วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2564

บทบาทและวิวัฒนาการทางด้านการตลาด

 

บทบาทและวิวัฒนาการทางด้านการตลาด

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

 

ความสำคัญของการตลาด  หลังจากการปฏิวัติทางอุดสาหกรรมในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 19 ทำให้เกิดการผลิตขนาน

ใหญ่ (Mass Production) ทำให้อุปสงค์ อุปทาน  ได้เปลี่ยนไป จากตลาดของผู้ขาย (Seller's market) มาเป็นตลาด

ของผู้ซื้อ (Buyer's markel)  ผู้ซื้อหรือผู้บริโภคมีอำนาจต่อรองในการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น

ปีเตอร์ ดรักเกอร์ (Peter Drucker) นักวิชาการด้านการบริหารที่มีชื่อเสียงระดับโลก ได้กล่าวถึง “การตลาดมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และเป็นตัวช่วยให้เกิดการพัฒนาด้านอื่นๆด้วย ”

ดังนั้นการตลาดจึงได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อชีวิตประจำวันของคนเรา การตลาดเป็นทั้งเครื่อง

มือในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทหรือหน่วยงานด้านธุรกิจและมีผลต่อระบบเศรษฐกิจสังคมและการค้าระหว่างประเทศ การตลาด จึงทำให้หลายองค์กรได้นำการตลาดมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งในชีวิตส่วนตัวในองค์การเอกชน หน่วยงานธุรกิจ แม้แต่การทัพหรือองค์กรทางด้านการทหารก็ยังหันมาศึกษาหลักการตลาดเพื่อนำเอาไปใช้ด้วย ความสำคัญของการตลาดจึงจำแนกได้ ดังนี้

1.ความสำคัญของการตลาดที่มีต่อระบบเศรษฐกิจและการค้าขาย  การตลาดช่วยให้รายได้ของประชากรสูงขึ้น เพราะการตลาดทำให้เกิดผลิตสินค้า ผลิตภัณฑ์และการบริการขึ้นมาอย่างมากมาย ทำให้มีการซื้อขาย ทำให้เกิดการจ้างงาน จึงทำให้ระบบภาพรวมของระบบเศรษฐกิจและการค้าขายดียิ่งขึ้น

การตลาดยังทำให้เกิดการหมุนเวียนของปัจจัยการผลิต ได้แก่ วัตถุดิบ แรงงาน สินค้า บริการ และทำให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้นเนื่องจาก ที่ดินบริเวณใดเจริญมีการค้าขายมีการพัฒนา ราคาที่ดินแปลงนั้นราคาก็จะเพิ่มขึ้น อีกทั้งการตลาดยังช่วยสร้างความต้องการในสินค้าและบริการ ทำให้เกิดการค้าขึ้นทั้งในประเทศและเกิดการตลาดระหว่างประเทศ จึงทำให้ประเทศมีการพัฒนา เพราะประเทศและประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น และการตลาดยังช่วยให้เกิดการแข่งขันกันมากขึ้น ผลที่ตามมาคือ ทำให้สินค้าและบริการมีการปรับปรุงพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ การตลาดทำให้มีการใช้สื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์และทำให้เกิดการส่งเสริมการขาย  

2. ความสำคัญของการตลาดต่อหน่วยงานธุรกิจหรือองค์กรธุรกิจ  การตลาดเป็นเครื่องมือที่ทำให้องค์กรเติบโตและเจริญก้าวหน้า เพราะเป็นตัวที่ทำให้เกิดรายได้เข้ามาหล่อเลี้ยงกิจการ และ ช่วยสร้างภาพพจน์ค่านิยมและการ

ยอมรับในสินค้าและบริการ ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ สินค้าและบริการใหม่ๆขึ้นมา  อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยของสินค้า และบริการ ให้ต่ำลง เนื่องจากมีการสั่งซื้อมาก จึงต้องผลิตสินค้ามากขึ้น ทำให้มีการซื้อวัตถุดิบคราวละมาก ๆ ทำให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าต่อหน่วยถูกลง

3. ความสำคัญของการตลาดที่มีต่อบุคคลและสังคม การตลาดยังได้ช่วยยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่และการครองชีพของคนในประเทศและสังคมให้สูงขึ้น ทำให้ คนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการซื้อขายกันเพิ่มมากขึ้น  ทำให้ความเป็นอยู่ของคนเราสะดวกสบายและใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น คนมีเวลามากขึ้น มีเครื่องที่ทันสมัยใช้ มีการติดต่อสื่อสาร มีการเดินทางที่สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น การตลาดทำให้ค่านิยม พฤติกรรม อุปนิสัย ความเชื่อ ค่านิยม เปลี่ยนแปลงไป เช่น ผู้หญิงจะออกมาทำงานนอกบ้านกันมากขึ้น ตรงข้ามกับสมัยอดีตที่ผู้หญิงจะทำงานเป็น

