนาคตหากต้องการออกไปประกอบอาชีพเองหรือเป็นเจ้าของกิจการเองก็สามารถ นำประสบการณ์ไปใช้ได้ 
  - มีแนวคิดการใช้เงินหรือระบบทำงานแทน เช่น มีแนวคิดจะลงทุนในหุ้น ลงทุนในที่ดิน ลงทุนในระบบธุรกิจ
เครือ ข่าย เป็นต้น คนที่จะเป็นเศรษฐี ส่วนใหญ่มักมีแนวความคิดที่จะใช้เงินลงทุน กล่าวคือ ใช้เงินต่อเงิน หรือใช้เงินไปหาเงินให้มีเพิ่มมากขึ้น
  ฉะนั้น หากต้องการเป็นคนร่ำรวย มีฐานะดี เป็นเศรษฐี ท่านควรหาต้นแบบ ท่านควรศึกษา แนวคิดของบรรดาเศรษฐี ว่าเขาลงทุนอะไร เขามีวิธีการลงทุนอย่างไร ถึงได้เกิดความร่ำรวยขึ้น เมื่อศึกษาจากคนต้นแบบแล้วจงเริ่มลงมือทำตามบุคคลต้นแบบ ท่านก็จะเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่จะประสบความสำเร็จในการเป็นเศรษฐี


คุมโชคชะตา คว้าความสำเร็จ....จงเผชิญหน้ากับความตกต่ำ

 


คุมโชคชะตา คว้าความสำเร็จ
                                        จงเผชิญหน้ากับความตกต่ำ
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

  ความตกต่ำ เป็นสิ่งที่คนเราไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความตกต่ำในชีวิต ความตกต่ำของภาวะจิตใจ ความตกต่ำของสภาพร่างกาย แต่ในความจริงเราไม่สามารถเลี่ยงหนีกับความตกต่ำนั้นได้ ดังคำสอนทางพุทธศาสนาเรื่อง โลกธรรม 8 คือ ได้ลาภ , ได้ยศ , ได้รับสรรเสริญ ,ได้สุข , เสียลาภ , เสื่อมยศ ,ถูกนินทาและพบความทุกข์ สิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถึงแม้ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ทุกๆคนต้องประสบ แต่จะพบมากหรือน้อย ช้าหรือเร็ว เท่านั้นเอง
  การดำเนินชีวิตของคนเราหรือการทำงาน เราก็ต้องพบเจอกับความตกต่ำเช่นกัน แต่ทั้งนี้บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักจะทำความเข้าใจธรรมชาติของมันว่า ความตกต่ำเป็นสิ่งที่ไม่ถาวรเป็นสิ่งชั่วคราว ในความจริงแล้วช่วงชีวิตของคนเรามีขึ้น มีลง หากทำความเข้าใจธรรมชาติตรงนี้ได้ก็จะทำให้ความวิตกกังวลลดน้อยลง 
  สำหรับเทคนิคในการเผชิญหน้ากับความตกต่ำมีดังนี้
  1.สร้างแรงบันดาลใจหรือเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จมักมีเป้าหมายหรือแรงบันดาลใจในชีวิต การมีเป้าหมายและแรงบันดาลใจจะทำให้เรามีชีวิตที่ไม่จืดชืด แต่มีความกระตือรือร้น ความทะเยอทะยาน เมื่อตกอยู่ในสภาพตกต่ำก็ไม่ท้อถอยง่ายๆ 
  2.เรียนรู้นิสัยและปรับปรุงตัวเอง คนบางคนเมื่อพบกับความตกต่ำมักใช้เวลาในการปรับสภาพหรือทำใจนาน แต่คนบางคนเมื่อพบกับความตกต่ำก็ใช้เวลาสั้นๆหรือไม่นานนักในการทำใจ หากใครที่ปรับสภาพหรือทำใจนาน ก็มักจะตกอยู่ในสภาพตกต่ำนานและพบกับความทุกข์ ดังนั้นจงเรียนรู้และพัฒนาจิตใจให้เป็นคนเข้มแข็ง ทำใจให้ลุกขึ้นสู้กับสภาพตกต่ำก็จะทำให้ท่านเกิดภาวะตกต่ำที่ไม่รุนแรงและ ไม่กินเวลานาน
  3.ยอมรับความจริงและกล้าเผชิญหน้า คนที่ประสบความสำเร็จเขามักจะไม่โอดครวญ ถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น แต่เขาจะยอมรับความจริงและกล้าเผชิญหน้าอย่างท้าทาย เขาจะไม่ด่าดินฟ้าอากาศ เขาจะไม่ด่าทอเทพพระเจ้าองค์ใด แต่เขาจะเตรียมพร้อมที่จะรับมือ อีกทั้งยังมีความคิดในแง่บวกว่าอุปสรรคต่างๆ เป็นเครื่องทดสอบจิตใจ
  4.ขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ ในบางครั้งความตกต่ำเป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัส ในบางเรื่องเราก็ไม่เคยพบเจอ เราควรขอคำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์หรือบุคคลที่เคยเผชิญกับความตกต่ำมา ก่อน ว่าเขามีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างไร การขอคำแนะนำดังกล่าวจะทำให้เรา มีวิธีการในการแก้ไขปัญหามากขึ้น
  5.นึกถึงอดีตที่เราสามารถเอาชนะความตกต่ำได้ ในช่วงชีวิตของเราในอดีตมักมีบางช่วงที่มีความตกต่ำ แต่เราก็สามารถผ่านพ้นมาได้ การนึกถึงอดีตที่เราสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆมาได้จะทำให้เราเกิดกำลังใจ กำลังความคิด ในการแก้ไขปัญหา 
  6.รู้จักปล่อยวาง ทุกสรรพสิ่งในโลกเรานี้ มักมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป จิตใจหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเราก็เช่นกัน ก็มี เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ถ้าภาวะความตกต่ำ บางอย่างเราแก้ไขไม่ได้ก็คงต้องปล่อยให้มันดับไปเอง โดยการต้องรู้จักปล่อยวาง เมื่อวัน เวลา เปลี่ยนแปลงไป ทุกอย่างก็จะคลี่คลายไป
  7.มองคนที่เขาตกต่ำหรือลำบากกว่าเรา จะทำให้เราเกิดกำลังใจ ความมานะบากบั่นในการต่อสู้เหตุการณ์ หากเราสังเกตและศึกษาประวัติต่างๆ ของคนที่ประสบความสำเร็จ เขาเคยตกต่ำและลำบากกว่าเราแต่เขาก็สามารถผ่านพ้นมาได้ หรือหากเราดูข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ เราก็จะเห็นว่ามีคนในโลกนี้อีกมากมายที่ลำบากกว่าเราหรือตกต่ำกว่าเรา
  ดังนั้นการเผชิญหน้ากับความตกต่ำ จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถ ความอดทนและท้าทายจิตใจ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือหลีกหนีมันได้ ฉะนั้นจึงขอให้เราเผชิญหน้ากับมันโดยอาศัยเทคนิคดังกล่าวคือ การสร้างแรงบันดาลใจหรือเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต , เรียนรู้นิสัยและปรับปรุงตัวเอง , ยอมรับความจริงและกล้าเผชิญหน้า , ขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ , นึกถึงอดีตที่เราสามารถเอาชนะความตกต่ำได้ , รู้จักปล่อยวาง และมองคนที่เขาตกต่ำหรือลำบากกว่าเรา


วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พลังแห่งการให้

 


พลังแห่งการให้
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

มือของผู้ให้ย่อมอยู่เหนือมือของผู้รับ และเราจะเป็นสุขใจเมื่อเราได้เป็นผู้ให้
  พลังแห่งการให้ เป็นบุคลิกลักษณะหนึ่งของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เพราะคนที่ให้มักจะเป็นคนที่มีมากพอแล้ว เราถึงไม่แปลกใจว่าทำไม มหาเศรษฐีต่างๆ จึงตั้งมูลนิธิเพื่อบริจาค เงิน สิ่งของ อุปกรณ์ เครื่องมือ ฯลฯ แก่ผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า ดังเช่น บิล เกตส์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐอเมริกา ได้ตั้งมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ เพื่อช่วยเหลือด้านสุขอนามัย และด้านคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนในประเทศกำลังพัฒนา 
  พลังแห่งการให้ จะเป็นตัวช่วยให้คุณร่ำรวยยิ่งขึ้น ตัวอย่าง ธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์ “ เซเว่น อีเลฟเว่น ” ก่อกำเนิดมาจากร้านขายน้ำแข็งเล็กๆ ในเมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส ของสหรัฐอเมริกา เปิดบริการขายน้ำแข็งตั้งแต่ เจ็ดโมงเช้าถึงห้าทุ่ม วันละสิบหกชั่วโมง ในขณะนั้น แต่เนื่องจากเจ้าของกิจการ “ เซเว่น อีเลฟเว่น ” มีพลังแห่งการให้  กล่าวคืออยากให้บริการแก่ผู้คนโดยมีสินค้าที่หลากหลายจึงได้เพิ่มสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น นม ขนมปัง สบู่ ยาสีฟัน ปากกา ดินสอ สมุดฯลฯ ต่อมา ด้วยพลังแห่งการให้บริการ เจ้าของกิจการ “ เซเว่น อีเลฟเว่น ” ต้องการให้บริการแก่ชาวอเมริกามากขึ้น   จึงได้ขยายสาขาออกไปทั่วสหรัฐอเมริกา  ปัจจุบัน ด้วยพลังแห่งการให้บริการ “ เซเว่น อีเลฟเว่น ” ใช้ระบบโดยการเปิดร้านตลอด 24 ชั่วโมงและมีสาขาเกือบทั่วโลก
  พลังแห่งการให้ หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย ถามว่าแล้วเราจะให้อะไรแก่ผู้อื่นได้บ้าง ได้ครับ การเป็นผู้ให้ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่ท่านคิด เราสามารถ ให้โดยการลงแรง ให้โดยการช่วยคิด ให้ความรู้ทางปัญญาและให้สิ่งต่างๆ เช่น 
- การเข้าร่วมโครงการอาสาสมัครต่างๆ เพื่อบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ชุมชน
- การช่วยคนตาบอดหรือคนพิการ ข้ามถนน
- การให้หนังสือดีๆ สักเล่มหนึ่งหรือการให้กำลังใจ แก่คนที่ล้มเหลว เพื่อปลุกเร้าให้เขามีกำลังใจอีกครั้ง
- การช่วยเหลือ ทำความสะอาด แม่น้ำ ลำคลอง ถนน ที่สาธารณะต่างๆ
และมีอื่นๆ อีกมากมายที่คุณสามารถทำได้ เมื่อคุณได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น คุณจะมีความรู้สึกมีความสุข
ขึ้นมาทันที ดังนั้น หากว่าคุณอยากมีความสุข อยากที่จะประสบความสำเร็จ จงมีนิสัยเป็นผู้ให้หรือทำอะไรให้แก่โลกมากๆ แล้วสวรรค์ก็จะติดหนี้คุณ แต่ต้องเป็นการให้โดยน้ำใจที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน จงให้โดยไม่ต้องจดจำ 
  การให้เลือดโดยการบริจาค ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อท่านได้บริจาคเลือดแล้ว สิ่งที่ได้ตอบแทนมาก็คือ เรื่องของสุขภาพของท่านก็จะดีขึ้น เนื่องจากร่างกายได้สร้างเลือดใหม่ที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากกว่าเลือดเก่าที่บริจาคไป อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของไขกระดูก กุศลของการบริจาคเลือดที่ได้กลับมาอีกอย่างก็คือ หากว่ามีการตรวจพบความผิดปกติในเลือดของท่าน สภากาชาดจะแจ้งให้ท่านทราบโดยทันที 
  พลังแห่งการให้ เป็นพลังหนึ่งของจักรวาล มันมีกฏเกณฑ์และผลลัพธ์เสมอ เพียงแต่คุณเป็นผู้ให้คนอื่นมากๆ คุณก็จะได้สิ่งต่างๆ กลับคืนมาเช่นกัน แต่จะเร็วจะช้า เท่านั้นเอง เช่น อาจารย์หรือวิทยากร ที่ให้ความรู้สอนผู้อื่นมากๆ อาจารย์หรือวิทยากรผู้นั้นก็จะมีความรู้ในเรื่องที่สอนมากขึ้นด้วย ฉะนั้น จงแจกจ่ายความรู้ให้แก่ผู้อื่นแล้วความรู้นั้นก็จะกลับมาหาท่านมากยิ่งขึ้น
ความสุขที่ยิ่งใหญ่ คือ ความสุขที่เกิดจากที่เราได้เป็นผู้ให้


