วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2567

จงทำงานอย่างมีความสุข

จงทำงานให้มีความสุข
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com


งานคือชีวิต            ชีวิตคืองานบันดาลสุข
ทำงานให้สนุก        เป็นสุขเมื่อทำงาน(สร้อย)
ชีวิตคือ   ลมหายใจใครก็รู้
ชีวิตคือ   การต่อสู้ควรศึกษา
ชีวิตคือ   กิจการงานตระการตา
ชีวิตคือ   กาลเวลาที่คุ้มครอง
ทำงานเพื่องานบันดาลผล   ทำดีเพื่อดีดีดลผลให้
ทำหน้าที่ เพื่อหน้าที่               อย่างจริงใจ
สร้างไท   ให้กับตัว อย่ากลัวเกรง
                ข้อความข้างต้นนี้ เป็นบทประพันธ์ของหลวงพ่อพุทธทาสที่มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาภายหลัง มีคนนำมาใส่ทำนองจึงออกมาเป็นบทเพลง ซึ่งเป็นบทเพลงที่ให้กำลังใจเป็นอย่างดีสำหรับคนที่อยู่ในวัยของการทำงาน
                แต่สำหรับคนทำงานเป็นจำนวนมาก มักมีปัญหาเรื่องของการทำงาน กล่าวคือ เมื่อทำงานไปนานๆ มักเกิดอาการเบื่อหน่ายงาน ไม่มีความสุขจากการทำงาน ก็เนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่น มีปัญหากับเจ้านายเลยทำให้ทำงานไม่สนุก , การคาดหวังผลประโยชน์จากงานแล้วไม่ได้ตามคาดหวังเลยทำให้ท้อแท้ใจ , การมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน , การมีความคิดในแง่ลบตลอดเวลา ฯลฯ
                ซึ่งกระผมเชื่อแน่ว่า หลายท่านที่มีปัญหาในที่ทำงานทุกๆคน จะมีปัจจัยที่แตกต่างกันที่ทำให้ตนเองไม่มีความสุขในการทำงาน หากท่านไม่มีความสุขในการทำงาน ท่านคงต้องพิจารณาถึงสาเหตุแล้วควรไปแก้ไขที่สาเหตุ ท่านไม่ควรใช้วิธีการของบุคคลอื่นเพื่อนำวิธีการของเขามาแก้ไขปัญหาของท่าน เพราะจะทำให้ท่านแก้ไขปัญหาไม่ถูกที่
                หลายคนมักถามผมว่า ทำอย่างไรถึงจะทำงานให้มีความสุข ซึ่งกระผมมักตอบว่า เราสามารถทำงานให้มีความสุขได้โดยเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อนเป็นอันดับแรก ในการแล่นเรือในทะเล หากพวกเราสังเกตจะพบว่า คนที่บังคับเรือ เขาไม่สามารถปรับทิศทางลมได้ แต่เขาสามารถปรับหางเสือเรือได้ เหมือนกันในการทำงานเราไม่สามารถปรับสภาพแวดล้อม เราไม่สามารถเลือกเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานได้ แต่เราสามารถปรับตัวของเราเองได้ ซึ่งหลักในการปรับตัวเพื่อให้มีความสุขมีดังนี้
                1.ท่านต้องสร้างทัศนคติที่ดีในการทำงานตลอดเวลา โดยเฉพาะการคิดในแง่บวก เพราะการคิดในแง่บวกจะทำให้ท่านมองโลกในแง่ดี แต่การคิดในแง่ลบ มักจะทำให้ท่านมองโลกในแง่ร้าย ท่านจะเกิดความคิดในเชิง โกรธ อิจฉา อยากที่จะทำลาย มากกว่าที่จะสร้างสรรค์งานใหม่ๆออกมา ทัศนคติของเรา ความคิดของเราจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด เช่น หลายคนเห็นน้ำหมดไปครึ่งแก้ว แต่บางคนบอกว่าเหลืออีกตั้งครึ่งแก้ว
                2.ท่านต้องสร้างมิตรมากกว่าสร้างศัตรูในที่ทำงาน สุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า “ มีเพื่อน 100 คนยังน้อยไปมีศัตรูคนเดียวมากเกินไปแล้ว ” ดังนั้นหากเพื่อนร่วมงาน ทำอะไรไม่ถูกใจเราหรือทำอะไรให้เราไม่สบายใจ หนักนิดเบาหน่อยก็ควรให้อภัยซึ่งกันและกัน การอภัยนั้น  ทำได้ยากก็จริงอยู่ แต่การอภัยจะทำให้เราเกิดความสบายใจและมีมิตรมากกว่าศัตรูอย่างแน่นอน อีกทั้งการเลือกคบเพื่อนก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราเกิดความสุขในที่ทำงานและประสบความสำเร็จในที่ทำงาน บางคนฆ่าตัวตายก็เนื่องมาจากเพื่อนให้คำปรึกษาที่ไม่ดี ไม่คอยเป็นกำลังใจให้ ไม่รับฟังปัญหา แต่คนที่เลือกคบเพื่อนที่ดีก็มักจะแก้ปัญหาและหาทางออกได้ดีกว่า
                3. ท่านไม่ได้ทำงานเพื่องาน แต่ท่านทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หากท่านทำงานเพื่องานท่านจะเกิดความสบายใจไม่เกิดอาการกดดัน แต่หากท่านมีความต้องการผลประโยชน์ส่วนตนแฝงท่านก็จะเกิดความเครียดหากว่าไม่ได้สิ่งเหล่านั้น เช่น ท่านทำงานเพื่อหวังตำแหน่ง หวังเงินเดือน โบนัสเพิ่ม แต่หากท่านไม่ได้ตามสิ่งที่หวัง ท่านก็จะไม่มีความสุขในการทำงาน แต่ในทางกลับกัน หากท่านทำงานเพื่อผู้อื่น ท่านก็จะได้รับความสุขในการทำงานมากขึ้น หากท่านเป็นนางพยาบาล มีผู้ป่วยมารักษา ท่านมีความคิดในการช่วยเหลือ อีกทั้งต้องการรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรค ท่านจะบริการด้วยความสุขใจที่ท่านได้ทำงานนี้
                4.ท่านต้องรักงานที่ท่านทำ การเลือกงานที่ท่านรักจะทำให้ท่านมีความสนุกในการทำงานมากกว่า การทำงานในสิ่งที่ท่านไม่รัก การรักงานที่ทำจะทำให้ท่านทำงานได้นานกว่าการทำงานตามปกติ หากท่านมีโอกาสเลือกงานได้ ท่านจงเลือกงานที่ท่านรัก แต่หากเลือกไม่ได้จริงๆ ก็ขอให้ท่านปรับความคิดเสียใหม่ คือ จงรักในงานที่ท่านทำ
                ท้ายนี้กระผมขอฝากแง่คิดไว้ว่า  ชั่วชีวิตของคนเราส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาในการทำงานมากกว่าใช้เวลากับสิ่งต่างๆ กล่าวคือ มากกว่าเวลาที่จะอยู่กับครอบครัว มากกว่าเวลากิน มากกว่าเวลานอน ดังนั้น หากว่าท่านไม่มีความสุขในการทำงาน ชีวิตของท่านก็จะเกิดความทุกข์ ฉะนั้นหากว่าท่านอยากมีความสุขในการทำงาน กระผมจึงอยากให้ท่านปรับทัศนคติเสียใหม่ , จงสร้างมิตรในที่ทำงานมากกว่าการสร้างศัตรู , จงทำงานเพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่นและจงเลือกทำงานในงานที่ท่านรัก ท่านก็จะเกิดความสุขในการทำงานได้อย่างแน่นอน


 

รู้จักตัวเอง วิเคราะห์ตัวเองเพื่ออนาคตการทำงานของตัวเอง

 

รู้จักตนเอง...เพื่ออนาคตการทำงานของตนเอง
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

          เด็กนักเรียน นิสิต นักศึกษา ควรทำการรู้จัก วิเคราะห์ตนเอง ว่าตนเองเป็นคนอย่างไร ชอบอะไร เพราะถ้าหากเรารู้จักตนเองดี ก็จะทำให้เราสามารถเลือกประกอบอาชีพที่ตนเอง มีความชอบ มีความถนัด มีความชำนาญได้ แต่ถ้าหากใครยังไม่รู้จักตนเอง ท่านสามารถวิเคราะห์ตัวท่านเองดังนี้
            1.ท่านทำอะไรแล้วมีความรู้สึกว่าดี ทั้งทางด้านอารมณ์ จิตใจ ความชอบ ความสนุกกับสิ่งๆนั้น
            2.ท่านเรียนรู้สิ่งใดได้อย่างรวดเร็ว เช่น บางคนเป็นนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เขาจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว จากการลองผิดลองถูก การศึกษาด้วยตนเอง การอ่านหนังสือ โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบังคับให้ทำ
            3.ท่านอยากทำสิ่งใดมากที่สุด หลายท่านชอบเล่นกีฬา หลายท่านชอบพูดและอยากเป็นวิทยากร จงค้นหาว่าตนเองอยากที่จะทำอะไรมากที่สุด
            4.อะไรที่ท่านทำแล้วได้ผลลัพธ์ออกมาดีและสม่ำเสมอ เช่น หลายคนชอบร้องเพลง แล้วออกมาดี จนมีคนฟังชื่นชอบ หากว่าท่านได้พัฒนาสิ่งนั้นต่อไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ท่านได้เปรียบมากกว่าคนที่ร้องเพลงไม่เป็น อีกทั้งในอนาคตท่านสามารถเป็นนักร้องได้อีกต่างหาก ซึ่งยุคสมัยนี้ นักร้องไม่จำเป็นต้องหล่อและสวยเหมือนในอดีต นักร้องหลายๆคนในต่างประเทศ ไม่หล่อไม่สวยแต่เป็นนักร้องได้ดีมีชื่อเสียง เงินทองอีกต่างหาก
            ทั้งนี้กระผมอยากให้ท่านทำการบ้าน โดยการนั่งเขียน นั่งวิเคราะห์ ว่าท่านเป็นคนอย่างไร โดยคำนึงถึงทั้ง 4 ปัจจัย ข้างต้นนี้ เช่น เมื่อท่านถ่ายรูปแล้วมีความรู้สึกที่ดี ท่านรักที่จะเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆในการถ่ายรูป ท่านอยากที่จะทำมันตลอดเวลา และ ผลลัพธ์จากการถ่ายรูปของท่านออกมาสวย เยี่ยมยอดอีกทั้งมีผู้คนขอซื้อภาพถ่ายต่างๆของท่าน ท่านก็สามารถพัฒนาตนเองให้เป็นนักถ่ายรูปอันดับต้นๆของเมืองไทยได้หรือเป็นวิทยากรฝึกอบรมทางด้านการถ่ายรูปหรือเป็นเจ้าของร้านขายกล้องถ่ายรูป ร้านอัดภาพ ได้ในอนาคต
            จงเลือกอาชีพ เพราะท่านมีใจรัก มากกว่าเลือกอาชีพ เพราะเงินหรือเลือกอาชีพเนื่องมาจากปัจจัยอื่นๆ


วิธีสร้างความสัมพันธ์ในการทำงาน

 

วิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน

โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com


          หากเรามีฐานะเป็นผู้บริหารหรือหัวหน้างานภายในองค์กร เรามีวิธีการอย่างไรถึงจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตัวเราเองกับลูกน้อง ซึ่งในตอนนี้ กระผมขอนำเสนอ 4 วิธี ดังนี้