อีกทั้งการตลาดยังทำให้เกิดอาชีพต่าง ๆ เช่น เป็นพนักงาน ตามองค์กรธุรกิจ ตามร้านค้าปลีก เป็นตัวแทน เอเย่นต์ งานขนส่งสินค้า งานโฆษณา งานวิจัยตลาด งานประกันภัย ฯลฯ และยังมีผลถึงการใช้บริการในอาชีพอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย เช่น ใช้บริการทางการแพทย์ การเงิน สถาปนิก การบัญชี วิศวกร  เป็นต้น

วิวัฒนาการของแนวความคิดทางการตลาด 

ยุคแรกเป็นยุคที่ 1. แนวความคิดมุ่งการผลิต (Production Oriented Concept) เป็นแนวความคิดที่เก่าแก่ที่สุด เป็นการมุ่งเน้นการผลิตทำให้สินค้าหาซื้อง่ายและต้นทุนต่ำ โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องของคุณภาพของสินค้ามากนัก

ยุคที่ 2. แนวความคิดมุ่งผลิตภัณฑ์ (Product Oriented Concept) เป็นยุคที่มุ่งเน้นคุณภาพของสินค้า เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคมีความแตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน จึงมีการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีมากขึ้น มีหลายหลากขนาด หลากหลายสี และขายในราคาที่เหมาะสม

ยุคที่ 3. แนวความคิดมุ่งการขาย (Salesmanship Oriented Concept) เน้นความพยายามขายของผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ ให้ความสำคัญในเรื่องของการขาย โดยยึดหลักว่าผู้บริโภค ผู้ซื้อโดยทั่วไปจะไม่ซื้อผลิตภัณฑ์ ซื้อสินค้าของบริษัท ถ้าไม่ถูกกระตุ้นจากผู้ขายหรือนักขาย  เช่น การขายประกันชีวิต การขายรถยนต์  การขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

ยุคที่ 4. แนวความคิดมุ่งการตลาด (Marketing Oriented Concept) เป็นการยึดหลักการหาความต้องการของลูกค้าหรือการสนองความต้องการของลูกค้า โดยใช้สินค้า บริการของเราไปตอบสนอง เน้นการวิจัยการตลาด การหาความต้องการในสินค้าและบริการของลูกค้า ว่าลูกค้าต้องการสินค้าแบบใด อย่างไร แล้วพัฒนาสินค้าและบริการ เข้าไปตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเหนือคู่แข่งขัน

ยุคที่ 5. แนวความคิดมุ่งการตลาดเพื่อสังคม เป็นยุคที่ให้ความสำคัญกับสังคม ประเทศชาติ โลก แน่นอนการทำธุรกิจมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการกำไร แต่ถ้าได้กำไร แต่สังคม ประเทศชาติ โลก มีผลกระทบไปในทางลบหรือในทางไม่ดี ก็จะทำให้ภาพพจน์ขององค์กรธุรกิจเสียหาย องค์กรธุรกิจจึงต้องมีการผลิตสินค้าที่เน้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งองค์กรธุรกิจยังต้องมีการช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม อีกด้วย

จากบทความข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า การตลาดมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อชีวิต สังคม ประเทศชาติ และต่อความเจริญก้าวหน้าของโลกของเรา อีกทั้งการตลาดได้มีขึ้นมายังช้านาน ไม่ได้พึ่งเกิดขึ้น แต่ยังมีการวิวัฒนาการโดยใช้ระยะเวลาในการพัฒนามาเป็นขั้นเป็นอันดับ ดังนั้น ชีวิตของคนเรา รวมถึงชีวิตในการทำงาน คงหลีกเลี่ยง หลีกหนีการตลาด ไปไม่พ้น และหากใครต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน วิชาการตลาดจึงเป็นวิชาหนึ่งที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง 




วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ริจะเป็นนักการตลาด.สายตาต้องไม่สั้น....

 

ริจะเป็นนักการตลาดมืออาชีพ...สายตาต้องไม่สั้น....