พลังแห่งชีวิต

 


พลังแห่งชีวิต

โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com



              บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักมีพลังต่างๆ มากมาย ซึ่งในที่นี้กระผมขอเรียกว่า พลังแห่งชีวิตพลังแห่งชีวิตมีด้วยกันหลายด้าน เช่น

- พลังแห่งความคิด คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักเป็นคนที่มีความคิดที่ดี คิดบวก คิดในเชิงสร้างสรรค์

แต่ ตรงกันข้ามบุคคลที่ล้มเหลว มักเป็นบุคคลที่คิดลบ เป็นบุคคลที่มองโลกในแง่ร้าย เมื่อมองโลกในแง่ร้าย บุคคลผู้นั้นก็มักจะไม่กล้าที่จะริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ฉะนั้น หากต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตจงคิดดี คิดบวก เมื่อเราเปลี่ยนความคิดชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนแปลง

- พลังแห่งอารมณ์ อารมณ์ของคนเราทำให้เรา มีพฤติกรรมต่างๆ คนที่มีอารมณ์โกรธ อารมณ์โมโห อารมณ์
ร้าย หน้าตามักไม่ค่อยสดชื่นแจ่มใส ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ แต่คนที่มีอารมณ์ดี อารมณ์สดชื่น มักเป็นคนที่หน้าตาแจ่มใส เมื่อมีอารมณ์ดี ความคิดก็จะออกมาดีด้วย ดังนั้น หากรู้ตัวว่ามีอารมณ์ ห่อเหี่ยว อารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้า วิตกกังวล ควรรีบเปลี่ยนความคิด

- พลังแห่งการพัฒนาตนเอง เป็นพลังของคนที่ประสบความสำเร็จใช้ในการแก้ไข เปลี่ยนแปลงตนเอง ไม่ว่าจะ
เป็น เรื่องของการศึกษาหาความรู้จากการอ่านมากๆ ฟังวิชาการมากๆ เข้าอบรมสัมมนามากๆ เข้าสังคมดีๆ เพื่อหาเครือข่าย การพัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่คนที่ต้องการประสบความสำเร็จขาดไม่ได้

- พลังแห่งการสร้างแรงบันดาลใจ บุคคลที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มักเกิดจากการหาต้นแบบหรือหาแรง
บันดาล ใจจากใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งบางคนอาจมีแรงบันดาลใจที่เกิดจากแม่ บางคนมีแรงบันดาลใจที่เกิดจากครู บางคนมีแรงบันดาลใจที่เกิดจากนักธุรกิจชื่อดัง เป็นต้น หรือ แรงบันดาลใจอาจเกิดจากความต้องการภายในของตนเองอย่างแท้จริง กล่าวคือ คนบางคนต้องการเป็นนักเทนนิสอันดับหนึ่งของโลก หรือ บางคนต้องการเป็นนักพูดอันดับหนึ่งของเมืองไทย เป็นต้น

- พลังของคำพูดและพลังของการเขียน เมื่อท่านต้องการประสบความสำเร็จ ท่านจำเป็นต้องเขียนเป้าหมายหรือ พูด บอกเป้าหมายที่ท่านต้องการสำเร็จในชีวิต แก่คนอื่นๆ เพื่อให้คนอื่นได้รับทราบถึงเป้าหมายของตนเอง พลังของคำพูดและพลังของการเขียนยังรวมไปถึงการต้องรู้จักพูดบวก การพูดบวก เช่น ฉันเป็นคนเชื่อมั่น ฉันทำได้ ฉันเก่งที่สุด ฉันเยี่ยมที่สุด ฉันมีสุขภาพแข็งแรง การพูดบวกจะเป็นการโปรแกรมสิ่งที่ดีๆ ฉะนั้นจงพูดบวก เขียนบวก แล้วจงอ่านประโยคนั้นๆ ด้วยการออกเสียงดังๆ เพื่อให้ข้อความและคำพูดเข้าไปในสมอง

- พลังแห่งแรงดึงดูด เป็นพลังของการดึงดูดสิ่งที่เหมือนกันเข้าหากัน และสิ่งที่ตรงข้ามกันออกจากกัน เช่นน้ำ
กับ น้ำมัน เข้ากันไม่ได้ฉันใด คนที่มีความแตกต่างกันก็มักจะไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้ ความคิดของเราก็เช่นกัน หากท่านคิดในสิ่งที่ดีๆ คิดบวก สิ่งที่ดีๆก็จะเกิดขึ้นกับท่าน แต่หากท่านคิดลบหรือคิดสิ่งที่ร้ายๆ สิ่งต่างๆที่ร้ายๆก็จะดึงดูดมาหาท่าน
แต่คนเราโดยมากมักคิดลบมากกว่า คิดบวก อีกทั้งยังจดจำประสบการณ์ในอดีตที่เลวร้ายมากกว่าประสบการณ์ที่ดีๆ ฉะนั้นจงฝึกคิดบวกบ่อยๆ แล้วจิตใต้สำนึกก็จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงความคิดของเราให้คิดบวกมากขึ้น

- พลังแห่งการกระทำ เป็นพลังที่มีความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากหากขาดการกระทำสิ่งต่างๆ ก็มักจะไม่เกิด
การ เปลี่ยนแปลงขึ้น เราคงเคยไปอบรมหลักสูตรต่างๆ แต่กลับมาแล้วไม่ได้นำสิ่งที่อบรมมาลงมือกระทำ พฤติกรรมต่างๆของเราก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง จงลงมือปฏิบัติ จงลงมือกระทำอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง เต็มความสามารถ เมื่อคุณลงมือปฏิบัติชีวิตของคุณก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง

              พลังแห่งชีวิตที่กล่าวในข้อความข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของบุคคลที่ประสบความสำเร็จได้ลงมือปฏิบัติ ท่านก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สามารถทำได้ พลังแห่งชีวิตจะปรากฏขึ้น หากว่าท่านมีความต้องการและแรงปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะกระทำ เมื่อความคิดเปลี่ยน การกระทำเปลี่ยน ชีวิตของท่านก็จะเปลี่ยนแปลง จงลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในภายหน้า


การใช้โทรศัพท์อย่างมีประสิทธิภาพที่ดี

 