            1.ชื่นชมลูกน้องบ้าง เมื่อมีโอกาส เมื่อลูกน้องทำความดี หรือมีผลงานเป็นที่ปรากฏ โดยหลักการชมลูกน้องที่ดี เราไม่ควรปล่อยเวลาให้นานจนเกินไป ควรชื่นชมในขณะที่เขาทำความดีหรือมีผลงานเป็นที่ปรากฏไม่นานนัก อีกทั้งเราควรชมต่อหน้าเพื่อนร่วมงานของเขา หรือหากมีการประชุม เราก็ควรหาโอกาสชื่นชมเขาต่อที่ประชุม และควรเก็บหลักฐานการทำความดีต่างๆ เพื่อนำมาเสนอในการประชุม เช่น การตัดข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ , หลักฐานการได้รับรางวัลต่างๆ เป็นต้น

            2. ควรมีการตักเตือนบ้าง เมื่อลูกน้องทำผิด เราในฐานะหัวหน้างานก็ควรที่จะว่ากล่าวตักเตือน ชี้แนะเพื่อให้เขาเกิดการปรับปรุงตัว แต่หลักการตักเตือนที่ดี เราไม่ควรตักเตือนเขาต่อหน้าที่สาธารณชน แต่เราควรเรียกเขามาตักเตือนภายในห้องทำงานของเรา สองต่อสอง เพราะจะไม่ทำให้ลูกน้องเสียหน้าหรือขายหน้า

            3.เมื่อเกิดมีการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่การงาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อลูกน้อง เราควรที่จะบอกกล่าวหรือให้ข้อมูลเขา เพื่อให้เขาได้เตรียมตัว หากจำเป็นเราก็ควรชี้แจ้งเหตุผลให้เขายอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงนั้น เช่น หากเขาถูกคำสั่งให้ย้ายงาน หรือ มีการสับเปลี่ยนหน้าที่

            4.กระตุ้นศักยภาพของลูกน้องออกมาอย่างเต็มที่ คนเราทุกๆคนมีศักยภาพในตัวมากมายแต่คนเราเกือบทุกๆคนใช้ ศักยภาพของตนเองน้อยมาก ดังนั้น หากเรามีโอกาสเราควรกระตุ้นหรือนำเสนอความสามารถที่ซ่อนเร้นของลูกน้องและไม่ควรกีดกันการแสดงศักยภาพของลูกน้องด้วยความอิจฉา ซึ่งความอิจฉานี้ สังคมไทยมีหัวหน้าหลายๆคนเป็นกันมาก กล่าวคือ ไม่อยากให้ลูกน้องของตนเอง โดดเด่นกว่าตน หรือ ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งแซงตนเอง

            หากว่าท่านเป็นผู้บริหารหรือหัวหน้างาน การนำหลักการ 4 ข้อ ข้างต้นไปใช้ กระผมเชื่อแน่ว่า ท่านจะสามารถได้หัวใจของลูกน้องไปครอบครองอย่างแน่นอน


วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ประสบความสำเร็จด้วย 5 ถึง

 


ประสบความสำเร็จในการทำงานด้วยหลัก 5 ถึง

โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com


          ในการทำงานเราสามารถที่จะสร้างทรัพย์สิน สร้างองค์กรให้ยิ่งใหญ่ได้ ก็ด้วยหลักการ 5 ถึง ซึ่งหลักการ 5 ถึง มีดังนี้

            1.เงินทุนถึง การที่จะประกอบธุรกิจต่างๆ เราจำเป็นจะต้องมีเงินทุน หากมีเงินทุนมากเราก็ย่อมมีโอกาสในการขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว เพราะการมีเงินทุนมาก เราสามารถใช้เงินทุนสำหรับการจ้างงาน , การสร้างสำนักงาน , การลงทุนซื้อที่ดิน ซื้อโรงงาน ซื้อเครื่องจักรต่างๆ เป็นต้น

            2.ฝีมือถึง คือ การที่จะประกอบธุรกิจอาชีพการทำงานต่างๆ จำเป็นจะต้องเป็นมืออาชีพในการบริหารงาน มีความสามารถในการนำทีม มีความสามารถในการตัดสินใจ แก้ไขปัญหาต่างๆ

            3.หัวใจถึง คือ มีความมั่นใจในตนเอง มีความกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ  เมื่อปัญหา มีอุปสรรคมากๆ ก็สามารถนิ่งได้ ไม่วิตกกังวลจนเสียสุขภาพจิต

            4.ทีมงานถึง คือ การทำงานใหญ่ได้ ท่านไม่สามารถทำคนเดียวได้ หากใครได้ดูภาพยนตร์เรื่อง สามก๊ก ก็จะเข้าใจ ในภาพยนตร์เชิงประวัติศาสตร์ของจีนเรื่อง สามก๊ก สื่อให้เราทราบว่า คนคือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด ก๊กใดมีทีมงานที่เก่ง ก๊กนั้นก็จะสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ได้

            5.วาสนาถึง คือ แข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งกันยาก บางคนบอกว่า “ เก่งไม่กลัวกลัวเฮง” เรื่องของดวง เรื่องของบุญวาสนา บางคนอาจจะไม่เชื่อ แต่หลายๆคนอาจเชื่อ

ฉะนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จ หลักข้อ 5 เกี่ยวกับเรื่องวาสนา เป็นเรื่องของนามธรรม เมื่อเทียบกับหลักการ 4 ข้อแรก ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปธรรมมากกว่า หากท่านเชื่อเรื่องของบุญวาสนา ท่านก็ไม่ควรละเลยการเติมบุญสำหรับวิธีการเติมบุญทางพุทธศาสนาท่านสามารถทำได้ เช่น การฟังธรรม การทำบุญตักบาตร การไปเวียนเทียน การบริจาค การให้อภัยซึ่งกันและกัน การทอดกฐิน การทอดผ้าป้า เป็นต้น


วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2567

วิธีทำงานในคนเกลียด

 

วิธีทำตนให้คนเกลียดในที่ทำงาน
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

 
          การทำงานภายในองค์กรเรามักจะต้องมีความสัมพันธ์กับบุคคลหลายๆฝ่าย ซึ่งเราสามารถแยกได้ดังนี้
          1.เจ้านาย นายจ้าง ผู้บริหาร
            2.บุคคลที่เสมอกัน หรือ เพื่อนร่วมงาน
            3.ลูกน้อง ลูกจ้าง
                        หากเราสังเกตเพื่อนร่วมงานหรือคนที่ทำงานในองค์กร บุคคลที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน มักจะเป็นที่ชื่นชอบของคนส่วนใหญ่ภายในองค์กรมากกว่าบุคคลที่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งบุคคลที่ไม่ประสบความสำเร็จมักมีพฤติกรรมที่ทำให้คนเกลียดดังนี้
-         การไม่ให้ความร่วมมือ บุคคลที่เป็นที่รังเกลียด มักเป็นบุคคลที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับคนภายในองค์กรหรือไม่ยอมทำตามนโยบายของบริษัท เช่น เขารณรงค์ให้ประหยัดไฟฟ้า น้ำประปา กลับไม่ช่วยองค์กรประหยัด , องค์กรขอความร่วมมือให้ใส่เสื้อสีเขียวทุกวันศุกร์ก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม เป็นต้น
-         คิดในแง่ลบ อยู่เสมอ บุคคลที่ทำงานแล้วคนเกลียดมักเป็นบุคคลที่มองโลกในแง่ลบ มักคิดกับผู้อื่นในแง่ร้าย ชอบนินทาว่าร้ายบุคคลอื่นๆ เขาจึงเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีเพื่อนที่สนิทมากนัก
-         ไม่รับผิดชอบงาน รับปากใครแล้วไม่ปฏิบัติตาม บุคคลที่ไม่มีความรับผิดชอบในการทำงาน มักทำงานไม่ทัน สาเหตุก็เนื่องมาจากการปล่อยงานค้างไว้เป็นจำนวนมากๆ  อีกทั้งรับปากใครแล้วไม่ยอมปฏิบัติคำพูดตามคำสัญญา
-         ขาดความกระตือรือร้น ในการทำงาน เฉื่อยชา ทำงานช้า ไม่ทันใจ อีกทั้งมีนิสัยดื้อดึง ใครพูดใครสอนอะไร มักไม่ยอมเชื่อ ไม่ยอมรับผิดเมื่อตัวเองทำงานผิดพลาด
-         ไม่มีความสุภาพ อ่อนโยน แข็งกระด้าง พูดจาก้าวร้าว คนที่มีนิสัยดังกล่าว มักจะไม่มีใครอยากเข้าใกล้
-         ไม่รักองค์กรที่ตนเองทำงาน บุคคลเหล่านี้มักโจมตีหน่วยงานที่ตนเองทำงานอยู่เป็นประจำ จึงเป็นที่น่ารังเกลียดของเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง
          ฉะนั้น หากว่าท่านมีพฤติกรรมดังกล่าวตามข้อความข้างต้นนี้ ขอให้ท่านจงลองที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อให้เป็นที่รักของคนในองค์กร


วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567

จินตนาการสู่ความสำเร็จของชีวิต

 

จินตนาการสู่ความสำเร็จ
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้”    อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ 
“ เพื่อที่จะคิดได้อย่างจะแจ้ง คนเราจะต้องจัดเวลาสักช่วงหนึ่ง เพื่ออยู่อย่างโดดเดี่ยวสำหรับครุ่นคิด และสร้างจินตนาการโดยไม่มีสิ่งกวนใจ  (โทมัส เอ.เอดิสัน)
บุคคลที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกมักมีจินตนาการเกือบด้วยกันทุกๆคน เพราะฉะนั้น จินตนาการจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในระดับสูง เพราะคนที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง มักคิดอะไรแปลก ทำอะไรแปลก พูดอะไรแปลก 
เพราะคนที่มีจินตนาการมัก มีความคิดที่ริเริ่มสร้างสรรค์ สิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ไม่ว่าในทางวรรณกรรม  สิ่งประดิษฐ์  ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ การเมือง ฯลฯ
ฮิตเล่อร์ มีการศึกษาน้อยนิด ไม่จบปริญญา แต่เขาก็สามารถเป็นผู้นำชาวเยอรมัน เขาสามารถพูดให้ชาวเยอรมันมานั่งฟังแบบมืดฟ้ามัวฝน แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ฮิตเล่อร์ เป็นคนที่มีจินตนาการอยู่ในระดับสูงนั้นเอง เพราะเคยปรากฏมีคนเห็นฮิตเล่อร์ ชอบเหม่อมองวิว ทิวทัศน์ ตามธรรมชาติ และมองท้องฟ้า เป็นเวลานานๆ  เขามักจินตนาการถึงการเมือง การพูด ในแบบของเขา
วินสตัน เชอร์ชิลล์ ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีจินตนาการ เขาเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเป็นคนติดอ่าง เขาเป็นนักพูดที่ใช้ไม่ได้ แต่หลังจากที่เขาใช้เวลาว่าง นึกฝัน ฝึกฝน จินตนาการว่าตนเองพูดให้สภาได้ดี จนในที่สุดเขาคือนักพูดที่ได้รับการยอมรับในประเทศอังกฤษและทั่วโลกเลยทีเดียว
อาจารย์ถวัลย์ ดัชนีและอาจารย์เฉลิมชัย  โฆษิตพิพัฒน์       นักวาดรูปที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ก่อนที่อาจารย์ทั้งสองจะวาดรูปออกมาได้ ท่านต้องใช้จินตนาการในการสร้างภาพให้เกิดขึ้นภายในใจก่อน แล้วจึงออกมาเป็นภาพ 
นักเขียนหลายท่าน ที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง มักมีจินตนาการทำให้ผู้อื่นสัมผัสได้ถึง การใช้สำนวนภาษา  รูป รส กลิ่น ซึ่งสัมผัสได้จากงานเขียนจนเป็นที่นิยมกันไปทั่วประเทศหรือทั่วโลก ไม่ว่า งานเขียนในเชิงนวนิยาย เรื่องสั้น การแต่งเพลง เป็นต้น 
มหาเศรษฐี หลายคนประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง ก็เนื่องมาจากคนเหล่านั้นมีจินตนาการ พวกเขาเหล่านี้มักสร้างภาพในจินตนาการว่า ตนเองมีคฤหาสน์หรูหรา  มีคนใช้คอยดูแลปรนนิบัติ นั่งรถราคาแพง พวกเขาเหล่านั้นมักจินตนาการทุกๆวัน วันละ 10-20 นาที ไม่ว่าในขณะอาบน้ำ ในขณะกำลังหลับ
โดยสรุป จินตนาการมีความสำคัญต่อบุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จ ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จในระดับสูง ท่านต้องเป็นคนที่มีจินตนาการ 
จิตนาการ จึงหมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตแต่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นภายในจิตใจก่อน แล้วภาพที่อยู่ภายในใจก็จะเกิดขึ้นจริงๆ ในอนาคต




