วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ทำให้ทุกนาทีมีประโยชน์...ถ้าต้องการความสำเร็จ

 

ทำให้ทุกนาทีมีประโยชน์...ถ้าต้องการความสำเร็จ

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่คนที่ประสบความสำเร็จ จะเป็นนักบริหารเวลาและการบริหารเวลาก็เป็นทักษะหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางแห่งความสำเร็จ

ความสำเร็จและรางวัลในชีวิตของคุณ เกิดจากการวางเป้าหมายแล้วใช้ความสามารถในการ

บริหารเวลามุ่งสมาธิ ไปยังเป้าหมายที่วางไว้ แต่ถ้าคุณไม่มีเป้าหมาย คุณจะไม่มีทิศทาง และจะทำให้คุณต้องสูญเสียพลังงานของคุณไปโดยใช่เหตุ

สมองและความคิดของคุณคือทรัพย์สิน คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด คุณจะต้องทำพัฒนาความคิด พัฒนาสมองของคุณอยู่ตลอดเวลา วิธีการที่ดีที่สุด อย่างหนึ่งที่ผมใช้อยู่เป็นประจำก็คือ สร้างมหาวิทยาลัยภายในรถยนต์ที่คุณขับ กล่าวคือ ใช้เวลาศึกษา หาความรู้ระหว่างที่คุณขับรถหรือนั่งบนรถ จงฟัง MP 3 หรือ VDO หรือ คลิปให้ความรู้ใน YOUTUBE เพราะวันๆ หนึ่ง คุณและผมต้องเสียเวลาเดินทางไปไหนต่อไหน บนท้องถนน จงหาความรู้ ที่เราต้องการพัฒนามาฟัง เช่น การฝึกภาษาอังกฤษ , การฟังเรื่องราวที่ปลุกใจหรือสร้างแรงบันดาลใจ เป็นต้น

ถ้าจะให้ดี ความรู้ที่คุณฟัง ตอนนั้น ดี คุณก็ควรจดเอาไว้ในสมุดบันทึก และจงเรียนรู้แบบลึกซึ้ง กล่าวคือ จงฟังช้ำๆ อยู่ตลอดเวลา คุณก็จะได้ความลึกซึ้งและความซึมลึกลงไปในความคิดและมันสมองของคุณ

การเข้าสัมมนาทางวิชาการ ก็ช่วยได้เยอะ เพราะจะทำให้คุณมีเพื่อนในวงการเดียวกันหรือชอบอย่างเดียวกัน เช่น ถ้าคุณชอบวาดรูป แล้วเข้าสัมมนาในกลุ่มที่ชอบวาดรูป คุณก็จะมีเพื่อนมีเครือข่ายในการทำงานร่วมกันในอนาคต การสัมมนาทางวิชาการ จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาเป็นหลายร้อยชั่วโมง เพราะผู้เชี่ยวชาญที่มาให้ความรู้ เขาต้องเสียเวลาอ่านและค้นคว้า ลองผิดลองถูก แต่ถ้าคุณเข้าสัมมนาแล้วเขาเทคนิคของเขาไปใช้ก็จะประหยัดเวลาของคุณไปได้อีกมากทีเดียว

            จงถามคำถามกับวิทยากร ถ้าคุณมีปัญหาสงสัย จงถาม ถามและถาม บางที วิทยากรที่มีประสบการณ์มากๆ ตอบคำถามของคุณ แค่เพียงประโยคเดียว คุณก็สามารถแก้ไขปัญหาของคุณได้  ไปตลอดชีวิตการทำงานเลยก็ว่าได้

จงเพิ่มรายได้ของคุณ กูรูชาวอเมริกาท่านหนึ่ง เคยกล่าวไว้ว่า “  ถ้าคุณจะหาเงินได้มากขึ้นก็ต้องเรียนรู้ให้ได้มากขึ้น”  

แบบฝึกหัด ที่อยากชวนให้คุณปฏิบัติ

1.       จงหา MP 3 หรือ VDO หรือ คลิปให้ความรู้ใน YOUTUBE ไปฟังในรถยนต์ จงฟังให้มากๆ ถ้าตอนไหนชอบหรือดี ก็ให้ฟัง ตอนนั้น บ่อยๆ หาสมุดมาจดไอเดีย เพื่อนำเอาไปใช้ในชีวิตของคุณ