การใช้โทรศัพท์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

                เราต้องยอมรับว่า โทรศัพท์ มีความจำเป็นและมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตหรือการดำเนินชีวิตของเราเป็น อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทรศัพท์สำหรับการติดต่อสื่อสารกันภายในครอบครัว การใช้โทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารเรื่องธุรกิจการงาน การใช้โทรศัพท์อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้และควรศึกษา
                การสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรหรือของหน่วยงาน ด้วยการติดต่อทางโทรศัพท์  การติดต่อผ่านทางโทรศัพท์เป็นด่านแรก สำหรับการสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ ไม่ว่าการติดต่อจะออกมาในรูปแบบใด ก็จะทำให้ลูกค้าเกิดการตราตรึงในหัวใจตลอดไป ฉะนั้น องค์กร บริษัท ห้างร้าน หน่วยงาน ควรมีการจัดฝึกอบรมให้แก่บุคลากรของตนเอง
                การสนทนาทางโทรศัพท์ ควรยึดหลักในเรื่องของ  มารยาท , รวดเร็ว , ความชัดเจน
-                     มารยาท ควรคำนึงถึงเรื่องของการใช้น้ำเสียงในการพูด ไม่ควรพูดด้วยอารมณ์โกรธ โมโหฉุนเฉียว
ไม่พอใจ เพราะการแสดงอารมณ์ต่างๆมักจะถ่ายทอดไปยังความรู้สึกของผู้รับฟังได้ การพูดโทรศัพท์ที่ดีควรใช้น้ำเสียงที่หนักแน่น อ่อนหวานนุ่มนวล หลีกเลี่ยงคำพูดที่ไม่เหมาะสม เช่นการพูดเกี้ยวพาราสี การพูดลวนลาม
-                    รวดเร็ว ควรรีบหยิบหูฟังขึ้น ไม่ควรให้ฝ่ายตรงกันข้ามรอนาน ควรใช้คำพูดให้กระชับ หลีกเลี่ยง
การพูดเรื่องไร้สาระ เนื่องจากอีกฝ่ายหนึ่งอาจมีธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องทำ
-                    ความชัดเจน เป็นคำพูดที่มีความถูกต้อง มีความชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ควรพูดให้มี
จังหวะที่ถูกต้อง ไม่พูดคลุมเครือ สับสน จนฟังไม่รู้เรื่อง
                การใช้กระดาษบันทึก ควรจัดกระดาษบันทึกและปากกาไว้บริเวณใกล้ๆ กับโทรศัพท์เพื่อที่จะได้หยิบใช้ได้ทันที กระดาษบันทึกควรเป็นสมุดที่ฉีกได้ มีขนาดกะทัดรัดเหมาะสมแก่การบันทึกข้อความต่างๆ สำหรับการบันทึกควรเขียนด้วยตัวบรรจงให้ผู้อื่นอ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย ควรลงรายละเอียดให้ครบถ้วน โดยเฉพาะเรื่องของตัวเลข วัน เวลา ข้อมูลต่างๆ
                ศิลปะการพูดทางโทรศัพท์ ควรพูดด้วยระดับน้ำเสียงที่ไม่ดังมากเกินไปหรือเบาเกินไป แต่ควรพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังพอสมควร เพื่อจะทำให้เกิดความชัดเจนในการรับฟัง อีกทั้งไม่ควรพูดเร็วเกินไปหรือช้าจนเกินไป ควรมีจังหวะในการพูดให้มีความเหมาะสม มีการเว้นวรรคตอน การเว้นช่วงให้อีกฝ่ายสามารถพูดตอบโต้ได้ ควรมีคำพูดที่เป็นลักษณะการตอบรับที่มีความสุภาพ เช่น คำว่า ครับ ค่ะ เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าเรากำลังสนใจในเรื่องที่เขาพูด
                การนัดหมายทางโทรศัพท์ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการติดต่อทางธุรกิจ หากไม่มีการนัดหมายจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีเวลาที่จะพูดคุยด้วย การนัดผ่านทางโทรศัพท์จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นในการทำธุรกิจ ควรนัดหมายล่วงหน้าก่อนโดยประมาณ อาจนัดล่วงหน้าประมาณ 2-7 วัน สำหรับการนัดหมายควรจัดเวลาที่ทั้งคู่มีเวลาที่ว่าง ควรบอกวัน เวลา ที่ชัดเจน ถ้าหากมีเลขา ควรแนะนำตนเองให้เลขารู้จัก แล้วจึงขอนัดหมายการนัด  และก่อนจบการสนทนาให้เราทบทวนการนัดหมายอีกครั้งเพื่อความชัดเจนและย้ำเตือน ให้อีกฝ่ายไม่หลงลืม
                เมื่อเกิดความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ของผู้อื่น เราควรขออนุญาต ไม่ควรหยิบโทรศัพท์ของผู้อื่นหรือในสำนักงานของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ขออนุญาต ก่อน ควรขอคำแนะนำหากเราไม่เข้าใจการใช้เครื่องโทรศัพท์ เนื่องจากโทรศัพท์บางรุ่นมีความทันสมัย ระหว่างการสนทนาไม่ควรพูดเสียงดังจนเกินไป ควรบอกอีกฝ่ายหนึ่งว่า นี่เป็นโทรศัพท์ที่ขอยืมจาก ผู้อื่นใช้ อีกทั้งควรพูดแต่ธุระที่สำคัญที่จำเป็นเท่านั้น เมื่อใช้เสร็จแล้วควรกล่าวคำขอบคุณ
                เราจะเห็นได้ว่าการใช้โทรศัพท์มีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ที่เป็นยุคของการแข่งขัน ยุคของความรวดเร็ว ซึ่งการใช้โทรศัพท์อย่างมีประสิทธิภาพจะเกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้อย่างมากมาย เช่น ทำให้ประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง  เกิดความสะดวก รวดเร็ว ช่วยในการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งการใช้โทรศัพท์ยังสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างคนในสังคมอีกด้วย
                                    


วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ความสำเร็จเกิดจากการหาต้นแบบ

 


ความสำเร็จเกิดจากการหา ต้นแบบ 
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com


  จง COPY คนที่ประสบความสำเร็จ แล้วท่านก็จะประสบความสำเร็จ นี่คือ ปรัชญาข้อหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
  การหาต้นแบบแล้ว COPY แบบของต้นแบบมีความสำคัญมาก หากว่าเราเพียงแต่ COPY เพียงแค่ 1 วิธี ท่านก็จะช่วยลดเวลาในเส้นทางอาชีพของท่านไปได้มาก ขอย้ำจงหา วิธีที่สำเร็จ เพียง 1 วิธี มีค่ามากกว่า การหา 1,000 วิธีที่ไม่ประสบความสำเร็จ  
จงศึกษาวิธีคิดของคนที่ประสบความสำเร็จ จงสังเกตคนที่ประสบความสำเร็จทำอย่างไรแล้วเราก็ทำตาม เช่น ดูการพูดคุย ดูบุคลิก ดูการวางแผน ดูการใช้ชีวิต แล้วก็ COPY นี่คือสูตรสำเร็จของคนที่ต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
  ยิ่งถ้าหากท่านอยู่ในธุรกิจ ที่จำเป็นจะต้องขายด้วย ท่านยิ่งไม่ต้องคิดมาก ท่านควร COPY คนที่ประสบความสำเร็จเลย เช่น วงการขายประกันชีวิต วงการธุรกิจเครือข่าย ฯลฯ
  บันไดสู่ความสำเร็จ การคัดรายชื่อบุคคลที่เราจะขายหรือให้โอกาสธุรกิจ บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักมีขั้นตอนดังนี้คือ การจดรายชื่อ ทั้งชื่อจริง นามสกุลจริง ชื่อเล่น อาชีพ เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ ที่ทำงาน แล้วทำการแบ่งแยกอีกครั้งหนึ่ง โดยการแยกตามกลุ่มต่างๆเช่น กลุ่มเพื่อน กลุ่มญาติ กลุ่มคนรู้จักห่างๆแบบไม่สนิทหลังจากนั้น ก็แบ่งเกรดลูกค้าโดยแบ่งออกเป็น ลูกค้ามีเงินไหม ลูกค้ามีอำนาจสั่งการได้ไหม ลูกค้ามีความต้องการซื้อสินค้าไหม ฯลฯ

ประสบความสำเร็จ โดย 4 เชื่อ 4 เกาะ

4 เชื่อ คือ

1.เชื่อมั่นบริษัท ( ท่านต้องเชื่อมั่นในตัวบริษัทก่อน ว่าบริษัทมีความมั่นคง )

2.เชื่อ มั่นในผลิตภัณฑ์ ( ท่านต้องเชื่อมั่นในตัวสินค้า บริการของบริษัท โดยวิธีการที่ดีที่สุดก็คือ ท่านควรใช้สินค้าและบริการของบริษัท เพื่อให้เกิดความมั่นใจในตัวสินค้าและบริการมากขึ้น)

3.เชื่อมั่นใน แผนตลาดของบริษัท ( ท่านจะต้องมีความเชื่อมั่นในแผนการตลาดของบริษัท ว่าเป็นไปได้ และควรศึกษาให้มากที่สุดเพื่อท่านจะได้ไปอธิบายแก่ผู้มุ่งหวังหรือคนที่ท่าน จะให้โอกาสทางธุรกิจ)

4.เชื่อมั่นในตนเอง (ท่านควรเชื่อมั่นในตนเอง ว่าถ้าคนที่ประสบความสำเร็จทำได้เราก็ทำได้ ถ้าคนอื่นทำสำเร็จ เราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน)

4 เกาะ คือ

1.เกาะ เกาะบริษัท คือ เราเป็นนักขาย เราไม่ได้กินเงินเดือน ดังนั้น ท่านสามารถที่จะไม่ไปบริษัทก็ได้ แต่ในความเป็นจริง บุคคลที่ประสบความสำเร็จ จะต้องหาเวลา แบ่งเวลา ในการเข้าไปบริษัท

หรือที่ทำงาน เข้าไปเพื่อหาข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหวของบริษัท การแข่งขัน

2.เกาะ สินค้า คือ หากท่านเป็นนักขาย ท่านควรศึกษาทำความเข้าใจสินค้าที่ท่านจะขายให้มากที่สุด เมื่อลูกค้าสนใจ ท่านสามารถเสนอขายหรือตอบข้อโต้แย้งได้

3.เกาะหัวหน้า คือ งานขายเป็นงานที่ต้องถูกปฏิเสธ อีกทั้งเป็นงานที่ต้องการกำลังใจในการทำงาน การเข้าหาหัวหน้า การปรึกษาหัวหน้าจะทำให้ท่านเกิดกำลังใจในการทำงาน อีกทั้งเมื่อมีปัญหา หัวหน้าก็สามารถตอบปัญหาหรือหาทางแก้ปัญหาให้แก่ท่านได้

4.เกาะ วิชาการ คือ งานขายเป็นศาสตร์และศิลปะ อีกทั้งยังต้องอาศัยทักษะในการทำงาน การฟังเทป การฟัง VCD การฟังบุคคลที่ประสบความสำเร็จบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่จะเป็นตัวพัฒนาการขายของนักขายได้

  และยังมีอีกหลายเทคนิคที่คนที่ประสบความสำเร็จฝึกฝนและปฏิบัติ กระผมเองขอทยอยเขียนเป็นบทความเพื่อให้ผู้อ่านได้หาความสำราญกัน สรุปคือ หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างรวดเร็ว ท่านไม่ควรคิดมากหรือหาวิธีของตนเอง จะทำให้ท่านเสียเวลา ท่านควรใช้วิธี COPY บุคคลที่ประสบความสำเร็จ แล้วท่านก็จะเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จตามบุคคลต้นแบบที่ท่านได้เลือก ขอให้ประสบความสำเร็จดังความตั้งใจครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน


วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

การสื่อสารภายในองค์กรเพื่อการทำงานที่ดี

 






ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายหัวข้อ “ การสื่อสารภายในองค์กรเพื่อการทำงานที่ดีขึ้น” ให้แก่ผู้บริหารของสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดต่างๆ ที่เดินทางมาจากทั่วประเทศ ณ วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2558 #วิทยากรสอนสนุก #คำคม #คำคมสร้างแรงบันดาลใจ #นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ #คำคมสร้างกำลังใจ #คำคมสอนใจ www.drsuthichai.com

ความรุ่งโรจน์ความสำเร็จอยู่ที่ตัวคุณเอง

 


ความรุ่งโรจน์อยู่ที่ตัวท่าน

โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com



              ในโลกนี้ไม่มีใครเจริญรุ่งโรจน์ ร่ำรวย ก้าวหน้า ในชีวิตตามยถากรรม แม้แต่คนที่เกิดมาร่ำรวย เงินทอง ถ้าหากไม่มีการพัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด สักวันหนึ่งก็คงต้องถดถอย ตกต่ำ ยากจน ฉะนั้นหากต้องการความเจริญก้าวหน้า เราคงต้องพัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด

              - มีงานวิจัยของต่างประเทศชิ้นหนึ่ง ผู้วิจัยได้ไปศึกษาประวัติ ชีวิตของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
ใน อดีต และปัจจุบัน พบว่า ทุกคนที่ประสบความสำเร็จมีเหมือนกันก็คือเรื่องของเป้าหมายในชีวิต การมีเป้าหมายในชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จ
              การมีเป้าหมายในชีวิต คือ ท่านต้องระบุหรือเขียนเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษรว่าท่านต้องการอะไรอย่าง แท้จริง เช่น ท่านต้องการเป็นนักขายอับดับหนึ่งของเมืองไทยภายใน10 ปี , ท่านต้องการเป็นนักธุรกิจ 100 ล้าน ภายในเวลา 20 ปี , ท่านต้องการมีเงินเก็บฝากธนาคาร 20 ล้านบาทภายใน 10 ปี ฯลฯ
              แต่ถ้าลองไปถามคนสัก 100 คน มีคนประมาณ 80-90 คน มักตอบว่า ฉันต้องการเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จ , ฉันต้องการเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง , ฉันต้องการร่ำรวยมีเงินทองมากๆ ฯลฯ คำตอบเหล่านี้ฟังแล้วดูดี แต่หากใช่การวางแผนเป้าหมายที่ดีไม่ เนื่องจากการวางเป้าหมายที่ดีท่านต้องระบุให้ชัดเจนอีกทั้งต้องระบุวันเวลา ให้ชัดเจนด้วย

              - บุคคลที่ต้องการความรุ่งโรจน์ในชีวิต ต้องมีความกระตือรือร้นเสมอ มีความจดจ่อต่อเป้าหมายที่
ตน เองวางไว้ ไม่พลัดวันประกันพรุ่ง ต้องเรียนรู้การกระตุ้นตนเอง ถ้าหากเป็นผู้นำ ก็ต้องเรียนรู้การจูงใจลูกทีมหรือเรียนรู้การกระตุ้นลูกทีม ความกระตือรือร้นหากมีอยู่กับใคร คนคนนั้นมักจะประสบความสำเร็จอย่างสูง
              - บุคคลที่ต้องการความรุ่งโรจน์ในชีวิต ต้องรู้จัก อดทนต่ออุปสรรค ต้องรู้จักอดทนต่อการถูกดูถูก
เหยียดหยาม อดทนต่อสิ่งที่มารบกวนเล็กๆน้อยๆ ขอให้จำไว้ว่า ความอดทนนั้นเป็นสิ่งที่น่าขื่นขม แต่ผลของมันหวานชื่นเสมอ
              - บุคคลที่ต้องการความรุ่งโรจน์ในชีวิต จะต้องเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง หากว่าเรามี
เป้า หมายที่แน่นอน หากว่าเรามีความอดทน หากว่าเรามีความกระตือรือร้น แต่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ท่านจะไม่สามารถเป็นอะไรได้เลย ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในชีวิตการทำ งาน
              - บุคคลที่ต้องการความรุ่งโรจน์ในชีวิต ต้องรู้จักมองโลกในแง่ดี คิดบวก มีอารมณ์ขัน คนที่ประสบ
ความ สำเร็จส่วนใหญ่มักเป็นคนคิดบวก มองโลกในแง่ดี อีกทั้งยังมีอารมณ์ขัน การคิดบวกทำให้เห็นช่องทางในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค แต่การคิดลบมักทำให้ไม่เห็นทางออกของปัญหา การคิดบวกจะทำให้เกิดความสดชื่นแจ่มใส แต่การคิดลบ มักทำให้จิตใจเราเศร้าหมอง
              - บุคคลที่ต้องการความรุ่งโรจน์ในชีวิต มักเป็นคนที่เลือกทำงานในงานที่ตนรัก ถนัด การได้ทำงาน
ใน สิ่งที่ตนรักและถนัด มักจะทำให้การทำงานเป็นเรื่องที่สนุก ไม่เครียด อีกทั้งสามารถทำได้เป็นเวลานานๆ แต่หากเลือกทำงานในสิ่งที่ตนไม่รักหรือไม่ถนัด ก็จะทำให้ท่านเกิดความเบื่อหน่ายในการทำงาน ไม่มีความสุข อยากเลิกทำงานไวๆ อยากลาออกจากงานนั้นๆ
              - บุคคลที่ต้องการความรุ่งโรจน์ในชีวิต ต้องเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ เป็นคนที่รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น
เป็นคนที่ทำงานกับผู้อื่นด้วยความราบรื่น อีกทั้งมีความสามารถในการทำงานเป็นทีมได้ดี
              - บุคคลที่ต้องการความรุ่งโรจน์จะต้องกล้าที่จะล้มเหลว ผู้ที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงมักจะ
ต้อง ผ่านความล้มเหลวมาก่อน แต่เขาเหล่านั้นไม่ยอมล้มเลิก เขาจึงประสบความสำเร็จในชีวิต เอดิสัน เป็นนักประดิษฐ์เอกของโลก กว่าเขาจะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าได้เขาต้องล้มเหลวเป็นหลายร้อยครั้ง แต่เขาไม่ยอมล้มเลิกเขาจึงประสบความสำเร็จในการผลิตหลอดไฟฟ้าหลอดแรกของโลก ได้ แต่ถ้าหากเขาล้มเลิก พวกเราก็คงจะไม่ได้ใช้หลอดไฟฟ้าจนถึงทุกวันนี้
              ดังนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการความรุ่งโรจน์ในชีวิต ขอให้ท่านเชื่อว่าท่านสามารถกำหนดโชคชะตาของตนเองได้ ถ้าหากว่าท่านเชื่อว่าท่านทำได้ ท่านก็จะทำได้ แต่ถ้าวันใดท่านมีความเชื่อว่าท่านทำไม่ได้ จิตใต้สำนึกก็จะสั่งการให้ท่านทำสิ่งต่างๆ ไม่ได้ บัดนี้ความรุ่งโรจน์ได้ผ่านมายังมือท่านแล้ว ขอให้ท่านกล้าที่จะคว้ามันและเชื่อมั่นว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่สามารถเปลี่ยน แปลงตนเองเพื่อความรุ่งโรจน์ของท่านในอนาคตได้


ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข

 


 ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

  คนเราเกิดมาในโลกนี้ ทุกคนต่างก็ต้องพบเจออุปสรรค ปัญหา ความทุกข์ ความสุข ความเศร้า ความเหงา ซึ่งอารมณ์ต่างๆเหล่านี้ เป็นอารมณ์ของมนุษย์หรือปุถุชนที่ต้องพบเจอกัน แต่มนุษย์เราทุกๆคน ก็หวังที่จะมีชีวิตที่เป็นสุขมากกว่าชีวิตที่มีแต่ความทุกข์ บทความฉบับนี้ เราจะมาพูดเรื่อง “ ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ” ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ สามารถนำไปใช้ได้จริง เริ่มจาก
  1.หัดเป็นคนมองโลกในแง่ดี คนที่มองโลกในแง่ดีจะมีความทุกข์น้อยกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย “ โลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก ” เป็นคำพูดของคุณขรรค์ชัย บุนปาน ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์มติชน ซึ่งเป็นคำพูดที่ให้แง่คิดที่ดี เพราะบางคนชอบแบกปัญหาเหมือนแบกโลก แต่แท้จริงแล้ว ปัญหาทุกปัญหามีทางออกและทางแก้ ดังนั้นหากอยากมีความสุข ขอให้พยายามมองโลกในแง่ดี 
  2.ใฝ่ธรรมะ คนที่มีธรรมะในใจ มักมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่มีธรรมะ เพราะผู้ที่มีธรรมะเมื่อพบเจอปัญหาอุปสรรคต่างๆ มักจะมองโลกตามความเป็นจริง สามารถปล่อยวางได้ ทำใจได้ แก้ไขปัญหาได้อย่างเยือกเย็นกว่า หากต้องการพบความสุขที่ยั่งยืน เราควรใฝ่ศึกษาหาธรรมะ แต่ในความเป็นจริง คนส่วนหนึ่งมักใฝ่ศึกษาหาธรรมะตอนที่ตัวเองมีความทุกข์ เช่น บางคนอกหักก็เข้าวัด , บางคนมีปัญหาเรื่องการทำงานก็หาหนังสือธรรมะมาอ่าน , บางคนมีปัญหาชีวิตถึงกับบวชไปเลยก็มี แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าคนบางส่วน ที่มีทุกข์ หาทางออกไม่เจอก็ฆ่าตัวตายไปเลยก็มี
  3.ลด ละ เลิก อบายมุข ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติดประเภทร้ายแรงผิดกฎหมาย(ยาบ้า ฝิ่น เฮโรอิน กัญชา) หรือ ยาเสพติดไม่ร้ายแรงไม่ผิดกฎหมาย(บุหรี่ เหล้า เบียร์ ) การ ลด ละ เลิก อบายมุข จะทำให้ชีวิตมีความสุข อีกทั้งสุขภาพแข็งแรง ทั้งใจและร่างกาย ซึ่งยาเสพติดส่วนมากมักจะมีโทษมากกว่ามีประโยชน์ เมื่อเสพก็มักจะติด ยิ่งเสพก็ยิ่งต้องการเสพมากขึ้น หากสามารถ ลด ละ เลิก อบายมุข ได้ก็จะทำให้ท่านลดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น อีกทั้งไม่ต้องป่วยเป็นโรคต่างๆ 
  4.ยิ้มและหัวเราะ การยิ้มและหัวเราะ เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องเสียเงินลงทุน อีกทั้งมีประโยชน์มากๆกับผู้ที่ปฏิบัติ คนที่ยิ้มเก่งมักเป็นคนที่มีอารมณ์ดี เบิกบานแจ่มใส การหัวเราะก็เช่นกัน ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ศึกษาว่า คนที่หัวเราะเป็นประจำจะมีผลดีต่อระบบของหัวใจ ระบบของกล้ามเนื้อ การยิ้มและการหัวเราะ จะทำให้มีเพื่อนมาก คนอยากคบค้าสมาคมมากกว่าคนที่เครียด หน้าบึ้ง ลองหัดยิ้มและหัวเราะทุกวัน ท่านจะพบความสุขมากขึ้นในการดำรงชีวิต
  5.รักษาสุขภาพ โดยยึดหลักทางสาธารณสุข 5 อ. อันได้แก่ 1.อาหาร 2.อากาศ 3.ออกกำลังกาย 4.อุจจาระ 5.อารมณ์ (1.อาหาร ควรรับประทานให้ครบ 5 หมู่  2.อากาศ ควรหาโอกาสในการนำเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในระบบหายใจมากๆ 3.ออกกำลังกาย ควรหาเวลาในการออกกำลังกายประมาณ 20-30 นาที ต่อวัน และ สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง 4.อุจจาระ ควรขับถ่ายทุกวันในตอนเช้า ไม่ใช่ 5-6 วันครั้ง ก็จะทำให้สุขภาพย่ำแย่ สำหรับบางคนมีปัญหาเรื่องของระบบการขับถ่ายที่ไม่ดีเนื่องจากการรับประทานกากอาหารเข้าไปน้อยดังนั้นควรทานผัก ผลไม้ ให้มากขึ้น และ 5.อารมณ์ อย่าปล่อยให้อารมณ์เสียนานและบ่อยๆ เพราะทำให้เกิดภาวะความเครียดได้ )
 6.ใช้จ่ายอย่างประหยัด ในภาวะสังคมปัจจุบันเป็นยุคของสังคมที่เรียกว่า “บริโภคนิยม” ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แข่งขันกันบริโภคสินค้าแปลกๆ ใหม่ๆ ทันสมัย ทำให้เกิดหนี้สินขึ้นมาอย่างมากมาย บางคนไม่มีเงินใช้หนี้ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นภายในใจ การหาเงินเก่งไม่สำคัญเท่ากับการเก็บเงินเก่ง เนื่องจากบางคนมีเงินเดือน 100,000 บาทต่อเดือนแต่ใช้ไป 120,000 บาทต่อเดือน สู้คนที่หามาได้เดือนละ 9,000 บาท แต่รู้จักเก็บออมเงินได้เดือนละ 1,000 บาทไม่ได้
    ฉะนั้น สุขหรือทุกข์ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ขึ้นอยู่กับแง่คิด ทัศนคติในการมองโลก อีกทั้งการประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคล หากต้องการพบความสุขหรือหากท่านต้องการพบความทุกข์ ท่านไม่ต้องไปเที่ยวหาที่อื่นไกล ความสุขหรือความทุกข์ ท่านสามารถพบหรือสัมผัสได้จากตัวท่านเองทั้งสิ้น 


วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

กลยุทธ์การสร้างตัวตนในองค์กร

 


กลยุทธ์การสร้างภาพพจน์ของท่านในองค์กร
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com


  การทำงานให้เจริญเติบโตก้าวหน้าในองค์กร การมีภาพลักษณ์ที่ดีของท่านมีความสำคัญต่อความสำเร็จเป็นอย่างมาก การมีภาพลักษณ์ที่ดีของท่านในองค์กร จะทำให้เจ้านาย หัวหน้างาน เกิดความรัก การสนับสนุน การช่วยเหลือ แก่ท่าน
ฉะนั้นการสร้างภาพลักษณ์จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในองค์กรมีดังนี้
  1.ท่านต้องมีผลงาน การทำงานที่ดี ท่านจะต้องแสดงผลงานที่ท่านได้รับหน้าที่ ได้รับมอบหมายและได้รับผิดชอบ ให้สำเร็จ การทำงานที่รับผิดชอบแล้วมีผลงานเกิดขึ้นมาอย่างมากมายจะทำให้ เจ้านาย หัวหน้างาน เกิดความชื่นชมในตัวท่าน หรือบางท่านอาจทำงานไม่มีผลงานมากมาย แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรให้งานต่างๆ ที่รับผิดชอบเกิดความเสียหาย
  2.จำชื่อผู้บริหารระดับสูงให้ได้ อีกทั้งต้องควรศึกษาประวัติ ลักษณะนิสัยคร่าวๆ การจำชื่อผู้บริหารแล้วเรียกได้ถูกต้องจะทำให้ผู้บริหารระดับสูงเกิดความ ภาคภูมิใจ การศึกษาลักษณะนิสัยของผู้บริหารจะทำให้เราทราบว่า เขาเป็นคนมีลักษณะอย่างไร จะทำให้เราปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสมกับบุคคลนั้นๆ
  3.เขียนบทความเขียนข่าวสารลงในวารสาร จดหมายข่าวขององค์กร การเขียนบทความ เขียนข่าวสารของตนเองลงในวารสารหรือลงในจดหมายข่าวขององค์กร เมื่อเจ้านาย หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องเห็น ก็จะทำให้ท่านเป็นที่รู้จักในองค์กรของท่านมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการเขียนบทความจะทำให้ผู้อ่าน ทราบว่าท่านเป็นคนที่สนใจและมีความรู้ในเรื่องที่ท่านเขียน
  4.ช่วยเหลืองานกุศลที่องค์กรหรือหน่วยงานภายนอกจัด การช่วยเหลืองานกุศลที่องค์กรจัด จะทำให้ท่านได้รู้จักกับบุคคลต่างๆในองค์กรมากขึ้น นับตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงจนถึงพนักงานระดับล่าง การช่วยเหลืองานกุศลทั้งภายในและภายนอกองค์กร นอกจากจะได้รับบุญกุศลแล้ว ยังทำให้ภาพลักษณ์ของท่านดูดียิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่พบเห็น
  5.ฝึกการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ เช่นฝึกการพูด ฝึกการเขียน ให้สื่อสารได้อย่างชัดเจน เฉียบคม การพัฒนาการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ จะทำให้ท่านมีความเป็นผู้นำ อีกทั้งทำให้บุคคลต่างๆ รู้จักท่านมากยิ่งขึ้น เช่น การกล้าแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อหน้าที่ประชุม , การกล้าเขียนแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร ต่อสังคม ตามสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ (จดหมายข่าว วารสาร หนังสือพิมพ์ นิตยสาร) 
  6.เรียนรู้การเมืองในองค์กร การที่คนอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เป็นองค์กร เป็นหน่วยงาน ย่อมต้องมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ แบ่งระดับการปกครอง เพื่อให้เกิดความง่ายต่อการทำงานร่วมกัน ทุกองค์กร ทุกประเทศชาติ ย่อมไม่สามารถเลี่ยงหลีกคำว่า “ การเมือง ” ไปได้ ในองค์กรทุกๆองค์กร ก็มีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง จงเรียนรู้การเมืองในองค์กร แล้วท่านจะสามารถเจริญเติบโตก้าวหน้าในองค์กร
  ดังนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเจริญก้าวหน้าในองค์กร การเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีในองค์กร จึงเป็นสิ่งที่สำคัญและมีความจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จ สรุปก็คือ ท่านสามารถเพิ่มลักษณ์ที่ดีในองค์กรได้โดยวิธีการ สร้างผลงาน จำชื่อและควรศึกษาประวัติของผู้บริหารระดับสูง เขียนบทความเขียนข่าวสารลงในจดหมายข่าว วารสาร ขององค์กร ช่วยเหลืองานกุศลที่องค์กรหรือหน่วยงานภายนอกจัด ฝึกการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ และเรียนรู้การเมืองในองค์กร


เทคนิคการบริหารเวลาและการจัดการเวลา

 