ค้นให้พบโอกาสทองทีซุกซ่อนอยู่

 

ค้นให้พบโอกาสทองที่ซุกซ่อนอยู่
จงเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่จะมาถึง
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

                ในโลกนี้ เต็มไปด้วยโอกาส..... โอกาสที่จะสร้างความร่ำรวย โอกาสในการสร้างความสำเร็จ โอกาสในการสร้างความโด่งดัง ทุกสาขาอาชีพย่อมมีโอกาสทองซุกซ่อนอยู่
                สตีฟ จอบส์ สร้างโอกาสทองในการค้นพบสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ 
                สมคิด ลวางกูร สร้างโอกาสทองจากตัวหนังสือโดยการเขียนหนังสือ จนร่ำรวยมหาศาล
                เถ้าแก่น้อย(ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ) สร้างโอกาสความร่ำรวยมาจากสาหร่ายทะเล 
                ตันโออิชิ สร้างโอกาสร่ำรวยและชื่อเสียงมาจาก ชาเขียว
                อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ร่ำรวยมาจากงานศิลปะ งานวาดรูป 
                 บุคคลที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ มักเป็นบุคคลที่มีความคิดและได้ค้นพบโอกาสในการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างความร่ำรวย เพราะในทุกปัญหา ทุกวิกฤต ทุกความผิดพลาด ย่อมมีสิ่งที่ดีและโอกาสเสมอ
                ใครที่สามารถมองเห็นโอกาสในปัญหาได้ คนๆนั้นย่อมพบกับโอกาสในความก้าวหน้า ความร่ำรวย ชื่อเสียงต่างๆ จงค้นหาโอกาสโดยค้นหาอัจฉริยภาพในตัวคุณ ดังต่อไปนี้
                1.ความรัก ความชอบ คนที่ประสบความสำเร็จเป็นอันมาก มักทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก ตนเองชอบ แม้ว่าการทำงานนั้นจะไม่ได้รับค่าตอบแทนเลยแม้แต่บาทเดียวก็ตาม แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงทำมันต่อไปโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ
                2.จงค้นหาพรสวรรค์  ให้เจอ คนบางคนมีพรสวรรค์ ติดตัวมา มักจะทำอะไรได้ดีกว่าคนที่ไม่มีพรสวรรค์ เช่น บางคนวาดรูปเก่งมาก ในขณะที่คนส่วนมากพยายามเรียนวาดรูปโดยความพยายามอย่างไร แต่ก็ยังมีฝืมือเทียบกับคนที่มีพรสวรรค์ไม่ได้ จงค้นให้พบความสามารถ พรสวรรค์ในตัวของท่าน แล้วท่านจะค้นพบโอกาสทองต่างๆอีกมากมาย
 3.จงพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ โลกนี้เต็มไปด้วยโอกาส สำหรับบุคคลที่ต้องการมันอย่างแท้จริง สินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ ใหม่ๆ มักเกิดขึ้น จากความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของผู้คน หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการสินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการใหม่ๆ ท่านจงใช้และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้มากขึ้น ซึ่งความคิดสร้างสรรค์โดยส่วนตัวของผม มันไม่ใช่พรสวรรค์ แต่มันเป็นเรื่องของพรแสวง การได้รู้จักพัฒนาทักษะ การฝึกฝน เรียนรู้ คนทุกคนก็สามารถมีความคิดสร้างสรรค์ได้ หากท่านมีความต้องการมันอย่างแท้จริง 
 4.ไปอบรม ไปสัมมนาและงานแสดงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเรา การไปอบรม การไปสัมมนาและการไปงานแสดงต่างๆ ในวงการที่เราทำงานอยู่ จะทำให้เราได้รับความรู้ใหม่ๆ ข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ และที่สำคัญจะทำให้เราได้รับโอกาสใหม่ๆ ในการทำงานและการสร้างงาน  
 5.จงเป็นผู้ให้มากกว่าการเป็นผู้รับ เคล็ดลับของความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จบางท่านบอกไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย เพียงแต่เราต้องค้นให้พบว่าเรามีอะไรดีในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ สินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ ที่เรามีอยู่ แล้วส่งมอบสิ่งเหล่านั้นให้แก่โลก แล้วโลกก็จะตอบแทนเรา เช่น เราส่งมอบสินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ ที่ดีที่สุดให้แก่คนในโลก แล้วเขาก็จะตอบแทนเราด้วย เงิน ชื่อเสียง เกียรติยศ เป็นต้น
                สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น เป็น ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จใน การทำงาน การแสวงหาโอกาสที่ซุกซ่อนอยู่ เพื่อทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น กระผมขอยกตัวอย่างเพิ่มเติม เป็นตัวอย่างของนายสตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ซึ่งกระผมชื่นชอบบุคคลผู้นี้มาก 
 Steve Jobs ก่อตั้งบริษัท Apple ตั้งแต่ยังหนุ่ม ทั้ง ที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยและได้ลาออกมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างบริษัท Apple จนยิ่งใหญ่ จากการทำงานครั้งแรกที่โรงรถมากลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ และด้วยการเป็นนักที่สร้างโอกาสทอง เขาจึงได้คิดค้น สินค้าตระกูล I  เช่น IMac , IBook , IPod ,IPhone ,IPad ฯลฯ 
                การคิดค้นสินค้า บริการ ผลิตภัณฑ์ ก็เข้าหลักการข้างต้นที่กระผม กล่าวถึง คือ เขาทำมันด้วยความรัก ความชอบ , เขาทำมันด้วยความคิดที่สร้างสรรค์ , เขาทำมันด้วยความคิดที่จะเป็นผู้ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าหรือผู้บริโภค 
จงหาโอกาสให้พบแล้วและจงทำงานอย่างมีความสุขในโอกาสที่ค้นพบเหล่านั้น


คุณก็สามารถร่ำรวยได้

 คุณก็สามารถมั่งคั่งร่ำรวยได้

โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com


                คนธรรมดาโดยทั่วๆไปอย่างกระผมหรืออย่างท่านผู้อ่าน ก็สามารถร่ำรวยได้ ถ้าหากว่าเรามีเป้าหมาย เรามีการพัฒนาตนเองตลอดเวลา เรามีความขยันอดทน ดังตัวอย่างบุคคลที่ร่ำรวยที่กระผมจะยกตัวอย่างดังต่อไปนี้

-                    ลอร์ด ทอมป์สัน เชาได้ชื่อว่าเป็น ราชาในวงการหนังสือพิมพ์คนหนึ่งของโลก เขาเป็นเจ้าของ

นิตยสารจำนวน 138 ฉบับ เจ้าของหนังสือพิมพ์อีก 183 ฉบับ ซึ่งหนังสือพิมพ์ของเขามีขายไปทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยของเรา

                ลอร์ด ทอมป์สัน เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 82 ปี ทิ้งมรดกให้แก่ลูกหลานจำนวน 6,000 ล้านบาท หลายคนคงคิดว่าเขาร่ำรวยมาแต่เกิดหรือไม่  คำตอบคือ เปล่าเลยครับ  ภรรยาของเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า ตอนที่แต่งงานกับลอร์ด ทอมส์สัน ใหม่ๆ ค่านมค่าอาหารที่ทานทุกๆวัน แทบไม่มีจ่าย แต่เขาดันเพ้อฝันและบอกภรรยาว่า “ สักวันหนึ่ง ฉันจะเป็นเศรษฐี” ภรรยาของเขาก็หัวเราะ

                เขาเริ่มต้นทำธุรกิจเมื่ออายุได้ 40 ปี โดยการยืมเงินเพื่อนฝูง งานแรกของเขาคือ เขาจัดรายการทางวิทยุและทำงานด้านหนังสือพิมพ์ควบคู่กันไปด้วย โดยเขาใช้เวลาอยู่ในวงการถึง 40 ปี ในที่สุดเมื่อปี ค.ศ.1967 เขาลงทุนซื้อ ธุรกิจหนังสือพิมพ์ลอนดอนไทม์ซึ่งขณะนั้นใกล้ที่จะล้มละลาย เพราะมีปัญหาเรื่องของการบริหาร มีการขาดทุนจำนวนมากมายมหาศาล แต่เขากลับกล้าที่จะเสี่ยงลงทุน เขาบริหารจัดการจนหนังสือพิมพ์ลอนดอนไทม์ กลับมามีกำไรอีกครั้ง จนทำให้เขามีชื่อเสียงและวงการสื่อสารมวลชนยอมรับความสามารถในตัวเขา ซึ่งเขาบอกเคล็ดลับที่ประสบความสำเร็จของเขาให้แก่คนรุ่นหลังว่า “ จงทำงานอย่างหนักและมีความละเอียดรอบคอบในการบริหารนี่คือปัจจัยในการนำไปสู่ความสำเร็จของเขา”

-                    ริชาร์ด แบรนสัน พ่อมดแห่งโลกธุรกิจ เจ้าพ่อแห่งอาณาจักรเวอร์จิ้น เขาใช้ชีวิตแบบไม่ธรรมดา

เมื่ออายุเพียง 16 ปี ก็ลาออกจากชีวิตการเป็นนักเรียน เพื่อออกมาทำหนังสือ Student แล้วจึงมาตั้งบริษัท Virgin Galactic ซึ่งปัจจุบันเขาได้ทำธุรกิจมากมาย เช่น ธุรกิจชุดเจ้าสาว น้ำอัดลม เครื่องสำอาง ถุงยาง โรงแรม รถไฟ มือถือ สายการบิน ธุรกิจการเงิน และทัวร์อวกาศ ฯลฯ

                ริชาร์ด แบรนสัน เกิดในครอบครัวคนชั้นกลาง โดยส่วนตัวเขาแล้ว เขาเป็นนักคิดสร้างสรรค์ซึ่งชอบทำอะไรแปลกๆใหม่ๆตลอดเวลา เขาชอบคิดนอกกรอบ อีกทั้งมีความเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง  

                 เช่น บริษัทอื่นๆต้องจ้าง บริษัทโฆษณา บริษัทประชาสัมพันธ์ เพื่อจัดกิจกรรมทางด้านการตลาด ซึ่งต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากมายมหาศาล แต่เขากลับใช้วิธี การทำลายสถิติโลก ด้วยการขึ้นบอลลูนและการแล่นเรือ เพื่อโปรโมทองค์กรของเขาแทน อีกทั้งมีการประชาสัมพันธ์ตนเองด้วยการแสดงภาพยนตร์ เรื่อง “ เจมส์บอนด์ ” ซึ่งทำให้คนรู้จักเขาไปทั่วโลก และเขายังบริจาคเงินจำนวน 3,000 ล้านเหรียญเพื่อช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน และสร้างโรงเรียนในประเทศแอฟริกาใต้ พร้อมทั้งอนุญาตให้เอาชื่อของเขาเป็นชื่อโรงเรียน พิธีเปิดโรงเรียน เขาประทับรอยเท้าที่ Branson School of  Entrepreneurship จนหลายคนยกย่องให้เขาเป็น “นักประชาสัมพันธ์ชั้นยอด”