2.       จงหาสัมมนาหรือหลักสูตรฝึกอบรมที่ตรงกับสาขา อาชีพของคุณ ไปนั่งฟัง อย่างตั้งใจ แล้วหาเพื่อน หาเครือข่าย แล้วนำเอาไอเดียที่ได้ไปใช้

3.       จงใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีเข้าช่วยในการบริหารเวลา เช่น Computer , ipad , มือถือ , ไดอารี , สมุดนัดหมายงานหรือสมุดวางแผนงาน แล้วบันทึกสิ่งต่างๆลงไปในเครื่องมือที่คุณใช้ทุกๆวัน

4.       จงทบทวน การทำงานของคุณทุกคืน ก่อนนอนทุกคือ จงถามตัวเองว่า ทำไมคุณถึงทำไม่ได้ตามแผนที่คุณวาง แล้วคุณควรที่จะปรับปรุง พัฒนา แผน ต่างๆอย่างไร ต่อไปได้บ้าง แล้ววันพรุ่งนี้ คุณจะทำอะไร ไปพบลูกค้าคนไหน โทรศัพท์นัดลูกค้าคนไหนบ้าง เป็นต้น

 

เวลาก็เหมือนน้ำในฟองน้ำ ถ้าเราพยายามบีบ พยายามรีด ก็ยังพอมีน้ำให้เราอยู่บ้าง




ตลาดยุคใหม่

 บทความของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์...ณ วารสาร TPA News ( สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น))ฉบับที่ 298 ข่าว ส.ส.ท. ปีที่ 25 ฉบับที่ 298 เดือน ตุลาคม 2564





ยอมแลก ยอมเหนื่อย หรือไม่

 


ยอมแลก ยอมเหนื่อย หรือไม่

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

รวบรวมเรียบเรียง www.drsuthichai.com

เคยมีคนถามกระผมว่า “ ทำไมบางคนประสบความสำเร็จช้ามาก ” ในขณะที่บางคน คนส่วนน้อยประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว คำตอบ คือ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพราะเขา ยอมแลก ยอมเหนื่อย และมีความมุ่งมั่น ทุ่มเท อย่างจริงจัง นั่นเอง !!

คนทำงานจำนวนมาก..อยากได้เงินเดือนเยอะๆ อยากได้โบนัสงามๆ อยากมีรถ อยากมีบ้าน อยากได้ตำแหน่งงานที่สูงๆ แต่ตัวเองกับชอบตัวตามสบาย ขี้เกียจทำงาน ไม่อยากเหนื่อย ไม่อยากทำงานหนักและไม่อยากที่จะพัฒนาตนเอง ในเมื่อ ไม่ยอมแลก ไม่ยอมเรียนรู้งาน ไม่ยอมเหนื่อย แล้วจะได้สิ่งต่างๆที่ต้องการได้อย่างไร

นักขายจำนวนมาก .. มีการตั้งเป้าหมายเป็นรายปี แล้วมีการตั้งเป้าหมายเป็นรายเดือน(โดยหารเฉลี่ยจากรายปี) และเมื่อขายเข้าเป้าหมายรายเดือนแล้ว ก็พอ ไม่ขยันต่อ รอไว้เดือนหน้าค่อยขายต่อ หรือนักขายจำนวนมากทำงานแบบ รอไฟลนก้น กล่าวคือต้นปีก็ทำแบบสบายๆ โดยคิดว่ายังมีเวลาอีกเยอะ แต่พอใกล้เดือนสุดท้ายก่อนงวดหรือก่อนปิดเป้าหมายสิ้นปี ถึงมาขยันทำช่วงเดือนสองเดือนสุดท้าย

นักกีฬาอาชีพกับนักกีฬาสมัครเล่น เราจะเห็นความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เช่น นักฟุตบอลมืออาชีพระดับโลก มีการซื้อตัวกันทีเป็นพันล้านบาท มีค่าเบี้ยเลี้ยงแต่ละอาทิตย์ หรือนักมวยมืออาชีพระดับโลก ชกทีเดียวได้เงินเป็นร้อยล้านพันล้านบาท

สิ่งที่วัดความเป็นมืออาชีพกับมือสมัครเล่น ก็คือ มืออาชีพ เขาจะมีวินัย เขาเหล่านั้นต้องฝึกซ้อมกันหนักมาก ต้องเหนื่อย ต้องแลก ต้องยอม อดทน มุ่งมั่นทุ่มเท เขาจึงได้ผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนมาก

ดังนั้น ถ้าเราต้องการความสำเร็จ เราก็ควรที่จะต้องฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก ทุ่มเท ต้องยอมแลก ต้องยอมเหนื่อย ต้องเข้มงวดกวดขันกับตัวเอง ต้องมีระเบียบวินัยกับตัวเอง  และต้องมุ่งมั่น  พากเพียรพยายาม เราจึงจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

จงตั้งเป้าหมายในชีวิต จงตั้งเป้าหมายในการทำงาน จงมีความใฝ่ฝัน แล้วจงคิดว่า อะไรในชีวิตที่เราต้องการ จงหาคำตอบและจงตอบคำถามให้ชัดเจนกับตัวเองเสียก่อน ที่จะลงมือทำตามเป้าหมายนั้นๆ เพราะถ้าขาดซึ่งเป้าหมายที่ชัดเจน ท่านก็จะขาดความกระตือรือร้น ขาดความทุ่มเทในการทำงาน แต่ถ้าท่านมีเป้าหมายที่ชัดเจน ท่านก็จะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำงานให้ไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ และที่สำคัญ เป้าหมายนั้นต้องเป็นเป้าหมายที่เราชอบ กล่าวคือ เรามีความต้องการอย่างจริงๆ เพราะถ้าเรา ไม่ชอบเป้าหมายหรือไม่ชอบความฝันที่เราวางแผนไว้ เราก็จะต้องฝืนตัวเองในการทำงาน

สุดท้ายนี้ กระผมขอยกตัวอย่างให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น หากว่าท่านต้องการที่จะขับรถจากกรุงเทพไปภูเก็ตในเวลากลางคืน ท่านไม่เห็นจังหวัดภูเก็ตในขณะนั้น แต่ไฟด้านหน้ารถส่องไปได้แค่ไม่เกิน 200 เมตร แต่เป้าหมายของท่านคือภูเก็ต ท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปภูเก็ตให้ได้ รถก็จะพาท่านเคลื่อนไปจนถึงภูเก็ตในที่สุด  ดังนั้น หากท่านต้องการไปถึงเป้าหมายจงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อเป้าหมายที่ได้วางไว้ จงหมกมุ่นต่อเป้าหมายนั้น และที่สำคัญท่านต้องยอมแลก ยอมเหนื่อย ยอมอดทน ที่จะขับรถเป็นเวลาหลายชั่วโมง บางครั้งก็ต้องยอมเสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุทางรถอีกด้วย

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ปรัชญาแห่งความสำเร็จ..(กฎการดึงดูด)

 


ปรัชญาแห่งความสำเร็จ..(กฎการดึงดูด)

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

 

            หนังสือ The Secret เดอะซีเคร็ต ได้กล่าวถึงความลับของความสำเร็จไว้หลายประเด็น แต่มีประเด็นหนึ่งน่าสนใจมากคือ ในหนังสือได้พูดถึงเรื่อง กฎการดึงดูด กล่าวคือ คนเรามีคลื่นพลังงานอยู่ในตัวของเรา คลื่นพลังงานอะไร ที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงกันจะดึงดูดกัน

              เช่น ถ้าเราเป็นคนดี ก็จะดึงดูด คนที่เป็นคนดี  แต่ถ้าเราเป็นคนไม่ดี ก็จะดึงดูด คนไม่ดีมาพบกัน (คนที่ชอบเสพยาเสพติดก็มักจะมีเพื่อนเป็นคนเสพยาเสพติดหรือค้ายาเสพติด เช่นกัน

ถ้าเราเป็นคนที่ชอบคิดบวก เราก็จะ มีความสุข เบิกบานใจ แล้วคลื่นพลังงานที่ปล่อยออกจากสมอง ของเราก็จะ เป็นคลื่นพลังงานที่บวก คลื่นนี้ก็จะดึงดูดเอาคนที่คิดบวกมาอยู่ใกล้เราหรือเรามักจะพบแต่คนที่มีความสุขเบิกบานใจ ดังนี้ ถ้าเราอยากมีความสุข เราก็ต้องคิดบวกและพบแต่คนดีๆ

ในทางกลับกัน ถ้าเราชอบคิดลบ มีอาการซึมเศร้า ห่อเหี่ยว ท้อแท้ รันทดกับชีวิต  เราก็จะดึงดูดเอาคนที่มีพลังลบหรือดึงดูดคลื่นประเภทเดียวกันเข้ามา จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราก็มักจะพบแต่เหตุการณ์ร้ายๆอยู่บ่อยๆ