เทคนิคการจัดการเวลา
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

                คนเรามีเวลาเท่ากัน 24 ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน 365 วันต่อ 1 ปี แต่คนที่มีประสิทธิภาพมักจะสร้างผลงานหรือมีผลงานออกมามากกว่าคนที่ไม่มี ประสิทธิภาพ อาจจะมีหลายปัจจัยที่ทำให้ผลงานออกมาแตกต่างกัน เช่น เรื่องของสติปัญญา เรื่องความรู้ความสามารถ เรื่องของประสบการณ์ และเรื่องของการบริหารเวลา
                การบริหารเวลา ถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่การจะบริหารเวลาให้ได้ผลดี การวางแผนถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ แต่ปัญหาส่วนใหญ่ก็คือ คนเป็นจำนวนมากมักไม่ชอบวางแผน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องการดำเนินชีวิต และการวางแผนเรื่องของการใช้เวลา การวางแผนการใช้เวลาจะทำให้เราประหยัดเวลาไปได้มาก ซึ่งการวางแผนการใช้เวลามีดังนี้
                1.สร้างเป้าหมายประจำปี ประจำเดือน ประจำสัปดาห์และประจำวัน การมีเป้าหมายจะทำให้เรารู้ทิศทางที่เราต้องการจะเดินหรือมุ่งไป ตัวอย่าง อาชีพนักขาย เราควรกำหนดเป้าหมายเป็นยอดขายว่าปีนี้เราต้องการยอดขายเท่าไร เมื่อทราบเป้าหมายประจำปีแล้วจึง เฉลี่ยเป็นรายเดือน รายสัปดาห์และรายวัน ต่อไป เช่น เป้าหมายรายปี เท่ากับยอดขาย 12,000,000 บาท เป้าหมายรายเดือนเท่ากับ 12,000,000 บาทหารด้วย 12 เดือน เท่ากับ 1,000,000 บาท  เป้าหมายรายวัน ก็นำเอา 1,000,000 บาท หารด้วย 30 วัน  
                2.ใช้เวลา 30 นาทีในการวางแผนการทำงานในแต่ละสัปดาห์และใช้เวลา 15 นาทีในการวางแผนการทำงานในแต่ละวัน การใช้เวลาเพียง 15-30 นาที ในการวางแผนงานเป็นรายสัปดาห์และการวางแผนเป็นรายวันจะทำให้ท่านประหยัดเวลา ได้อีกเป็นจำนวนมาก เพราะจากงานวิจัยพบว่า การวางแผนเพียงแค่ 8 นาทีต่อวัน จะทำให้เราประหยัดเวลาในการทำงานถึงวันละ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
                3.สร้างระบบหรือเครื่องมือในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น สร้างตารางการทำงาน , การใช้ไดอารี่ การใช้สมุดพก ฯลฯ ทั้งนี้การสร้างระบบหรือเครื่องมือในการทำงานของแต่ละท่านอาจไม่เหมือนกัน ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับลักษณะของการทำงาน นิสัย พฤติกรรมของแต่ละบุคคล
                4.อย่าเปิดไปรษณีย์ที่ไม่สำคัญหรือหากเป็นงานที่ไม่สำคัญมากนัก ก็ขอให้ผู้อื่นทำแทน การเปิดจดหมาย การไปฝากเงินธนาคาร การไปส่งของยังสถานีต่างๆ อาจจะทำให้ท่านเสียเวลา หากต้องการมีเวลาในการทำงานมากขึ้น สิ่งที่ไม่สำคัญหรืองานที่ไม่สำคัญควรให้ผู้อื่นไปทำกิจกรรมนั้นแทน
                5.จัดการงานด้านเอกสารทีละเรื่อง ไม่ควรทำทีละ 2-3 อย่าง และไม่ควรสะสมงานที่ทำไม่เสร็จเป็นดินพอกหางหมู การทำงานทีละ 2-3 อย่างจะทำให้เราไม่มีสมาธิในการทำงาน หากท่านต้องการทำงานให้รวดเร็วขึ้น อีกทั้งมีประสิทธิภาพ ท่านควรทำงานทีละอย่าง จนเสร็จหมดทุกอย่างไม่ควรทำงานให้ค้างไว้หรือสะสมไว้มากๆ จนทำไม่ไหว
                6. ขนงานบางชิ้นที่สามารถทำได้หรือหนังสือที่ต้องการอ่าน ไปทำหรือไปอ่านด้วย เช่น เมื่อเลิกงานทำไม่เสร็จท่านสามารถขนงานบางชิ้นที่สามารถทำได้หรือเร่งด่วนไป ทำที่บ้าน หรือหนังสือที่ต้องการอ่านไปอ่านระหว่างการรอรถโดยสารประจำทาง หรือ ระหว่างรอเครื่องบินที่สนามบิน
                ดังนั้น การวางแผนสำหรับประหยัดเวลาจึงมีประโยชน์และมีความสำคัญ  เมื่อท่านมีการวางแผนท่านจะประหยัดเวลาได้มาก การทำงานของท่านจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ท่านจะมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น ท่านจะเหลือเวลาในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น จงสร้างเป้าหมาย จงวางแผนการทำงานในแต่ละวัน จงสร้างระบบหรือเครื่องมือ จงหาผู้ช่วยช่วยทำงานที่ไม่มีความสำคัญ จงทำงานทีละเรื่อง และจงขนงานบางชิ้นหรือหนังสือไปอ่านยังสถานที่ต่างๆ  หากท่านลองนำวิธีดังกล่าวไปปฏิบัติกระผมเชื่อว่าเวลาในชีวิตของท่านจะมี เวลามากขึ้นกว่าเก่าอย่างแน่นอน


วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบในการทำงาน

 

การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

  การทำงานในหน่วยงานหรือองค์กร มักจะเกิดปัญหาในการทำงานขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคน เรื่องของระบบการบริหาร เรื่องของงบประมาณหรือเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัด ฯลฯ การแก้ไขปัญหาจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการทำงาน  หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ประสบปัญหาในการทำงาน ท่านลองทำตามคำแนะนำเบื้องต้นนี้ สำหรับการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ มีดังนี้
  1.วิเคราะห์ปัญหา แยกแยะและทำความเข้าใจปัญหา หากว่าท่านมีปัญหาในเรื่องเกี่ยวกับการทำงาน ท่านลองวิเคราะห์ปัญหาว่าปัญหาที่ท่านเจอมีทางออกอย่างไร ท่านมีวิธีใดในการแก้ไขปัญหา ปัญหานั้นใหญ่แค่ไหน ปัญหาที่เจอมันจะส่งผลกระทบต่อหน่วยงานหรือตัวท่านเองมากน้อยแค่ไหน ขอให้ท่านลองคิดไตร่ตรองพิจารณา แล้วควรเขียนใส่ในกระดาษหรืออาจจะวิเคราะห์โดยใช้แผนที่ความคิด(Mind Map) เป็นต้น
  2.รวบรวมข้อมูลมาให้มากที่สุด ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจแก้ปัญหาหรือตัดสินใจใดๆ ลงไป ท่านควรแสวงหาข้อมูลมาให้มากที่สุด เพราะการมีข้อมูลจะทำให้เราเกิดการตัดสินใจได้อย่างรอบด้านและตัดสินใจได้ดี ยิ่งขึ้น 
  3.การหาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาไว้หลายๆทาง จะทำให้ท่านตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่านอาจจะขอคำแนะนำ ขอคำปรึกษา จากผู้มีประสบการณ์หรือผู้เชี่ยวชาญ แล้วจงวิเคราะห์ว่าทางเลือกใดเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหรือตรงกับความต้องการ มากที่สุด ด้วยตนเองโดยเรียงลำดับจากวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดไปจนถึงน้อยที่สุด 
  4.ตัดสินใจเลือกวิธีที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์นั้นๆ เพราะวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ไขปัญหาหนึ่งอาจไม่ดีสำหรับการแก้ไข ปัญหาอีกปัญหาหนึ่ง ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก สภาพของปัญหาที่ต่างแตกกัน เช่น เรื่องของพื้นที่ , เรื่องของงบประมาณ , เรื่องของเงื่อนไขบางอย่าง ฯลฯ ดังนั้นคุณอาจจะตัดสินใจเลือกวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดลำดับที่ หนึ่ง ตามรายละเอียดในข้อที่ 3 แต่ถ้าวิธีการที่หนึ่งมีปัญหาไม่สามารถนำไปใช้ได้หรือใช้แก้ไขปัญหาไม่ได้ คุณอาจมีวิธีที่สองสำรองไว้ใช้ 
  5.นำวิธีการที่เลือกไปใช้โดยมีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน มีการกำหนดรายละเอียด ออกแบบเครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน แล้วจึงลงมือทำทันที 
  6.มีการประเมินผล ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด มีการปรับปรุงแผนที่วางไว้ให้เข้ากับเหตุการณ์ หากเกิดความขัดข้อง กล่าวคือ วิธีการที่หนึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ให้นำเอาแผนสำรองคือวิธีการที่สองมาประยุกต์ใช้ต่อไป แต่หากวิธีการที่หนึ่งแก้ไขปัญหาได้ประสบความสำเร็จ ก็ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย
  จากข้อความข้างต้น ท่านจะเห็นได้ว่าหลักการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ จะทำให้ท่านมีการตัดสินใจได้อย่างดีขึ้น มีการมองปัญหาอย่างเป็นระบบขึ้น และมีหลักการในการแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าเดิม ซึ่งแต่เดิมบางท่านอาจจะแก้ไขปัญหาแบบไม่มีหลักการ ไม่มีการวิเคราะห์ปัญหา แยกแยะและทำความเข้าใจปัญหา ไม่มีการรวบรวมข้อมูลมาให้มากที่สุด ไม่มีการหาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาไว้หลายๆทาง ไม่มีการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่มีวิธีการที่ดีที่สุด ไม่มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนในการนำวิธีการไปใช้ และไม่มีการประเมินผล ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด


วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ผู้นำที่มี ต้องมีคัมภีร์


คัมภีร์ผู้นำ
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

                มักมีคนเคยถามผมเกี่ยวกับคำว่าผู้นำ เช่น ผู้นำสามารถสร้างได้หรือไม่  , อะไรคือ ตัวกำหนดความเป็นผู้นำ , ผู้นำหมายถึงอะไร , ถ้าหน่วยงานไม่มีผู้นำอะไรจะเกิดขึ้น ฯลฯ ในบทความฉบับนี้ เราจะมาแลกเปลี่ยนความรู้กันกับคำว่าผู้นำ
                คำว่า “ผู้นำ” มีความหมายที่แตกต่างกันไปหรือบางคนอาจให้ความหมายที่คล้ายคลึงกัน ทั้งนี้แล้วแต่ใครที่จะนิยาม เช่น
-พจนานุกรมฉบับของราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำว่า “ ผู้นำ ” คือ หัวหน้า , คนชักจูงให้คนอื่นทำตาม
-อานันท์ ปันยารชุน ได้ให้ความหมายว่า “ ผู้นำ” คือ ผู้ที่คนอื่นอยากเดินตาม
- บุญทัน ดอกไธสง  ได้สรุปคำว่า ผู้นำ (Leader) คือ 
1. ผู้มีอิทธิพล มีศิลปะ มีอิทธิพลต่อกลุ่มชน เพื่อให้พวกเขามีความตั้งใจที่จะปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายตามต้องการ 
2. เป็นผู้นำและแนะนำ เพราะผู้นำต้องคอยช่วยเหลือกลุ่มให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดตามความสามารถ 
3. ผู้นำไม่เพียงแต่ยืนอยู่เบื้องหลังกลุ่มที่คอยแต่วางแผนและผลักดัน แต่ผู้นำจะต้องยืนอยู่ข้างหน้ากลุ่ม และนำกลุ่มปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย 
สำหรับคุณสมบัติของผู้นำที่ดีนั้น มีดังนี้
1.ผู้นำที่ดีต้องมีเป้าหมาย เป้าหมายเป็นสิ่งที่สำคัญและมีความจำเป็นต่อความสำเร็จ ถ้าหากไม่มีเป้าหมายหรือทิศทาง จะทำให้ผู้นำและผู้ตามเกิดความสับสน ดังนั้นหากท่านได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้นำ ท่านจงกำหนดเป้าหมายหรือทิศทางให้ชัดเจน เพื่อท่านและผู้ตามในองค์กรของท่านจะได้ก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกัน
2.ผู้นำที่ดีต้องมีคุณธรรม ทั้งทางด้านความประพฤติ การปฏิบัติ ซึ่งหลักธรรมตามพุทธศาสนา ที่ผู้นำสามารถนำไปปรับใช้ได้คือ พรหมวิหาร 4 (เมตตา,กรุณา,มุทิตาและอุเบกเขา) อีกทั้งผู้นำที่ดีต้องให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ตามหรือลูกน้อง ซึ่งอาจจะมีปัญหาบ้างในทางปฏิบัติเนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมภ์การทำ งานจึงมีระบบเส้นสาย
3.ผู้นำที่ดีต้องมีความคิดที่ริเริ่มสร้างสรรค์ ในโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคของการแข่งขัน การเป็นผู้นำสมัยปัจจุบันจึงต้องพบกับการแข่งขันที่เป็นไปอย่างรุนแรงและรวด เร็ว การที่ผู้นำไม่ยอมเปลี่ยนแปลงหรือไม่ยอมรับต่อสิ่งใหม่ๆ ผู้นำคนนั้นก็มักจะล้าหลัง ฉะนั้นผู้นำในยุคปัจจุบันจึงต้องมีความคิดที่ริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้นมา
4.ผู้นำที่ดีต้องกล้าตัดสินใจ การเป็นผู้นำมักต้องมีเรื่องให้ตัดสินใจเสมอ หากผู้นำตัดสินใจผิดพลาดก็มักจะทำให้องค์กรหรือหน่วยงานเกิดความเสียหาย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้จะตัดสินใจถูกหรือตัดสินใจผิด การเป็นผู้นำก็ต้องกล้าตัดสินใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป
5. ผู้นำที่ดีต้องทุ่มเท มุ่งมั่นในการทำงาน การเป็นผู้นำจะต้องเสียสละ ในบางครั้งการเป็นผู้นำจะต้องทำงานมากกว่าคนอื่นหรือทำงานหนักกว่าคนอื่นๆ  สำหรับผู้นำบางคนที่ไม่ทุ่มเท ไม่มุ่งมั่นในการทำงาน ผู้นำคนนั้นมักขาดเป้าหมาย อีกทั้งมีความเห็นแก่ตัวในการทำงาน
6.ผู้นำที่ดีต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ การเป็นผู้นำมีความจำเป็นจะต้องทำงานร่วมกับผู้ตามหรือลูกน้อง กล่าวคือต้องทำงานร่วมกับคนที่มีความหลากหลาย ผู้นำที่มีมนุษย์สัมพันธ์จึงเป็นผู้นำที่ผู้ตามหรือลูกน้อง รักและอยากทำงานด้วย การเอาใจใส่ผู้อื่น การไม่มีความเย่อหยิ่งถือตัว จะสร้างเสน่ห์ให้แก่ผู้นำ
7.ผู้นำที่ดีต้องมีการประเมินผล ติดตามงาน ผู้นำที่ดีจะต้องรู้จักควบคุม ประเมินผล ติดตามงาน หากผู้นำได้ตัดสินใจสั่งการไปแล้ว แล้วไม่มีการประเมินผล ติดตาม ก็อาจจะเกิดความเสียหาย เนื่องจากผู้ตามบางคนได้กระทำเกินเลยหรือผู้ตามบางคนอาจละเว้นการกระทำ จึงทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรได้ ผู้นำที่ดีจึงต้องรู้จักประเมินผล ติดตามการทำงาน
  ทั้งหมดข้างต้นนี้เป็นคุณสมบัติบางประการที่ผู้นำที่ดีควรมีอยู่ในตัวเอง คุณก็สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้ เพียงแต่ลงมือทำแล้วแก้ไขพัฒนาตนเอง อย่างไม่หยุดยั้ง ท่านก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่ผู้ตามให้การยอมรับ


 

เข็มทิศการทำงาน

 


เข็มทิศการทำงาน
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com


                         เคยมีคนตั้งคำถามว่า ทำไมคนบางคนถึงทำงานได้มากมาย แต่ทำไมคนส่วนใหญ่จึงทำงานได้น้อย อีกทั้งมักไม่ค่อยมีคุณภาพอีกต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ท่านสร้างผลงานต่างๆได้อย่างมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นงานประพันธ์หนังสือเป็นจำนวนมาก เช่น หนังสือเรื่องกุศโลบาย , วิธีทำงานและสร้างอนาคต ,มหาบุรุษ,มันสมอง เป็นต้น
สำหรับงานในชีวิตราชการท่านได้รับตำแหน่งต่างๆ มากมาย เช่น ตำแหน่งข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ,รัฐมนตรีและอธิบดีกรมศิลปากร,รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง เป็นต้น ซึ่งบุคคลที่ทำงานได้ดีและมีผลงานเป็นจำนวนมากนั้น จะต้องเป็นคนที่ทำงานหนัก ทำงานเก่ง ทำงานรวดเร็ว สำหรับพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ เป็นตัวอย่างในเรื่องของการทำงานได้เป็นอย่างดี โดยท่านสามารถทำงานหนักได้นานถึงวันละ 16 ชั่วโมง เลยทีเดียว
  สำหรับหลักการทำงานให้ได้ผลงานทั้งคุณภาพและปริมาณนั้น มีดังนี้
  1.รู้จักลำดับงาน การรู้จักลำดับงานก็คือการวางแผนนั้นเอง คนที่ทำงานได้ดีนั้นจะต้องเป็นคนที่มีแผนงาน ว่าตนจะทำอะไร เมื่อไร อีกทั้งต้องรู้จักลำดับงานออกเป็นประเภทต่างๆ เช่น งานสำคัญ , งานไม่สำคัญ , งานเร่งด่วน , งานไม่เร่งด่วน แล้วจึงพิจารณาเลือกทำงานให้มีความเหมาะสมกับเงื่อนของเวลา 
  2.มีวินัยในการทำงาน คนที่ทำงานได้ดีนั้นจะต้องเป็นคนที่มีวินัยในการทำงาน เช่น นักเขียนดังๆ จะต้องมีวินัยในการทำงานเขียน เนื่องจากอาชีพนักเขียนไม่มีเวลาทำงานแน่นอนตายตัว ไม่มีหัวหน้างานคอยมาบังคับ อาชีพนักเขียนจึงเป็นอาชีพอิสระ ดังนั้นจะต้องมีวินัยในการบังคับตัวเองให้เขียน นักเขียนบางคนตั้งกฎกับตัวเองว่าจะต้องเขียนให้ได้วันละ 3 หน้ากระดาษ ทุกวัน ดังนั้น ผลงานของเขาจึงออกมามากมายมหาศาล ถ้าหากว่าเราคิดอย่างง่ายๆ วันละ 3 หน้ากระดาษ 1 เดือนมี 30 วัน เขาจะได้หนังสือ 1 เล่ม ที่มีจำนวนหน้า 90 หน้า และ 1 ปี เขาจะมีงานเขียนถึงจำนวน 12 เล่ม เลยทีเดียว
งานอาชีพอื่นๆก็เช่นกัน บุคคลที่ทำงานดีและเก่งนั้น จะต้องมีวินัยในการทำงาน ทำงานส่งตรงวันเวลาที่เจ้านายหรือลูกค้านัดหมาย
  3. มีสมาธิในการทำงาน บุคคลที่ทำงานดี ทำงานเก่ง นั้นจะต้องมีสมาธิในการทำงาน 
คำ ว่า “สมาธิ” จากพจนานุกรมไทย ราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง ความตั้งมั่นแห่งจิต , ความแน่วแน่ในการสำรวมใจ , การมีจิตเพ่งเล็งแน่วแน่อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ,ความตรึกตรองอย่าง เคร่งเครียดในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 
สมาธิจึงเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานทุก ประเภท เช่น หากใครมีสมาธิในการอ่านหนังสือก็จะสามารถอ่านหนังสือได้ดีและเร็วกว่าคนไม่ มีสมาธิ , ใครมีสมาธิในการประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ก็จะสามารถประดิษฐ์ของได้เป็นจำนวนมาก และมีประสิทธิภาพกว่าคนไม่มีสมาธิ ดังเช่น โทมัส อัลวา เอดิสัน สามารถประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ได้มากมาย ก็เพราะด้วยความที่โทมัส อัลวา เอดิสัน เป็นคนที่มีสมาธินั้นเอง เป็นต้น
  4.มีการพักสมองบ้าง การหยุดพักมีความสำคัญไม่ใช่น้อย ร่างกายของคนเราไม่ใช่เครื่องจักรถึงแม้จะเป็นเครื่องจักรก็ตามก็ต้องมีการ หยุดพักเช่นกัน การพักสมอง อาจทำได้โดย
- การเปลี่ยนงานที่ทำ เช่น หากเรามีอาชีพนักเขียน เมื่อทำงานเขียนเป็นเวลานานๆ สมองอาจไม่สดชื่นแจ่มใส ควรเปลี่ยนงานที่ทำโดยการออกไปปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ ไปล้างรถ ทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ 
- การเปลี่ยนที่ทำงาน เช่น ปกติห้องทำงานเขียนมักอยู่ภายในบ้าน ท่านสามารถนำงานเขียนไปเขียนนอกบ้านบ้าง โดยการออกไปเขียนตามห้องสมุด สวนสาธารณะ ฯลฯ
  5.จงสนุกกับการทำงาน จงรักในงานที่ท่านทำ หากว่าเราทำงานด้วยความไม่สนุก หากว่าเราไม่รักในงานที่ทำ งานที่ทำมักทำให้เราเกิดความทุกข์ ในทางตรงกันข้ามถ้าหากเราทำงานด้วยความสนุกงานที่ทำก็จะช่วยให้เราเกิดความ สุขขึ้น จงสนุกกับการทำงานแล้ว ผลงานของท่านจะมีปริมาณมากและคุณภาพของผลก็จะออกมาดีเยี่ยม
  ปัจจัยข้าง ต้นนี้ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างผู้ที่ทำงานได้เก่ง ทำงานได้ดี กับ คนที่ทำงานออกมาแล้วไม่มีประสิทธิภาพ หากว่าท่านต้องการทำงานเก่ง ทำงานได้ปริมาณที่มากทั้งคุณภาพและจำนวน ท่านควรปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเอง


วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

อยากก้าวหน้า ไม่ยากเลย

 


อยากก้าวหน้าไม่ยาก
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

                พวกเราคงเคยนึกสงสัยหรือคงเคยเห็นบุคคลที่มีอายุน้อยแต่มีความสามารถในการ บริหารงาน อีกทั้งเมื่อทำงานไปได้ไม่นานกลับมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งกว่าคนที่เข้ามาทำงานพร้อมๆกัน การทำงานให้เจริญก้าวหน้าในสายงานหรือในองค์กรนั้น หากไม่คำนึงถึงเรื่องของเส้นสายหรือระบบอุปถัมภ์ คนที่จะก้าวหน้าหรือเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วนั้น คงต้องอาศัยหลักการดังนี้
                1.มีต้นแบบที่ดี  หากต้องการประสบความสำเร็จในการทำงานในสายงานหรือในองค์กร ท่านควรหาต้นแบบที่ดี ทุกองค์กรมักมีเจ้านายที่ทำงานเก่ง มีการบริหารที่ดี มีแนวคิดการตัดสินใจที่เยี่ยม ท่านควรเลียนแบบหรือปรับปรุงตนเองให้เหมือนต้นแบบ ท่านลองศึกษาวิธีทำงานของเขา วิธีการแก้ไขปัญหา แล้วท่านก็จดจำวิธีที่ดีๆ นั้นไว้ใช้ต่อไป
                2.มีความทะเยอทะยานในการทำงาน มีความใฝ่สูงในการทำงาน ความทะเยอทะยานหรือความใฝ่สูงในการทำงานเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราเกิดความเจริญก้าวหน้า สำหรับคนที่ไม่มีความทะเยอทะยานหรือความใฝ่สูงในการทำงานมักมีแต่ความเสื่อม เพราะโลกยุคปัจจุบัน เป็นโลกของยุคการแข่งขัน หากเราหยุดอยู่กับที่เราในขณะที่คนอื่นๆ เดินไปข้างหน้า มุ่งไปข้างหน้า ก็เท่ากับเราล้าหลังทันที  ความทะเยอทะยานหรือความใฝ่สูงในการทำงานนั้น คือ สมมุติว่าเราทำงานธนาคาร เราเป็นเจ้าหน้าที่ เราจะต้องมีความทะเยอทะยานหรือความใฝ่สูงว่าเราจะต้องทำงานเป็นผู้จัดการ ธนาคารให้ได้
                3.มีความขยันพากเพียร ความขยันไม่ได้หมายถึงการหักโหมทำงานจนกระทั่งเจ็บปวด แต่เป็นการทำงานอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลดความพยายาม เราจะเห็นจอมปลวก เป็นสัตว์ตัวเล็กๆ แต่สามารถสร้างจอมปลวกอันยิ่งใหญ่แข็งแรงเท่าภูเขาลูกเล็กๆ ขึ้นมาได้ เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะความขยันพากเพียรของปลวก หรือ เราจะเห็นนักเขียนที่สามารถเขียนหนังสือเล่มโตๆ ได้เป็นจำนวนมากได้เพราะอะไร หากไม่ใช่นักเขียนผู้นั้นมีความเพียรพยายาม  ฉะนั้นหากท่านต้องการเจริญก้าวหน้าในสายงานหรือองค์กร ท่านจะต้องมีความขยันพากเพียรในการทำงาน
                4.มีการพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง การทำงานในยุคปัจจุบันเป็นยุคของการแข่งขัน เป็นยุคของเทคโนโลยี คนที่จะก้าวหน้าในสายงานหรือองค์กรนั้น จะต้องมีความสามารถ ความรู้หลายอย่าง อีกทั้งจะต้องทำงานที่มีความหลากหลายและรวดเร็วขึ้น ดังนั้นการพัฒนาตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อนำไปใช้ในการทำงาน เพราะเทคโนโลยีทำให้เราได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้คอมพิวเตอร์หรือ Ipad ในการนำเสนองาน ไม่ใช่นำเสนอแบบปากเปล่าเหมือนในอดีต  เป็นต้น
                5.มีใจรักในงานที่ทำ ในการทำงานหากว่าเรามีใจรักในงานที่ทำเราจะทำงานนั้นได้นานกว่าปกติ อีกทั้งยังมีความรู้สึกสนุกกับมัน ในทางตรงกันข้าม หากว่าท่านต้องทำงานด้วยความจำใจทำ ท่านจะทำงานด้วยความลำบากใจ ไม่สนุก เฉื่อยช้า ชีวิตความก้าวหน้าในการทำงานของท่านก็จะเป็นไปอย่างช้าๆ
                ฉะนั้น การทำงานให้เจริญก้าวหน้าเป็นสิ่งที่ทำกันได้ พัฒนาได้ ปรับปรุงแก้ไขได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ตัวท่านเองเป็นสำคัญ ว่าท่านต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองมากน้อยแค่ไหน ถ้าท่านอยากจะเจริญก้าวหน้าในสายงานหรือองค์กรได้อย่างรวดเร็ว ท่านคงต้องมีต้นแบบที่ดี  ท่านต้องมีความทะเยอทะยานหรือความใฝ่งานในการทำงาน ท่านต้องมีความขยันพากเพียร ท่านต้องมีการพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง และท่านต้องมีใจรักในงานที่ท่านทำ


วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เครื่องมือในการจัดการเวลาคือการวางเป้าหมาย

 


เครื่องมือนำทางในการบริหารเวลา คือ เป้าหมาย
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

“ ความพยายาม ความขยัน ความอดทนในการทำงานยังไม่เพียงพอหากปราศจากซึ่งเป้าหมายและการวางแผนเพราะเป้าหมายและการวางแผนเปรียบดังดวงประทีปส่องนำทางในช่วงเวลาค่ำคืน ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความสำเร็จ”
                การตั้งเป้าหมายมีความสำคัญต่อการบริหารเวลาเป็นอย่างยิ่ง  เพราะการตั้งเป้าหมายทำให้เรามีทิศทางในการทำงาน ทำให้เรามีความตั้งใจทุ่มเทให้กับสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดและลดการใช้เวลากับสิ่งที่มีความสำคัญน้อยที่สุด อีกทั้งลดการใช้พลังงานทั้งทางร่างกาย ทางสมอง ทางจิตใจ ของเราลงไปกับสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ
                เมื่อเรามีเป้าหมายแล้ว เราก็ควรที่จะจัดทำการวางแผนขึ้น เพราะการวางแผนเพียง 8 นาที จะช่วยให้เราประหยัดเวลาได้ถึง 1 ชั่วโมง เลยทีเดียว ฉะนั้น หากใครวางแผนมาก เขาก็จะมีเวลาเหลือในการทำสิ่งที่สำคัญๆสำหรับชีวิตมากขึ้น
                สำหรับการตั้งเป้าหมายที่ดี เราควรมีการร่างเป้าหมาย ร่างแผนการต่างๆลงในกระดาษ เพราะการร่าง เป้าหมายและแผนการ ลงในกระดาษมีข้อดีหลายอย่าง เช่น ทำให้เราสามารถตรวจสอบเป้าหมายและแผนของเราได้ตลอดเวลา ทำให้เห็นภาพหรือทิศทางที่จะเดินไปข้างหน้า ทำให้เราเกิดสมาธิในการทำงานมากกว่าการนั่งคิดไปเรื่อยๆ ทำให้เราลดภาระการจดจำของเรา การเขียนร่างนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นการทำงานและเตือนใจอีกด้วย ถ้าจะให้ดี เราควรมีแฟ้มใส่เป็นสัดส่วนเพื่อจะนำไปใช้เป็นหลักฐานในการทำงานครั้งต่อไปได้
                หลายคนมักถามผมว่า “ แล้วถ้าผมมีเป้าหมายหลายอย่างละครับ ผมควรที่จะทำอย่างไร” หากว่าคุณมีเป้าหมายหลายอย่าง คุณควรเขียนเป้าหมายทุกอย่างลงในกระดาษ แล้วลองเรียงลำดับเป้าหมายที่มีความสำคัญที่สุดก่อนโดยให้คะแนนจากมากไปน้อย (เป้าหมายไหนมีความสำคัญมากให้คะแนนมาก เป้าหมายไหนมีความสำคัญน้อยให้คะแนนน้อยหรือเรียงจาก ABC ) แล้ววางแผนและให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่มีความสำคัญมากที่สุดก่อนตามลำดับ
 
                เป้าหมายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นเครื่องมือนำทางในการบริหารเวลา ไม่ว่าคุณจะบริหารประเทศ  บริหารทีมงาน บริหารองค์กร รวมถึงการบริหารตนเอง หากว่าไม่มีเป้าหมายเสียแล้ว การบริหารก็จะขาดทิศทาง ต่างคนต่างทำงาน จึงทำให้ประสิทธิภาพของตนเอง ขององค์กร ของหน่วยงาน ลดลง
                ดังนั้น หากว่าคุณเป็นผู้บริหาร คุณควรตั้งเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน  ขึ้นภายในองค์กร ภายในหน่วยงาน ภายในทีมงาน และควรตั้งเป้าหมายสำหรับตัวของคุณเองด้วย แล้วคุณจะพบว่าคุณเป็นบุคคลหนึ่งที่บริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าในอดีต