                นี่คือตัวอย่างเพียงแค่ 2 ตัวอย่างของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ และยังมีบุคคลที่ประสบความสำเร็จอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราสามารถนำเอามาเป็นแบบอย่าง และท่านผู้อ่านสามารถหาซื้อหนังสือต่างๆ ณ ร้านขายหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ เพราะการอ่านประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ จะทำให้ท่านเกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น




วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ตั้งเป้าหมายสู่ความสำเร็จในชีวิต

ตั้งเป้าหมายในชีวิต...สู่ความสำเร็จ
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

ชาวประมงเดินเรือยังต้องมีเข็มทิศ คุณจะดำเนินชีวิตคุณจำเป็นจะต้องมีเป้าหมาย
เป้าหมายมีความสำคัญมากในการดำเนินชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น มีความแตกต่างกันหลายประการ แต่สิ่งหนึ่งที่คนประสบความสำเร็จมีเหมือนกันเกือบทุกคนนั้นก็คือ “ เป้าหมาย”
จากงานวิจัยของนักวิชาการชาวสหรัฐหลายท่าน ได้ระบุตรงกันว่า การที่คนจำนวน 90-95 เปอร์เซ็นต์ มีความล้มเหลวในชีวิตเนื่องจาก การไม่มีเป้าหมายในชีวิตนั้นเอง แต่ตรงกันข้ามกับคนจำนวนเพียงแค่ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ที่ประสบความสำเร็จ ก็เนื่องจากบุคคลเหล่านี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าตนเองมีความต้องการอะไร อีกทั้งยังมีแผนการที่แน่นอนในการทำงาน
จากงานวิจัยยังระบุเพิ่มเติมว่า จำนวนคนที่ล้มเหลว 90-95 เปอร์เซ็นต์ นั้นมักไม่ผูกพันกับงานที่ตนเองทำหรือทำงานที่ตนเองไม่ชอบ แต่ในขณะที่คนจำนวน 5-10 เปอร์เซ็นต์ มักผูกพันในงานที่ตนเองทำหรือทำงานที่ตนเองชอบที่สุด 
จากงานวิจัยข้างต้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียใจ ที่คนส่วนใหญ่ในโลก ใช้ชีวิตโดยปราศจากเป้าหมายชีวิต อีกทั้งยังไม่มีความสุขในการทำงานเนื่องจาก คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานในงานที่ตนเองรัก
สำหรับหลายท่านมีเป้าหมายในชีวิตแล้ว แต่ทำไมไม่มีพลังในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายในชีวิต จากการอ่านค้นคว้าและศึกษา ของกระผม ได้ข้อสรุปดังนี้ 
1.ท่านขาดความจริงจัง ท่านขาดการหมกมุ่น ท่านขาดความปรารถนาอย่างแรงกล้าในเป้าหมายที่ท่านวางไว้
2.ท่านขาดความถี่ในการคิดหรือฝันในเป้าหมายของท่าน จงคิดและฝันทุกๆวันและบ่อยๆ
3.ท่านขาดการเขียนมันออกมาให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น จงเขียนลงในกระดาษ จงสร้างภาพฝันโดยการ หารูป บุคคลหรือสิ่งที่ท่านต้องการเป็นมาติดตามผนังบ้าน ประตู เพื่อย้ำความทรงจำ
4.ความฝันหรือเป้าหมายของท่านเล็กเกินไป การตั้งเป้าหมายเล็กเกินไป ทำให้ท่านไม่อยากที่จะลงมือทำ เช่น ตั้งเป้าหมายว่าอยากมีเงิน 100,000 บาท กับตั้งเป้าหมายว่าอยากมีเงิน 1,000,000 บาท ทำให้ความตั้งใจและการมีพลังในการทำต่างกัน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องตั้งเป้าหมายให้ใหญ่มากๆ เช่น ตั้งเป้าหมายว่าอยากได้เงิน 100,000,000 บาท อย่างนี้อาจทำให้ท่านหมดกำลังใจ เลิกทำแล้วทำให้ไม่ประสบความสำเร็จได้
5.ท่านขาดความเชื่อมั่นในตนเองหรือคิดว่าท่านทำไม่ได้ การคิดลบมักทำให้หมดพลัง แต่การคิดบวก ว่าตนเองทำได้ ทำให้เกิดพลัง จงคิดบวกบ่อยๆและสม่ำเสมอ
6.ท่านจะต้องประกาศให้คนอื่นๆได้รู้ถึงเป้าหมาย ถึงความฝันของท่าน จงกล้าที่จะประกาศ เพราะ การกล้าที่จะประกาศจะทำให้มีคนค่อยเตือนท่าน หรือ หากท่านทำไม่ได้ท่านก็จะอาย ท่านจะเกิดพลังเพิ่มมากขึ้น
ทั้ง 6 ประการข้างต้น จึงเป็นเทคนิคที่ทำให้ท่านเกิดพลังขึ้นในการทำงานเพื่อไปสู่เป้าหมายชีวิต จงลงมือปฏิบัติแล้วท่านจะเห็นผลที่เกิดขึ้น 


 

สร้างพลัง ปลุกพลัง สร้างไฟ ในตัวคุณเอง

 


การสร้างพลัง ปลุกพลัง สร้างไฟในตัวคุณ 
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

                การสร้างพลังหรือการสร้าง Energy เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง สำหรับบุคคลที่ปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ เพราะ หลายๆคนเมื่อทำงานไปก็รู้สึก อ่อนล้า เบื่อหน่าย หมดพลัง บางคนถึงกับท้อแท้ท้อถอย แล้วลาออกจากงานไปเลยก็มี
                สำหรับคำว่า Energy นี้ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ แปลว่า “ ความไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก” แต่สำหรับกระผมขอแปลว่า “ พลังในตัวเราเอง ” ซึ่งการสร้างพลังในตัวเราเอง สามารถสร้างได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น
                1.สร้างโดยผ่านทางความคิด คนเราที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง มักมีพลังความคิดที่ดี เช่น พลังในการคิดบวก , พลังในการคิดสร้างสรรค์ , พลังในการคิดเชิงวิเคราะห์ในการแก้ไขปัญหา , พลังในการคิดเชิงกลยุทธ์ , พลังในการคิดเชิงวิพากษ์ ฯลฯ
                2.สร้างโดยผ่านทางการกระทำ บุคคลที่ประสบความสำเร็จ ถ้าหากพวกเราลองสังเกตดู เขามักจะเป็นคนที่เคลื่อนไหวแบบกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง ว่องไว เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าที่จะแสดงออก กล้าที่จะตัดสินใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม  ฯลฯ
                3.สร้างโดยผ่านการพูด คนที่มีพลังในตัวเองสูง มักเป็นคนที่พูดบวก การพูดของเขาจะเต็มไปด้วยความมั่นใจ พูดชัดถ้อยชัดคำ แต่ละคำพูดมักมีพลัง ดังเราจะสังเกตเห็นได้ชัดๆ จากการพูดต่อหน้าที่ชุมชนของเขา เขาจะแสดงออกอย่างเต็มเสียง เต็มอารมณ์และเต็มอาการ
                4.สร้างโดยผ่านการให้กำลังใจตนเอง ผู้ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่มีกำลังใจในตนเองสูง กล้าที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปหรือทำในสิ่งที่คนทั่วไปมักจะไม่กล้าทำ ซึ่งการจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ กำลังใจเป็นสิ่งที่จะต้องมี เพราะการกระทำบางอย่าง อาจถูกดูถูกจากคนทั่วไป โดนต่อว่า นินทา ให้ร้าย แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักมีกำลังใจที่มั่นคง หนักแน่น
                5.สร้างโดยผ่านการจินตนาการ จินตนาการเป็นนามธรรม ไม่สามารถจับต้องได้ แต่มีความสำคัญเป็นอันมาก หากท่านได้อ่านประวัติบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของโลก เขาเหล่านั้นมักมีความเป็นศิลปิน อีกทั้งชอบจินตนาการสิ่งต่างๆ เช่น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เขามักนั่งจินตนาการอยู่ที่ขอบหน้าต่างเป็นเวลานาน ซึ่งจินตนาการส่วนใหญ่ของเขามักจะเกี่ยวกับเรื่องของการพูด การปกครอง ในประเทศเยอรมัน , อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” เขามักจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องของตัวเลข คณิตศาสตร์ เป็นต้น
                6.สร้างโดยผ่านพลังแห่งความเชื่อ “ หากท่านเชื่อว่าท่านทำได้ ท่านก็จะทำได้” เป็นวลีคำพูดประโยคทองของ นโปเลียน ฮิลล์ ซึ่งได้มีการอ้างอิงไปทั่วโลก เขาเป็นที่ปรึกษาของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐหลายท่าน ความเชื่อ ความศรัทธาทำให้เกิดพลังในตัวเราขึ้นมาอย่างมากมาย เช่นความเชื่อในหลักศาสนา , ความเชื่อในคำสอนของศาสดา  , ความเชื่อในพระเจ้า , ความเชื่อในสิ่งศักดิ์ ฯลฯ
                7.สร้างโดยผ่านพลังของแรงดึงดูด มีหนังสือหลายเล่มได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องความดึงดูด ซึ่งมีหลักว่า หากว่าเราคิดเรื่องบวกเรื่องที่ดีๆ สิ่งที่ดีๆก็จะดึงดูดเข้ามาหาเรา แต่ตรงกันข้ามหากว่าเราคิดแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องลบ ซึ่งร้ายๆก็จะเข้ามาหาเรา ฉะนั้น จงพูดดี ทำดี คิดดี แล้วชีวิตของท่านก็จะดีตามไปด้วย อีกทั้งยังก่อให้เกิดพลังแก่ตัวท่านเองด้วย
                จากข้อความข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าเทคนิคในการสร้างพลังในตัวเรา มีหลายวิธี ทั้งนี้ คงขึ้นอยู่กับการปรับใช้ การประยุกต์ใช้ และความชอบของแต่ละบุคคล  ถ้าท่านต้องการเปลี่ยนแปลง ท่านคงต้องลงทุน ในการศึกษาเพิ่มเติม อีกทั้งต้องลงมือกระทำอย่างจริงจัง เพราะ ถ้าหากท่านอ่านแล้วไม่ได้ลงมือทำ ท่านก็จะได้แค่รู้ แต่หากท่านได้อ่านแล้ว ท่านได้นำไปลงมือทำอย่างจริงจัง ผลลัพธ์ก็คือความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับตัวของท่านเอง
                “ ขอให้ท่านเชื่อว่า ท่านสามารถประสบความสำเร็จ  ท่านก็จะประสบความสำเร็จ”


 


ใจสู้ ใจทน มันสู้ตาย

 


ใจมีฝัน ใจมีหวัง ใจยังสู้....ดังนั้นมันจึงสู้ตาย

โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com


                “ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา           โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ” เนื้อหาบางตอนของเนื้อเพลง “ ศรัทธา ”  ของวงหินเหล็กไฟ ยังก้องอยู่ในหัวใจของกระผม เมื่อกระผมรู้สึก ท้อแท้ หมดกำลังใจในบางช่วงของชีวิต

                หลายๆคนมีความฝัน แต่คนที่มีความฝันส่วนใหญ่มักไปไม่ถึงความฝัน ก็เนื่องมาจากหลายสาเหตุคือ

                1.บางคนเป็นคนไม่มีเป้าหมายของชีวิต การมีเป้าหมายในชีวิตเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เป้าหมายในชีวิตจะทำให้เราสามารถกำหนดทิศทางในชีวิตของเราได้ ว่าเราต้องการอะไรอย่างแท้จริง

                2.บางคนไม่มีวิธีการที่จะนำไปสู่ความฝัน เมื่อมีเป้าหมายในชีวิตแล้ว การวางแผน การกำหนดวิธีการเป็นขั้นเป็นตอน มีความสำคัญมากเพราะจะทำให้เราใช้เวลาในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน ปี ตามเป้าหมายที่เราวางเอาไว้ ไม่ออกนอกลู่นอกทาง