ซึ่งสัมพันธ์กับทฤษฎีกฎแห่งการดึงดูด กล่าวคือถ้าใครคิดหรือพูดหรือทำไม่ดี ใส่ Input ไว้ในความคิดหรือมันสมองของตนเองในเรื่องร้ายๆหรือเรื่องลบๆ ก็เท่ากับว่าเขากำลังปล่อยคลื่นพลังานลบออกมา ซึ่งมันจะไปดึงดูดสิ่งที่แย่ๆเข้ามาในชีวิต

ฉะนั้น  ทุกๆ วัน ควรหมั่นสำรวจความคิด คำพูด และการกระทำของเรา ว่า ตอนนี้เราได้ปล่อยคลื่นพลังงานที่เป็นบวกหรือเป็นลบออกจากตัวของเรา

ซึ่งการจะพูดบวกกับตัวเอง เราก็ต้องใช้พลังแห่งคำพูด บอกกับตัวเองหรือโปรแกรมสมองหรือความคิดของเรา เช่น หมั่นพูดกับตัวเองว่า "ฉันเป็นคนโชคดี!" , “ ฉันเป็นคนเก่ง”  , “ ฉันเป็นคนร่ำรวย” , “ ฉันเป็นคนมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง” เป็นต้น

เมื่อเราเริ่มพูดคำพูดดังกล่าวข้างต้น เราก็จะเริ่มดึงดูดความโชคดีหรือสิ่งต่างๆที่เราพูดเข้ามาในชีวิตของเรามากขึ้น ในขณะเดียวกัน ถ้าเราพูดกับตัวเอง ว่า “ ฉันแย่มาก ” , “ ฉันมันไม่ดี ” , “ ฉันมันไม่เก่ง” , “ ฉันใช้ไม่ได้” เป็นต้น เราก็จะเป็นดังที่เราได้กล่าวกับตัวเองทุกประการ (บางคนคิดถึง “ ตีน ” คิดถึง “ เท้า ” ในอนาคต เราอาจได้เจอ ตีนหรือเท้า ก็เป็นได้)

แม่ชีเทเรซา (นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา) เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี คนส่วนใหญ่ รณรงค์ต่อต้านการทำสงคราม แม่ชีเทเรซา บอกว่า จะไม่เข้าร่วม แต่ถ้า มีการ รณรงค์เรื่อง “ สันติภาพ และ เสรีภาพ ” เพราะถ้าเรายิ่ง รณรงค์เกี่ยวกับสงคราม พลังของการรณรงค์ก็จะพุ่งไปที่การทำสงคราม แต่ถ้าเรา รณรงค์เรื่องของ “ สันติภาพและเสรีภาพ” คนส่วนใหญ่ก็จะมุ่งความสนใจไปที่ “สันติภาพและเสรีภาพ”

ดังนั้น พอสรุปได้ว่า ความคิดของคนเรามีความสำคัญเป็นอันมาก ถ้าเราคิดบวก คิดดี เราก็จะกระทำแต่สิ่งที่ดีๆและเราก็จะพบแต่สิ่งที่ดีๆ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราคิดร้าย คิดลบ การกระทำของเราก็จะเป็นไปในทางลบ และถ้าเราคิดดี เราคิดบวก เพื่อนของเราก็จะเป็นคนประเภทเดียวกัน คือ เป็นคนดี แต่ถ้าเราคิดลบ การกระทำของเราก็จะออกมาในทางไม่ดี เพื่อนของเราก็มักจะเป็นคนไม่ดี 

และถ้าเราต้องการอะไร เราควรมุ่งความสนใจไปในเรื่องนั้น ไม่ควรมุ่งความสนใจไปในสิ่งที่ไม่ชอบ(จงจดจ่อที่เป้าหมาย อย่าไปจดจ่อที่อุปสรรค)

 

 

 

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2564

พิชิตชัยด้วยหลักการตลาด

 


พิชิตชัยด้วยหลักการตลาด

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

รวบรวมเรียบเรียง www.drsuthichai.com

            โลกยุคปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าเป็นยุคของการแข่งขัน ยุคของทุนนิยมและเป็นยุคของการนำเอาการตลาดมาใช้กับวงการต่างๆมากขึ้นกว่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็น วงการเมือง วงการศาสนา วงการธุรกิจ วงการราชการ ฯลฯ