                3.บางคนไม่มีความหวังและไม่มีความศรัทธาในตนเอง หลายคนไม่มีความศรัทธาในตนเอง คิดว่าตนเองทำไม่ได้ คิดว่าตนเองเป็นเด็กต่างจังหวัดสู้เด็กกรุงเทพฯไม่ได้ หลายคนคิดว่าไม่ได้เรียนมาสูง หลายคนคิดว่าไม่มีทุน แต่ความจริงสิ่งต่างๆนั้น เป็นข้ออ้างทั้งนั้น เมื่อเรามีเป้าหมาย เรามีการวางแผนแล้ว เราจะต้องมีความเชื่อมั่นว่าเราทำได้

                4.บางคนไม่ยอมที่จะต่อสู้เพื่อได้ฝันนั้น หลายคนเมื่อมีปัญหา มักจะจดจ่ออยู่กับปัญหาหรืออุปสรรคเป็นเวลานานๆ  จนทำให้ตนเอง หมดกำลังใจหรือหมดพลังไป คนเราเกิดมาทุกคนย่อมมีปัญหา แต่อาจมีความแตกต่างในเรื่องที่ประสบพบเจอ ทั้งนี้คนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะอดทน ต่อสู้ กับปัญหาต่างๆที่เขาได้เจอ

                5.บางคนเมื่อมีฝันแล้วไม่ยอมที่จะลงทุน หลายคนมีความฝันแต่ไม่กล้าที่จะลงทุน ความฝัน เป้าหมายในชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ หากคุณต้องการ คุณต้องยอมที่จะลงทุน ลงแรง เช่น คุณจะต้องย่อมลงทุนที่จะพัฒนาตนเอง คุณจะต้องย่อมลงทุนในการอ่านหนังสือ ฟังวิชาการ ไปอบรม คุณจะต้องยอมลงทุนในการทำมันสร้างมันให้เกิดขึ้น คุณจะต้องยอมลงทุนกับการเสียเวลาไปกับมัน

                สำหรับวิธีการที่จะนำเราไปสู่ความฝันให้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ท่านสามารถทำได้ดังนี้

                1.แสวงหาบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวคุณเอง  บางคนอยากเป็นนักร้องอย่างพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ คุณก็สามารถทำได้โดยการศึกษาวิธีการ ประวัติชีวิตของพี่เบิร์ด แล้วนำเอาเทคนิคต่างๆ ของพี่เบิร์ด มาใช้ , บางคนอยากจะเป็นนักเขียน ก็ลองค้นหาดูว่า ท่านชอบวิธีการเขียน ของใคร แล้ว นำแนวทางการเขียนของเขามาเป็นแบบอย่าง

                2.ฝึกพูดให้กำลังใจกับตัวเองในทุกๆวัน และทุกๆโอกาส เช่น ฉันทำได้ , ฉันเก่งที่สุด , ฉันมีความเชื่อมั่น, ฉันเต็มทีกับเป้าหมาย, ฉันยอดเยี่ยม ฯลฯ การพูดให้กำลังใจกับตัวเองทุกๆวัน จะทำให้ท่านเกิดพลังในการต่อสู้กับเหตุการณ์ต่างๆ

                3.ฝึกเดิน ฝึกท่าทาง เลียนแบบผู้ที่ประสบความสำเร็จ หากท่านลองสังเกตดูบุคคลที่ประสบความสำเร็จมักมีท่าทางที่กระตือรือร้น กระฉับกระเฉง ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูแล้วมีพลัง ตรงกันข้ามกับบุคคลธรรมดาโดยทั่วไป มักมีท่าทาง ที่ไม่กระตือรือร้น เดินช้า ไม่มีความกระฉับกระเฉง ดังนั้น หากว่าคุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จ ท่านควรถอดแบบท่าทางการเดิน การยืน การพูดของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ  เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับตัวของคุณเอง

                4.ฝึกคิดในแง่ดี แง่บวก ให้มากขึ้น หลายๆคน มีความคิดที่ลบอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตนเองไม่เกิดความเชื่อมั่น และไม่กล้าที่จะสร้างสรรค์งานแปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้น บุคคลที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ เขาจะมีความคิดที่บวกมากกว่าความคิดในเชิงลบ

                5.ฝึกฟังเพลง อ่านหนังสือ ฟังเทป ฟังการพูด ที่เกี่ยวข้องกับการให้กำลังใจ ให้แง่คิด ซึ่งจะทำให้เราเกิดพลังในตนเองขึ้นมา เช่น ฟังเพลง ขออย่ายอมแพ้ ,  รางวัลแด่คนช่างฝัน , กำลังใจ , ฝันมีชีวิต , ความฝันอันสูงสุด หรือ ฟังเทปวิชาการของบันดาลนักพูดที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตในระดับที่สูง  เป็นต้น

                หากท่านมีความฝัน ท่านจำเป็นจะต้องมีความหวัง ท่านจำเป็นจะต้องต่อสู้ เพื่อไปให้ถึงฝัน สุดท้ายนี้กระผมเชื่อว่า ท่านทำได้อย่างแน่นอน ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในชีวิตและไปให้ถึงฝั่งฝันทุกๆคนครับ


ก้าวคลานไปให้ถึงจุดสุดยอด

 


ก้าวเดินคลานไปให้ถึงจุดสุดยอดของชีวิต

โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com


วิลเลี่ยม เจมส์ นักจิตวิทยาชื่อดังของสหรัฐ กล่าวว่า “ คนโดยทั่วไปใช้ศักยภาพอันโดดเด่นของตนเองเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”

นั่นหมายความว่า คนเราส่วนใหญ่ใช้ความสามารถ ใช้ขุมทรัพย์ที่มีอยู่ในร่างกายและจิตใจของเรา เพียงน้อยนิด แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะเรียกใช้ ศักยภาพในตัวของเราให้มากยิ่งขึ้น คำตอบก็คือ ท่านสามารถเรียกใช้ศักยภาพของตนเองให้มากขึ้นด้วยเทคนิคดังนี้

1.ท่านจะต้องรู้จักตั้งเป้าหมายชีวิต เป้าหมายชีวิตมีความสำคัญมาก คนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตเปรียบเสมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ เรือลำนั้นก็มักจะลอยอยู่กลางทะเล มักไปไม่ถึงฝั่ง การตั้งเป้าหมายชีวิตจะทำให้เรานำศักยภาพมาใช้ได้มากยิ่งขึ้น เช่น ผู้นำในประวัติศาสตร์โลกในหลายประเทศ บางท่านตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดี จึงทำให้เขาเหล่านั้นพัฒนาตนเองในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพูด การเขียน การพัฒนาบุคลิกภาพ การพัฒนาความคิดการศึกษาหาความรู้จากการฟัง การอ่านหนังสือต่างๆ เป็นต้น

2.ท่านจะต้องปลุกตัวเองให้มีความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายให้เคลื่อนไหวร่างกายให้เร็วขึ้น ฝึกพัฒนาความคิด ฝึกการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนมีชีวิตชีวา ฝึกยิ้มเยอะๆ ยิ้มเก่งๆ ฝึกทำงานด้วยความกระฉับกระเฉง

3.ท่านจะต้องกล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดหรือกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงจัง หากว่าท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าจะลดน้ำหนัก ท่านจะสามารถลดน้ำหนักได้ การตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังหมายถึง การตัดสิ่งที่คุณสนใจอย่างอื่นๆทิ้งให้หมด ให้เหลืออยู่เฉพาะสิ่งที่คุณสนใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงจังเท่านั้น

4.ท่านจะต้องมีการวางแผนที่ดี แฟรงค์ เบทเจอร์ นักขายประกันชีวิตแนวหน้าของอเมริกา เขาได้เตรียมแผนการหรือวางแผนการทำงานตอนกลางคืนว่าจะทำอะไร จะติดต่อใคร แล้วก็ออกไปทำงานตามแผนการที่วางเอาไว้ในตอนเช้า

5.ท่านจะต้องหาบุคคลที่เป็นต้นแบบ หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จด้านใด ท่านควรหาต้นแบบและทำการศึกษาประวัติ เทคนิค วิธีการต่างๆ ที่เขาใช้ แล้วท่านลองทำตาม ท่านก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

6.ท่านจะต้องฝันหรือจินตนาการ สิ่งที่ท่านต้องการที่จะประสบความสำเร็จในทุกๆวัน การจินตนาการจะดึงดูดสิ่งที่ท่านปรารถนาเข้ามาในชีวิต เคยมีการทดลองในสหรัฐอเมริกา โดยเอานักบาสเกตบอลมา 3 คน คนแรกให้ซ้อมตามปกติ คนที่สองไม่ให้ซ้อมและคนที่สาม ให้ฝึกซ้อมในจินตนาการ โดยมีการกำหนดเวลาทดลอง 2 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า คนที่หนึ่งกับคนที่สาม ทำคะแนนได้ใกล้เคียงกัน ส่วนคนที่สอง คะแนนแย่ลงกว่าเดิมมาก ดังนั้น ท่านจึงควรฝึกจินตนาการให้บ่อยๆ

7.ท่านจะต้องฝึกพูด ฝึกให้กำลังใจตนเอง ในแง่บวกอยู่เสมอ การฝึกพูดในแง่บวกกับตนเองจะเป็นการโปรแกรมสิ่งต่างๆ ที่เราพูดลงไปในสมอง เช่น ฉันทำได้ , ฉันมีพลัง , ฉันเก่ง , ฉันสุดยอด , ฉันยอดเยี่ยม ฯลฯ เมื่อท่านฝึกพูดกับตัวเองบ่อยๆ ด้วยเสียงที่ดังๆกับตัวเอง จะทำให้ท่านเกิดความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น

ปัจจัยข้างต้นเหล่านี้ เป็นปัจจัยบางส่วนที่ทำให้ท่านดึงศักยภาพของตนเองออกมาใช้และเกิดการพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ อย่ามัวแต่อ่าน แต่ขอให้จงลงมือทำอย่างจริงจัง เมื่อเวลาผ่านไป ท่านก็จะพบว่าตนเอง ก้าวมาได้ไกลมากแล้ว จงฝึกฝน ฝึกฝนและฝึกฝน อย่างต่อเนื่องแล้วท่านจะยืนอยู่บนจุดสุดยอดของชีวิตของท่าน


วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2567

สู่เส้นทางความสำเร็จ มากพ นานพอ

 

สู่ความสำเร็จ...ด้วยความสม่ำเสมอ มากพอ นานพอ
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com

เคยมีคนไปถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บุคคลที่โลกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะว่า คนที่ประสบความสำเร็จเขามีสูตรอย่างไรในการทำงาน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ให้ข้อแนะนำมา 3 ข้อ สั้นๆคือ “ สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ” ซึ่งกระผมขอขยายความดังนี้
สม่ำเสมอ คือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าอาชีพอะไร เขาจะทำงานด้วยความสม่ำเสมอ ไม่หยุดยั้ง แม้ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง แดดจะร้อนสักเพียงใด เขาจะไม่หยุดทำงาน แต่ในทางตรงกันข้าม เขาจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน คนที่มีความสม่ำเสมอ มักถือว่าเป็นบุคคลที่มีความขยันขันแข็ง เขาจะทำงานจนวันสุดท้ายและท้ายสุดของชีวิตเลยทีเดียว
มากพอ คือ เขาจะมีการตั้งเป้าหมายในการทำงาน เช่น งานเขียนหากตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเขียนให้ได้เพียงวันละ 1 หน้า กับอีกคนตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเขียนให้ได้วันละ 5 หน้า เวลาผ่านไป 1 เดือน สรุปคนแรกเขียนได้ 30 หน้า กับอีกคนเขียนได้ 120 หน้า ท่านคิดว่า ใครจะมีโอกาสเป็นนักเขียนที่เก่งกว่ากันครับ แน่นอนครับคนที่สอง เพราะเขาทำสิ่งนั้น “มากพอ” ครับ
นานพอ คือ คนที่ประสบความสำเร็จมักทำงานในอาชีพที่เขารัก นานพอ ไม่ใช่ทำแค่ วันสองวันถอดใจเสียแล้ว หรือทำแค่ 1 เดือน ก็หยุดทำอย่างนี้คงประสบความสำเร็จได้ยาก แต่คนที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงสุด เขาจะทำงานนั้น ตลอดชีวิตของเขา จนกระทั่งลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ดังนั้น การทำงาน ด้วยความสม่ำเสมอ  มากพอ และนานพอ เป็นแง่คิดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งท่านได้เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่หลักการดังกล่าวยังคงใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย 