              ยิ่งวงการต่างๆ นำกลยุทธ์การตลาดมาประยุกต์ใช้ ก็ยิ่งทำให้วิชาหรือศาสตร์ทางด้านการตลาดเป็นที่ยอมรับและมีคนเข้ามาศึกษาหาความรู้กันมากขึ้น

              การตลาด ในยุคปัจจุบัน  มีการแข่งขันที่ดุเดือด บางธุรกิจยอมที่จะลดราคา ตามคู่แข่งขัน ทั้งๆที่ต้นทุนของบริษัทตนเองนั้นสูงกว่าคู่แข่ง การตลาดกับการขายมีส่วนคล้ายคลึงกันอย่างหนึ่งคือ มีการตอบรับและการถูกปฏิเสธ ดังนั้น หากทำการตลาดไปแล้ว ผลสะท้อนกลับมาอาจไม่ดีพอ เราอาจจะต้องทำใจ เพราะสิ่งทุกสิ่งในโลกนี้มักมี 2 ด้าน เสมอ เช่น มีบวกมีลบ , มีสมหวังมีผิดหวัง ฯลฯ  นักการตลาดยุคใหม่จึงต้องเข้าใจและยอมรับ

              สำหรับบทความฉบับนี้จะนำเอากลยุทธ์ต่างๆ ที่ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันมานำเสนอ

1.การตลาดแบบกองโจร เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ดีมากสำหรับนักการตลาดมืออาชีพนำเอาไปใช้ เพราะสถานการณ์ทางด้านการตลาดมีการเปลี่ยนแปลง มีการปรับเปลี่ยน ไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น นักการตลาดมืออาชีพ จึงต้องนำกลยุทธ์แบบกองโจร เข้ามาใช้เพื่อความหยืดหยุ่น ต่อสถานการณ์

              ลยุทธ์การตลาดแบบกองโจร ก็คือ กลยุทธ์ทางการตลาดหนึ่งที่มีเป้าหมายเพื่อการเอาชนะคู่แข่งขัน โดยการซุ่มโจมตีทั้งที่กำลังของตนเองมีน้อยๆ แต่จะพยายามแบ่งคู่แข่งขัน ออกเป็นกลุ่มย่อยๆ แทนที่จะโจมตีซึ่งหน้าเพราะถ้าโจมตีซึ่งหน้าก็จะเสียเปรียบเนื่องจากกำลังของตนมีน้อยกว่านั้นเอง

2.การตลาดแบบผสมผสาน เป็นกลยุทธ์ที่นำหลักการตลาดทั้งหมด เช่น Marketing Mix หรือ 4 P  ,  ใช้ Positioning , IMC Integrated Marketing Communication  หรือ การสื่อทางการตลาดแบบครบเครื่อง , การสร้างความแตกต่าง , การวิเคราะห์ผู้บริโภค , การสร้างแบรนด์ (Brand) , Attraction  Marketing , Viral Marketing (ไวรอล มาเก็ตติ้ง) , Digitalmarketing Communication และเครื่องมือทางด้านการตลาดอื่นๆอีกมากมาย

เอามาผสมผสานกันโดยมีการพลิกแพลง ประยุกต์การนำเอาไปใช้ อยู่ตลอดเวลา ดังคำคมของจีน ที่มีไว้ว่า “ สุดยอด กระบวนท่าคือไร้กระบวนท่า ” โดยนำมาใช้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

3.ยุทธวิธีการตลาด ก็มีความสำคัญ ซึ่งยุทธวิธีการตลาดมีหลากหลายรูปแบบ ดังนี้

3.1.ยุทธวิธีการตลาดแบบปากต่อปาก เป็นการทำการตลาดโดยผ่านการสื่อสารโดยเฉพาะจากคำพูดแบบปากต่อปาก ตลอดจนการกระตุ้นให้เกิดคำพูดที่ทรงพลัง ในปัจจุบันเราสามารถเผยแพร่ข่าวสารให้แก่ผู้บริโภคให้ทราบสินค้าและบริการของเราได้หลายวิธี แต่การตลาดแบบปากต่อปากเป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก

3.2.ยุทธวิธีการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสทอง การทำธุรกิจหรือทำกิจกรรมใดๆ เมื่อทำไปนานๆ บางช่วงเวลาก็อาจประสบปัญหา เกิดวิกฤต นักการตลาดชั้นเซียน ที่มากด้วยความสามารถจึงสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสทองได้

3.3.ยุทธวิธีขยายฐานลูกค้าของตัวเองตลอดเวลา เราลองไปสังเกตดูพวกที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยเป็นเศรษฐีเขาจะร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ ตามขนาดของฐานลูกค้าของเขา ตัวอย่าง ร้าน 7-11 หรือ เซเว่น อีเลฟเว่น ธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์ หุ้นราคาเพิ่มขึ้น เจ้าของร่ำรวยขึ้น ตามขนาดและจำนวนของสาขาที่เพิ่มขึ้นในทุกๆวัน

3.4.ยุทธวิธีการระดมนักการตลาดที่เก่งๆมาช่วยงาน หากมีคนไปสัมภาษณ์บรรดาเศรษฐีระดับประเทศหรือมหาเศรษฐีระดับโลก ว่าการนำนักการตลาดเก่งๆ เข้ามาช่วยทำงานในองค์กรจะเกิดอะไรขึ้น บรรดาเศรษฐีทุกๆคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน ว่า “ มันมีความจำเป็นและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะนำคนเก่งๆเข้ามาทำงานในองค์กร”

4.กลยุทธ์การตลาดในการแข่งขันระดับโลก และถ้าหากว่าเราต้องการร่ำรวยหรือต้องการลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็อาจจะต้องบุกไปทำการตลาดทั่วโลก ซึ่งจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ดังนี้ 1. กลยุทธ์ระหว่างประเทศ (International Strategy) 2. กลยุทธ์ข้ามชาติ (Multinational Strategy) 3. กลยุทธ์ระดับโลก (Global Strategy) 4. กลยุทธ์ส่งผ่านข้ามชาติ (Transnational Strategy)

5.การสร้างแฟนคลับ “แฟนคลับ” ในที่นี้ หมายถึง กลุ่มบุคคลหรือบุคคลที่ชื่นชอบ ติดตาม มีความจงรักภักดีในตัวของสินค้า บริการ องค์กรของเรา อีกทั้งติดตามซื้อสินค้า บริการ มีการบอกต่อ พูดคุย เกี่ยวกับเรื่องราวในตัวของสินค้า บริการและองค์กร อย่างต่อเนื่อง

              สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีสินค้าประเภทต่างๆขายให้กับแฟนคลับ เช่น นาฬิกาข้อมือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ,ผ้าพันแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด  ,  เนคไทแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , พวงกุญแจแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , รองเท้าผู้หญิงและรองเท้าผู้ชาย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , เสื้อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , กางเกง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , หมวก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , ถุงเท้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , วริสแบนด์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , DVDที่ระลึกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , ชุดเด็กเล็กแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , เข็มกลัดที่ระลึกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , สร้อยคอพร้อมจี้ที่ระลึกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , สร้อยข้อมือที่ระลึกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , ถ้วยรางวัลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , ธงที่ระลึกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , ตุ๊กตาหมีแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , โมเดลนักฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด , กล่องแว่นตากันแดดและแว่นตากันแดด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นต้น

              ซึ่งการสร้างพลังของแฟนคลับเป็นพลังที่สามารถเพิ่มยอดขาย เพิ่มรายได้ เพิ่มการขยายตลาดได้อย่างมหาศาล ดังตัวอย่างกีฬาฟุตบอล ทีมดังๆของสโมสรต่างๆ นอกจากจะมีรายได้มาจากการโฆษณา การซื้อขายนักแตะแล้ว ยังสามารถขายสินค้าประเภทต่างๆให้กับแฟนคลับอีกด้วย ซึ่งรายได้จากการขายนี้สามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมากมายมหาศาล

              และยังมีเทคนิคและเครื่องมือทางด้านการตลาดอีกมากมาย ที่จะนำเสนอแต่เนื่องจากพื้นที่ในการเขียนบทความมีจำนวนจำกัด ผู้เขียนจึงขอนำเสนอในบทความฉบับต่อไปครับ

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2564

บรรยาย " การโดนบูลลี่ในสถานศึกษา"

 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายให้แก่นักศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาการจัดการบริการสังคม หัวข้อ " การโดนบูลลี่ในสถานศึกษา" ผ่านทางออนไลน์ โปรแกรม Meet เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2564








การตลาดยุคใหม่ ลูกค้าสำคัญ

 บทความทางการตลาดของ ผศ.ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ที่วารสาร TPA News

(สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)
© 2015 Technology Promotion Association (Thailand-Japan).)ฉบับที่ 298 ข่าว ส.ส.ท. ปีที่ 25 ฉบับที่ 298 ประจำเดือน ตุลาคม 2564