วิธีปลดล็อคและสร้างศักยภาพในตัวคุณ

 

วิธีปลุกและปลดล็อคศักยภาพในตัวคุณ

โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

 

 มนุษย์เราเกิดมาบนโลกนี้มีร่างกายเหมือนกัน ยกเว้นคนพิการ แต่มนุษย์เรามีศักยภาพไม่เหมือนกัน คนพิการบางคนมีศักยภาพมากยิ่งกว่าคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ก็มีให้เห็นมาแล้ว   อะไรเป็นตัวกำหนดให้มนุษย์เรา  เกิดการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง เพราะหากว่าเราทราบ  เราก็จะสามารถปลุกมันออกมาใช้งานได้

                ก่อนอื่นเรามาดูความหมายของคำว่า ศักยภาพ กันก่อน ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคำว่า ศักยภาพ คือ ภาวะแฝง,อำนาจหรือคุณสมบัติที่มีแฝงอยู่ในสิ่งต่างๆ อาจทำให้พัฒนาหรือให้ปรากฏเป็นสิ่งที่ประจักษ์ได้ เช่น เขามีศักยภาพในการทำงานสูง น้ำตกขนาดใหญ่มีศักยภาพในการให้พลังงานได้มาก เป็นต้น

                มนุษย์มีพลังแฝงกันทุกๆคน แต่คนส่วนใหญ่ในโลกน้อยคนนักที่จะปลุกมันออกมาใช้งาน หรือสร้างมันขึ้นมา ตรงกันข้ามคนที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่ปลุกพลังแฝงออกมาใช้งาน ในตอนนี้เราจะมาเรียนรู้ หลักการเพื่อที่จะได้นำเอาไปปฏิบัติ หลักการบางประการที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในการปลุกศักยภาพมีดังนี้

 1.จงสร้างเป้าหมายขึ้นมาในชีวิต คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ มักดำเนินชีวิตไปตามเวรตามกรรม ไม่ทราบว่าตนเองต้องการอะไร ตนเองชอบอะไร ตนเองเกิดมาเพื่อที่จะทำสิ่งใด หรือ ไม่ทราบว่าตนเองทำสิ่งนั้นแล้วเกิดความสุขมากที่สุดในชีวิต แต่มนุษย์เราในโลกนี้ กลับดำเนินชีวิตอย่างไม่ค่อยมีความสุข เรามักจะเห็นคนจำนวนมากพร่ำบ่นถึงเรื่องงานที่หนัก เครียด เบื่อ อยากที่จะเปลี่ยนงาน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น คือ เราไม่มีเป้าหมายในชีวิต เราไม่รู้ว่าทิศทางของชีวิตจะไปหนทางไหน เปรียบเสมือน เรือที่ลอยอยู่กลางทะเล ไม่มีเป้าหมายว่าจะไปทิศทางไหน ดังนั้น หากท่านต้องการเพิ่มศักยภาพในตัวท่าน กระผมขอให้ท่านจงเริ่มกำหนด เป้าหมายของชีวิตไว้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จงหาเป้าหมายที่ท่านต้องการจริงๆในชีวิต จงหาความต้องการที่แท้จริงของตนเอง

                2.จงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า มีคนหลายคนเคยถามกระผมว่า เขาก็มีเป้าหมายในชีวิตแล้ว แต่ทำไม ถึงไม่ประสบความสำเร็จ ผมก็ตอบเขาไปว่า คุณขาดความปรารถนาอย่างแรงกล้าเพราะหากท่านมีความต้องการอยากจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้จริงๆ ท่านก็จะคิดถึงมันตลอดเวลา ท่านจะฝันถึงมันตลอดเวลา ท่านก็จะหาวิธีการใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ตนเองได้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้  ผมขอเปรียบเทียบ หากว่าท่านต้องการที่จะขับรถจากกรุงเทพไปภูเก็ตในเวลากลางคืน ท่านไม่เห็นภูเก็ต แต่ไฟด้านหน้ารถส่องไปได้แค่ไม่เกิน 200 เมตร แต่เป้าหมายของท่านคือภูเก็ต ท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปภูเก็ตให้ได้ รถก็จะพาท่านเคลื่อนไปจนถึงภูเก็ตในที่สุด  ดังนั้น หากท่านต้องการไปถึงเป้าหมายจงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อเป้าหมายที่ได้วางไว้ จงหมกมุ่นต่อเป้าหมายนั้น

 3.ปลุกพลังในตัวคุณอยู่ตลอดเวลา หลายคนมีเป้าหมาย มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าแล้ว แต่เมื่อลงมือทำงานเพื่อไปตามความฝันตนเอง เวลาเกิดปัญหา เกิดอุปสรรค มักท้อแท้ ท้อถอย ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จ ท่านควรหล่อเลี้ยงกำลังใจของตนเองตลอดเวลา เช่น ท่านต้องหมั่นคิดบวก พูดบวก กับตนเองบ่อยๆ , ฝึกจินตนาการถึงความสำเร็จบ่อยๆ ,ฝึกสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นต้น

                ท้ายนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเกิดผลลัพธ์ กระผมจึงขอแนะนำให้ท่านทำแบบฝึกหัดดังต่อไปนี้

1. จงเขียนเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษร มีการกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจน เขียนรายละเอียดต่างๆ ลงไปในกระดาษหรือสมุดบันทึก

2. หมั่นทบทวนเป้าหมายบ่อยๆ  ท่านอาจนำรูปภาพสิ่งต่างๆ ที่ท่านต้องการ โดยตัดภาพนั้นแล้วติดตามห้องที่ท่านสังเกตเห็นได้ง่ายหรือเป็นประจำ

3. หมั่นฝึกฝนพัฒนาตนเองตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง โดยเข้ารับการอบรม อ่านหนังสือ ฟังการบรรยาย สัมมนา เพื่อที่จะได้นำเทคนิคต่างๆ ไปใช้ได้

 


สู้ไม่ถอย เหนื่อยไม่ท้อแท้

 


สู้ไม่ถอย...เหนื่อยไม่ท้อ...

โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

                บุคคลสำคัญๆในประวัติศาสตร์หรือบุคคลที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาเหล่านั้นมักมีคุณสมบัติหลายประการ แต่มีอยู่ประการหนึ่งที่คนสำคัญหรือบุคคลที่ประสบความสำเร็จมีเหมือนๆกันก็คือ การสู้ไม่ถอย

                คนเรามีสิทธิ์ท้อได้ แต่คนที่สู้ไม่ถอยเท่านั้น จึงจะนำพาตัวเองผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้ ถ้าท่านเป็นบุคคลหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ท่านจำเป็นจะต้องปลูกฝังอุปนิสัย “ สู้ไม่ถอย ” ไว้กับตัวของท่านเอง

-                   โคลัมบัส นักเดินทาง นักเสี่ยงภัย ได้เดินทางท่ามกลางทะเลมหาสมุทร แอตแลนติก เพื่อหาทาง

ไปยังประเทศอินเดีย ซึ่งคนในยุคนั้นไม่เชื่อว่าเขาจะทำได้  เขาต้องต่อสู้กับคำสบประมาท การถูกดูถูก อีกทั้งต้องต่อสู้กับกลาสีเรือที่ต้องการเดินทางกลับบ้านในระหว่างการเดินทางอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร แอตแลนติก จากความเด็ดเดี่ยวและหัวใจที่สู้ไม่ถอย ทำให้เขาค้นพบดินแดนใหม่ ก็คือ ทวีปอเมริกา

-                   แลนซ์ อาร์มสตรอง นักปั่นจักรยานมืออาชีพ เมื่อเขาทราบว่าเขาเป็นโรคมะเร็งในปอด เขาเข้า

รับการรักษาและรับคีโม แม้ร่างกายตอนนั้นเขาจะย่ำแย่ แต่สภาพจิตใจของเขา “ สู้ไม่ถอย” การปั่นจักรยานเป็นกีฬาและอาชีพที่เขารัก เขาจึงตัดสินใจเข้าแข่งขันในสนามที่โหดที่สุดหรือยากที่สุด เขาทุ่มเทกำลังในการซ้อม ซ้อม และซ้อม อย่างหนัก จนในที่สุดเขาเป็นแชมป์และได้รับรางวัลต่างๆจากการแข่งขันจักรยานอีกหลายสนาม

-                   หลวงวิจิตรวาทการ ท่านเป็นนักเขียน นักการเมือง นักการทูต นักคิด นักอะไรอีกมากมาย เคย

มีคนไปถามท่านว่า ตอนที่ท่านอยู่ในคุกเพราะเจอวิกฤตชีวิตทางด้านการเมือง “ ท่านทำไมอยู่ได้ตั้งนาน ท่านไม่ทุกข์บ้างหรือ ” ท่านตอบกลับว่า “ ท่านจะทุกข์ได้อย่างไรเพราะภายในคุกมีงานให้ท่านทำตั้งมากมาย” ท่านจึงสามารถผลิตผลงานต่างๆได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะงานเขียนหนังสือ ก็ด้วยหัวใจที่  “สู้ไม่ถอย” ขนาดคุกยังไม่สามารถมาปิดกั้นในการทำงานของท่านได้

-                   ยายไฮ ขันจันทา นักต่อสู้แห่งจังหวัดอุบลราชธานี  ยายไฮได้ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม ที่ถูก

ทางการเวนคืนที่ดินที่เป็นสิทธิทำกินของเธอไปสร้างเขื่อน เป็นเวลาถึง 27 ปี ด้วยความมีหัวใจที่ “สู้ไม่ถอย” ยายไฮ จึงเป็นผู้ชนะในที่สุด

-                   สตีฟ จอบส์  คนบ้าอะไรสู้ไม่ถอย เป็นอีกคนหนึ่งที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว เขาตัดสินใจลาออกจาก

มหาวิทยาลัย แล้วเลือกทำในสิ่งที่เขารักโดยเขาตั้งบริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ จนสร้างความร่ำรวยได้อย่างมากมาย  ตอนเขาอายุ 30 ปี เขาถูกไล่ออกจากบริษัทแอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ที่เขาก่อตั้งขึ้นมาเอง เนื่องจากผู้บริหารที่เขาจ้างและเชิญมาให้ทำงานร่วมกับเขารวมหัวกับกรรมการบริษัทไล่เขาออก แต่ด้วยความมีหัวใจที่ “ สู้ไม่ถอย” เขาก่อตั้งบริษัท Next และ Pixar สร้างการ์ตูนแอนิเมชั่น จนประสบความสำเร็จมากมาย ในที่สุด บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ได้ซื้อบริษัท Next  จึงทำให้เขาได้กลับไปยังบริษัทแอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์อีกครั้ง

                ดังนั้น การสู้ไม่ถอย จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งประสบความสำเร็จ และเช่นกัน การสู้ไม่ถอย ได้ทำให้คนจำนวนมากเกิดความล้มเหลวเพราะการเลิกล้ม ไม่ยอมเดินหน้าต่อ ไปยังจุดมุ่งหมายปลายทาง

เอเมอร์สัน นักปราชญ์ชาวอเมริกา กล่าวไว้ว่า “ ผู้ที่เชื่อว่าตนเองสามารถทำได้นั้น จะเป็นผู้ชนะเสมอ” และ “จงทำงานที่ท่านกลัวเถิด แล้วเจ้าความกลัวก็จะหายไปอย่างแน่นอน”


คุณกล้าที่จะเริ่มต้นไหม

 


ความกล้าเท่ากับความสำเร็จ...แล้วคุณกล้ามั้ยที่จะเริ่ม....

โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.om

              คนที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงใด เขามักเริ่มต้นจากความกล้าก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งความกล้าในที่นี้มีหลายประการที่คนประสบความสำเร็จจะต้องกล้าเริ่มต้น คือ

              กล้าคิด Idea คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะเป็นคนที่กล้าคิด และคนที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มักจะคิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น  เขาเหล่านั้นจะกล้าคิดต่าง คิดแปลก จากคนทั่วไป เช่น

- สมัยอดีต รถยนต์สมัยแรกๆ มักใช้แกนเหล็กหมุนเวลาที่จะสตาร์ทเครื่อง ไม่เหมือนกันปัจจุบันที่สตาร์ทรถยนต์ง่ายๆ ด้วยการใช้มือหมุนกุญแจบิดสตาร์ท  เช้าวันหนึ่ง นายชาร์ลส  ได้ยืนสตาร์ทรถยนต์ด้วยแกนเหล็กที่หน้าบ้าน แต่ปรากฏว่ากระบอกสูบไม่หมุน นายชาร์ลส จึงออกแรงสะบัดแกนเหล็กเพื่อให้กระบอกสูบหมุนปรากฏว่า แกนเหล็กนั้นไปดีดใส่แขนของเขาจนหัก เขาลงไปนอนข้างล่างกับพื้นด้วยความเจ็บปวด หลังจากนั้น เขาก็กล้าที่จากคิดแตกต่างจากคนอื่นๆ เขาคิดว่าจะทำอย่างไรให้การสตาร์ทรถยนต์ง่ายขึ้น เพราะหากเป็นเช่นนี้ อาจเกิดอุบัติเหตุเหมือนกับเขากับคนอื่นๆได้  จึงเป็นที่มาของการสตาร์ทรถยนต์ ด้วยการใช้กุญแจบิดสตาร์ท นี่ก็เพราะการกล้าคิดของ นายชาร์ลส จึงทำให้พวกเราได้สตาร์ทรถยนต์ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดจากการสตาร์ทรถยนต์อีกด้วย

กล้าจินตนาการ Imagine อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวไว้ว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ คนปกติธรรมดาในยุคปัจจุบันได้เรียนหนังสือกันเกือบทุกคน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าการทำงาน หน้าที่ สาเหตุหนึ่งเกิดจาก การขาดจินตนาการ คนปกติธรรมดา มักจะทำอะไรเหมือนคนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะลองจินตนาการ ไม่กล้าที่จะคิดสร้างสรรค์สิ่งแปลกๆใหม่ๆขึ้นมาในชีวิต

กล้าลงมือทำ Action เมื่อมีความคิดแล้ว มีจินตนาการแล้ว แต่ขาดซึ่งการลงมือทำ สิ่งต่างๆที่คิด ที่จินตนาการก็ไม่สามารถเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ ดังนั้นจงกล้าที่จะลงมือทำ ลงมือปฏิบัติ สิ่งต่างๆจึงจะเกิดขึ้น เหมือนดังที่เราคิดและเราจินตนาการ

กล้าพัฒนา Develop เมื่อลงมือทำไปแล้ว แน่นอนว่าจะต้องเกิดการผิดพลาด บกพร่องในสิ่งที่เราทำ บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักกล้าที่จะพัฒนา กล้าเปลี่ยนแปลง แผนต่างๆที่คิดไว้ ที่จินตนาการไว้ เพื่อให้การทำงานนั้นเกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

กล้าที่จะควบคุม Control คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากแล้ว มักจะเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ ควบคุมตนเอง อยู่เสมอ เขาจะเป็นคนที่มีวินัยในการทำสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะวินัยในการทำงาน เช่น นักเขียนที่ประสบความสำเร็จเขาจะจัดสรรเวลาในการทำงานเขียน แล้วเขาก็จะลงมือเขียนตามแผนการที่เขาวางไว้ โดยที่ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ฉะนั้น เขาจึงมีผลงานการเขียนออกมาสู่สายตาผู้อ่านอย่างสม่ำเสมอ

กล้าเปลี่ยนแปลง Change คนเราโดยมากมักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่คนเราจะเจริญก้าวหน้าก็ด้วยเพราะการเปลี่ยนแปลง หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จท่านต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง แล้วท่านจะประสบความสำเร็จ  ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางความคิด เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน

หากว่าท่านมีความกล้าตามข้อความข้างต้น กระผมเชื่อว่า ท่านจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน จงเดินทางเข้าไปหาความสำเร็จ แทนการที่จะนั่งรอความสำเร็จมาหาท่าน หากว่าท่านต้องการไปเที่ยวภูเขาที่สวยงามสักลูก ขอให้ท่านจงเริ่มต้นออกเดินทาง  แทนที่ท่านจะนั่งรอ นอนรอ ให้ภูเขาลูกนั้น เคลื่อนตัวมาหาท่าน จงกล้าที่จะเริ่มต้นแล้วท่านจะประสบความสำเร็จ


วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2567

การเตรียมตัว การเตรียมการพูด การเตรียมการสอนการบรรยาย

 


การเตรียมตัว การเตรียมการพูด การเตรียมการสอนการบรรยาย

โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

จากประสบการณ์การเป็นวิทยากรหรือการเป็นพิธีกรของกระผม ผมมักให้ความสำคัญในการเตรียมการพูดค่อนข้างมาก เหมือนดังคนชกมวย ต้องมีการฝึกซ้อมชกทุกวัน พอถึงเวลาชกจริงจะได้มีแรงมีพลัง มีความคล่องตัวในการชกจริง หรือนักกีฬาที่ต้องการแข่งขันก็เช่นกัน ต้องมีการซ้อมอย่างเอาจริงเอาจัง ถึงจะประสบความสำเร็จ


คนที่อยากจะเป็นนักพูดก็เช่นเดียวกันกับนักกีฬา ต้องมีการฝึกฝนการพูดหรือการเตรียมตัว อยู่เป็นประจำ จึงจะประสบความสำเร็จในการขึ้นเวทีการพูด ทำให้การพูดคล่องขึ้น ไม่ติดขัด เวลาพูดสามารถจัดระเบียบความคิดได้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน ไม่ประหม่าเวที (สำหรับท่านใดต้องการพูดคล่องขึ้น ไม่ติดขัด ท่านควรอ่านหนังสือออกเสียงหลายๆ เที่ยว)


ดังนั้นการเตรียมการพูดจึงมีความสำคัญเป็นอันมากจนกระทั่งมีผู้กล่าวไว้ว่า “ ผลสำเร็จในการพูดแต่ละครั้งมักขึ้นอยู่กับการเตรียมถึง 70-80 % อีก 20-30 % อยู่ที่การพูดบนเวที


จากบทความนี้ กระผมขอเขียนเรื่องของการเตรียมการพูด ซึ่งการเตรียมตัวที่ดีต้องมีองค์ประกอบดังนี้


1.ในการพูดแต่ละครั้ง เราต้องตั้งเป้าหมายของการพูดของเราเสียก่อน เช่น ในการพูดครั้งนั้น เราต้องการพูดเพื่ออะไร ซึ่งเป้าหมายของการพูดมีหลายประเภท เช่น พูดเพื่อให้กำลังใจ พูดเพื่อให้ความบันเทิง พูดเพื่อให้ข่าวสารข้อมูล และพูดเพื่อให้เกิดการกระทำขึ้น เมื่อระพำไราทราบวัตถุประสงค์แล้ว เราจึงมาเตรียมการพูด ทั้งเรื่องของเนื้อหา ลีลา ท่าทาง น้ำเสียง อารมณ์ในการพูด ฯลฯ


2.เตรียมเนื้อหา การพูดแต่ละครั้งเราจะต้องเตรียมเนื้อหา ว่าเราจะพูดประเด็นไหน ขึ้นต้นอย่างไร เนื้อหาอย่างไร สรุปจบอย่างไร สำหรับคนที่ฝึกพูดใหม่ๆ กระผมแนะนำให้เขียนเนื้อหาทั้งหมดลงในกระดาษ (ขึ้นต้น ต้อง ตื่นเต้น ตอนกลาง อนกลางื่นเต้น ารพูดคล่องขึ้น ไม่ติดขัด ท่านควรอ่านหนังสือออกเสียงหลายๆ เที่ยว่อท่านประสบความสำเร็จ เช่น ชื่อเสียง เงินทอง ตำแหน ต้อง กลมกลืน สรุปจบ ต้อง ประทับใจ) ถ้าเวลาในการพูดเขาให้เวลาน้อย เราก็ต้องนำเนื้อหาทั้งหมดนั้นมาย่อ แต่ถ้าเขาให้เวลามาก เราก็นำเรื่องที่เราเตรียมมาขยายความ


3.ฝึกซ้อมพูดคนเดียวหรืออาจมีคนฟังในการฝึกซ้อมพูดของเรา แต่ทางที่ดีควรให้ผู้ฟัง ฟังแล้วเสนอแนะ ข้อดี ข้อเสีย แก่เรา ว่าเราควรปรับปรุงการพูดอย่างไร สำหรับการฝึกพูด เราควรจับเวลาด้วย ผู้ฝึกใหม่ๆ ควรฝึกหัดพูดสัก 2-5 นาที ก่อน เมื่อฝึกพูดจนคล่องและเกิดความมั่นใจแล้ว จึงค่อยฝึกเพิ่มเวลาในการพูดขึ้น ยิ่งท่านฝึกพูดซ้อมพูดมากครั้งเท่าไร ก็จะทำให้การพูดของท่านดีขึ้นเท่านั้น


แต่เมื่อท่านฝึกแล้วเกิดความท้อใจ ขอให้คิดถึงผลประโยชน์ต่างๆ ที่ท่านจะได้รับเมื่อท่านประสบความสำเร็จ เช่น ชื่อเสียง เงินทอง ตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ความเป็นผู้นำในท้องถิ่น ท้องที่ หรือ เมือง ของท่าน


ศาสตราจารย์ วิลเลี่ยม เจมส์ นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้กล่าวว่า เราไม่จำเป็นต้องไปกังวลในการฝึกของเราเลย ขอให้เราฝึกไปเรียนไป อย่างสม่ำเสมอ ไม่หยุด แล้วในวันหนึ่งเราจะพบว่า เราไม่เป็นรองใครเลยในวงการที่เราฝึกไปเรียนไปนั้น บุคคลที่สำคัญในประวัติศาสตร์ ไม่มีอะไรแตกต่างจากคนธรรมดาเลย แต่บุคคลสำคัญเหล่านั้น เป็นคนเอาจริงเอาจัง ไม่เคยย่อท้อเท่านั้นเอง


ถ้าท่านเตรียมตัวดี แล้วฝึกซ้อมพูดคนเดียวสัก 3 ครั้ง ท่านจะพูดได้ดี แต่ถ้าท่านเตรียมตัวดี แล้วฝึกซ้อมการพูดคนเดียวสัก 6 ครั้ง ท่านจะเกิดความมั่นใจในการพูดมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ถ้าท่านซ้อมพูดคนเดียวมากเท่าไร ท่านก็จะพูดได้ดีเท่านั้น


การพูดที่ยาวเกินไป ส่วนใหญ่เกิดจากการคิดหรือการเตรียมตัวที่ไม่นานพอ


ทำอย่างไรให้เป็นนักพูดผู้ยิ่งใหญ่

 


ทำอย่างไรให้เป็นนักพูดผู้ยิ่งใหญ่

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com


ก้อนหินหลายๆก้อนยังรวมกันเป็นภูเขา

น้ำหลายๆหยดยังรวมกันเป็นทะเล

นักพูดที่ฝึกฝนโดยไม่หยุดย่อมสร้างตำนาน


การจะเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่หรือนักพูดที่เป็นตำนานได้นั้น คน ๆ นั้นจะต้องมีหลักการบางอย่างถึงจะไปถึงความฝันนั้นได้ หลักการดังกล่าวนั้นคือ


1.ต้องมีเป้าหมาย ถ้าท่านอยากจะเป็นนักพูดระดับไหนท่านต้องเขียนเป้าหมายนั้นเป็นตัวหนังสือไว้ เพื่อเตือนตัวเองตลอดเวลา เช่น ถ้าท่านต้องการเป็นนักพูดระดับชาติ ท่านก็ต้องเขียนไว้ในหนังสือ หรือ ต้องการเป็นแค่นักพูดระดับจังหวัด ท่านก็ต้องเขียนเป็นตัวหนังสือเพื่อเป็นการเตือนตัวเตือนใจ


2.ต้องฝันหรือต้องจริงจัง กับเป้าหมายที่เราต้องการตลอดเวลา ถ้าเราจริงจังกับเป้าหมายหรือความฝัน เราก็จะมีการปรับปรุง พัฒนาตัวเอง เตรียมตัวเตรียมการพูดตลอดเวลา เพื่อที่จะเข้าสู่เป้าหมายนั้นๆ ถ้าท่านมีความจริงจังในเป้าหมายว่าท่านต้องการเป็นนักพูดระดับชาติ หากท่านฝันเช่นนั้นจริงท่านจะต้อง ปรับปรุงพัฒนาตนเองให้มากกว่าการเป็นนักพูดระดับจังหวัดหรือนักพูดระดับท้องถิ่น


3.วางแผน ถ้าสมมุติว่าเป้าหมายของท่านต้องการเป็นนักพูดระดับชาติ ท่านจำเป็นจะต้องมีการวางแผน เพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายที่วางไว้ เช่น ท่านจะต้องทำอะไร เมื่อไร อย่างไร กำหนด วัน เวลา ปี ที่จะเดินไปสู่เป้าหมาย ต้องมีแผนระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว รวมทั้งแผนสำรองไว้ด้วย


4. ต้องมีกลยุทธ์ หากท่านต้องการประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงและรวดเร็วกว่าแผนที่วางไว้ ท่านจำเป็นจะต้องมีกลยุทธ์เพื่อให้เข้าไปถึงแผนที่วางไว้ ท่านอาจต้องสร้างหรือใช้เครื่องมือช่วย ได้แก่ การหาสื่อต่างๆ ( การเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ แล้วนำบทความ นั้นมารวมเล่มเป็นหนังสือ , การจัดรายการวิทยุเพื่อให้คนรู้จักมากขึ้น , การออกรายการทางโทรทัศน์เพื่อให้คนรู้จัก และ การใช้อินเตอร์เน็ต ฯลฯ) เราจำเป็นจะต้องใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อให้เป็นที่รู้จัก


5.พยายามร่วมกับคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น การเข้าชมรม สโมสร สมาคมที่เกี่ยวข้องกับการเป็นนักพูด เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือกัน หรือได้คำแนะนำที่ดี ๆ และสามารถเป็นกำลังใจให้แก่เราเวลาเราท้อแท้ใจเมื่อการพูดของเราประสบความล้มเหลว หรือเข้ารับการอบรมทางการพูดเพื่อให้ทราบเทคนิคใหม่ๆ


6.หาแบบอย่างมากๆ ถ้าท่านต้องการเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่ ท่านต้องหาแบบอย่างมากๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ มีความสะดวกสบายกว่าสมัยก่อน เนื่องจากเรามีเครื่องมือต่างๆมากมาย( เครื่องถ่ายวีดีโอ เครื่องบันทึกเทป เครื่องMP 3 ) บันทึกการพูดของนักพูดที่ท่านชื่นชอบทุกครั้งเมื่อไปฟังเขาพูด หรือหากใครไม่มีโอกาสตามไปฟังนักพูดที่ตนชื่นชอบ เราก็สามารถซื้อ VCD , DVD นักพูดระดับชาติมาดูได้ เช่น ทอล์คโชว์ต่างๆ (จตุพล ชมพูนิช , โน๊ต อุดม และอีกหลายท่าน)หากท่านต้องการเป็นนักพูดประเภททอล์คโชว์ แต่หากท่านต้องการเป็นนักพูดทางการเมือง ท่านสามารถ สะสม เทป VCD,DVD ของนักการเมืองต่างๆ เช่น คุณสมัคร ,คุณเฉลิม , คุณชวน , คุณอภิสิทธิ์ หรือ นักพูดในแบบที่ท่านชื่นชอบ เพื่อเอาไว้ชมเอาไว้ศึกษาถึงลีลา น้ำเสียง ท่าทางในการพูดของนักพูดท่านนั้น แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง


7.ต้องมีการตรวจสอบ ควบคุม แผนการหรือเป้าหมายของเราตลอดเวลา ต้องทบทวนแผนการ ทบทวนเป้าหมายว่าสิ่งที่เราทำนั้น มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่เราวางไว้หรือไม่


การพูดโดยไม่คิด การพูดนั้นจะไม่ได้อะไร

การค้นคิดแต่ไม่ได้นำมาพูด การค้นคิดนั้นจะเปล่าประโยชน์


สร้างความเชื่อมั่นในตนเองในการพูดต่อหน้าสาธารณะชน

 


การสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ผมเห็นคนที่ถูกเชิญขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชนหลายคน อยู่ในอาการประหม่า บางคนสั่น บางคนพูดเสียงเบาเพราะความไม่มั่นใจหรือเชื่อมั่นในการพูดของตนเอง ในวันนี้เราจะมาพูดเกี่ยวกับเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน


ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่าการที่เราไม่มีความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชนเนื่องมาจากสาเหตุอะไร ผมเคยถามคำถามนี้กับผู้ที่เข้ารับการอบรมการพูดต่อหน้าที่ชุมชนโดยที่กระผมเป็นวิทยากร คำตอบที่มักจะได้รับก็คือ การไม่รู้จะพูดอะไรเนื่องจากไม่มีข้อมูลหรือไม่ได้เตรียมการพูดมา บางคนบอกว่า ไม่คุ้นเคยผู้ฟัง กลัวผู้ฟังหรือว่าผู้ฟังที่มานั่งฟังอาจมีความรู้มากกว่าตน บางคนบอกว่า ไม่กล้าเนื่องจากไม่ได้ขึ้นฝึกพูดบ่อยๆ บางคนบอกว่า กลัวว่าจะพูดได้ไม่ดี ฯลฯ


สรุปแล้วคือผู้อบรมการพูดต่อหน้าที่ชุมชนหลายท่าน อ้างสิ่งต่างๆนานา หรือคิดไปต่างๆนานา แท้ที่จริงแล้ว เราสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชนได้ โดยการทำสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น คือ


1.บางคนอ้างว่าไม่ได้เตรียมตัวมาหรือไม่รู้จะพูดอะไร เราก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามก็คือ เราต้องเตรียมการพูดให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลำดับเรื่อง การใช้ถ้อยคำ การหาข้อมูล การวิเคราะห์ผู้ฟังว่าเป็นกลุ่มไหนมาฟัง เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นวัยทำงานหรือเป็นวัยชรา เพื่อเราจะเลือกใช้ภาษาถ้อยคำให้ถูกกับวัยของผู้ฟังหรือ ตัวอย่างของเรื่องให้สอดคล้องกับวัยของผู้ฟัง รวมไปถึงเวลาในการพูด ถ้าพูดช่วงเช้า กับช่วงบ่าย ก็ต้องใช้กลยุทธ์ในการพูดที่แตกต่างกัน เนื่องจากช่วงบ่ายจะเป็นช่วงที่นักพูดมักพูดว่า เป็นช่วง “ ปราบเซียน ” จึงต้องพูดให้มีความตื่นเต้น มีชีวิตชีวา เนื่องจากคนกินอาหารอิ่ม ง่วง ถ้าขืนไปพูดเสียงเบา ไม่เร้าใจ ผู้ฟังก็อาจหลับกันหมด

2.บางคนอ้างว่าไม่คุ้นเคยผู้ฟัง กลัวผู้ฟังหรือว่าผู้ฟังที่มานั่งฟังอาจมีความรู้มากกว่าตน เมื่อรู้เช่นนี้ ว่าเราไม่คุ้นเคยผู้ฟัง กลัวผู้ฟัง กระผมขอแนะนำว่า ผู้พูดควรไปก่อนเวลาสักเล็กน้อย ไปทำไม ไปเพื่อทำความรู้จักกับผู้ฟัง ชวนผู้ฟังพูดคุยบ้าง ทำความรู้จัก ทำความคุ้นเคย ก่อนที่จะบรรยายเพื่อให้เกิดการลดอาการประหม่าเนื่องจากการไม่คุ้นเคยหรือกลัวผู้ฟัง สำหรับบางคนกลัวว่าผู้ฟังที่มานั่งฟังอาจมีความรู้มากกว่าตน เราก็ควรคิดในแง่ดีว่า สิ่งที่เราบรรยาย ผู้ฟังอาจไม่รู้ เพราะความรู้เรื่องหนึ่งๆ มันมีหลายแง่มุม ตอนนี้เราเป็นผู้พูด เรามาพูดแง่มุมของเรา ถ้าผู้ฟังมีความรู้อะไรก็ช่วยเติมเต็มได้


3.บางคนอ้างว่า ไม่กล้าเนื่องจากไม่ได้ขึ้นฝึกพูดบ่อยๆ บางคนบอกว่า กลัวว่าจะพูดได้ไม่ดี สำหรับข้อนี้ง่ายมาก เมื่อเรารู้ว่าเราไม่กล้าเนื่องจากไม่ได้ขึ้นฝึกพูดบ่อยๆ เราก็ควรทำสิ่งที่ตรงข้ามคือ เราต้องหาโอกาสในการฝึกการพูดบ่อยๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตนเองในการพูดในที่ชุมชน


ดังนั้นการสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน มีความสำคัญมาก เราจะเห็นได้ว่า บางคนมีความรู้มาก แต่ไม่กล้าพูดหรือพูดด้วยความไม่มั่นใจ ก็ทำให้ผู้ฟังขาดความศรัทธา ตรงกันข้ามกับอีกคนหนึ่งที่มีองค์ความรู้น้อยกว่า แต่มีความมั่นใจในตนเอง มีความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน ทำให้คนๆนั้น เป็นที่ยอมรับและมีคนศรัทธาในคำพูดหรือการพูดของเขา


ฉะนั้น นักพูดที่ดีต้องฝึกความกล้า โดยคิดว่า ความกลัวมักทำให้เสื่อม หรือ ถ้ากลัวสิ่งไหนให้เข้าไปหาสิ่งนั้นแล้วจะทำให้หายกลัว (ถ้ากลัวการพูดต่อหน้าที่ชุมชนท่านก็ต้องเข้าหาแล้วท่านจะหายกลัวในที่สุด)ท้ายนี้ขอฝากคำกลอนที่มีผู้แต่งซึ่งแต่งได้ไพเราะมากซึ่งกระผมไม่ทราบว่าใครแต่งจึงขออนุญาตนำมาปิดท้ายครับ


พูดทั้งที ต้องให้มี ความเชื่อมั่น

อย่ามัวสั่น หวั่นผวา น่าสงสาร

จงเตรียมกาย เตรียมใจ ให้เบิกบาน

ความกล้าหาญ บันดาลให้ พูดได้ดี