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

 

            นักการตลาดมืออาชีพ ต้องหลีกหนีจากอาการสายตาสั้น จากความคิดของสินค้าที่มีอยู่ เพื่อที่จะมองให้เห็นอนาคต บริษัทต้องมีความสามารถที่จะหลีกหนีอันตรายที่เกิดขึ้นในอนาคต ในอดีตเจ้าของธุรกิจและนักการตลาดยุคก่อน มักมีมุมมองที่แคบ กล่าวคือ "เราอยู่ในธุรกิจอะไร" และ "อะไรคือสินค้าหรือบริการของเรา"  แต่ปัจจุบันมุมมองที่แคบแบบนี้ คงจะใช้ไม่ได้ หากต้องการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางด้านการตลาด

ในอดีตพวกเรามักได้ยินคำว่า “ ปลาใหญ่ต้องกินปลาเล็ก ”  แต่โลกของการแข่งขันในยุคนี้ เราต้องให้ความสำคัญกับความรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงจึงอาจกล่าวได้ว่า “ ปลาเล็กสามารถเอาชนะปลาขนาดใหญ่ได้ด้วยความรวดเร็ว”  เรามักจะเห็นว่าองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่(เปรียบเทียบได้กับปลาตัวใหญ่)มักจะเคลื่อนไหวช้า ตัดสินใจช้า หรือไม่ทำอะไรที่รวดเร็วต่อการสนองตอบการเปลี่ยนแปลงของโลกของการแข่งขันในยุคปัจจุบัน  ตรงกันข้ามกับองค์การธุรกิจขนาดเล็กหรือปลาตัวเล็ก ที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อสนองตอบเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกของการแข่งขัน

กรณีศึกษา จากบริษัทธุรกิจชั้นนำทั่วโลก มันมีความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่านักการตลาดหลายคนจะไม่ย่อมเปลี่ยนแปลงความคิด แต่โลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกๆวัน

ย้อนไปในอดีต 20 ปี ก่อน หลายคนไปเที่ยวหรือมีโอกาสไป กรุงเทพมหานครฯ ต่อมากลับไปอยู่อาศัยในต่างจังหวัด ไม่ได้ไป กรุงเทพมหานครฯ เป็นเวลา 20 ปี ตอนนี้ ลองไปกรุงเทพมหานครฯ ดูซิครับ หรือ ใครไม่ได้ไปกรุงมหานครฯ เพียงแค่ 10 ปี แล้วลองไปดูซิครับ นี่ขนาดแค่ กรุงเทพมหานครฯ (ประเทศไทย)ของเรา แต่ถ้าเราลองไป ประเทศสหรัฐอเมริกา เราก็จะรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกใบนี้

เช่นกัน สินค้าและบริการ ของเรา จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก สมัยก่อนหลายคนทำงานสำนักงาน หรือ เป็นทนายความต้องส่งคำฟ้อง คำร้อง ต่อ ศาล เราต้องใช้เครื่องพิมพ์ดีด แต่มาถึงยุคปัจจุบัน พิมพ์ดีด แทบหาไม่เจอ เราใช้คอมพิวเตอร์

ย้อนไปเมื่อ ปี 1980(ปัจจุบันปี 2001) เครื่องถ่ายเอกสารออกจำหน่ายใหม่ๆ เครื่องใหญ่มาก ราคาแพงมาก แต่สามารถถ่ายเอกสารได้ครั้งละไม่กี่แผ่น และต้องใช้เวลานานมากกว่าเอกสารแต่ละแผ่นจะออกมา แต่ดูปัจจุบันซิครับ เครื่องถ่ายมีขนาดเล็กลง ถ่ายได้เร็วขึ้น ราคาถูกลง คุณภาพดีขึ้น มีความคมชัดมากๆ เมื่อเทียบกับอดีต

ธุรกิจฟิล์ม สมัยอดีต ฟิล์มสีโกดักและฟูจิฟิล์ม โด่งดังมาก เป็นผู้นำในธุรกิจภาพถ่าย แต่เมื่อโลกเปลี่ยน ฟิล์มโกดักไม่ยอมเปลี่ยน จึงต้องสิ้นชื่อไปจากวงการตลาด ส่วนฟูจิฟิล์ม ยังมีการปรับตัวถึงแม้จะช้ากว่าคู่แข่งแต่ก็สามารถอยู่ในวงการต่อไปได้ แต่ก็สูญเสียการนำและส่วนแบ่งทางการตลาดไปให้กับคู่แข่งขันไปอย่างน่าเสียดาย

โทรศัพท์มือถือ เราจะเห็นได้ชัดเจน ว่า ในอดีต เครื่องใหญ่มาก หนักมาก ราคาก็แพง หาซื้อได้ยาก แต่ปัจจุบัน ราคาถูกลง คุณภาพดีมากๆ เมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา

เกมส์ก็เช่นกัน ในอดีต เราเล่นเกมส์กด ต่อมามีเกมส์ VDO ตอนนี้มีเกมส์ออนไลน์ซึ่งมีความเสมือนจริง มีความสนุก มีความเร้าใจ มากกว่าอดีต จึงไม่แปลกใจที่ปัจจุบัน เด็กและเยาวชนติดเกมส์ออนไลน์มากขึ้น

 ม้วนเทป สมัยก่อนมีเพลงไม่กี่เพลงใน  1 ม้วน แต่ปัจจุบัน โลกได้เปลี่ยนไป เราสามารถฟังเพลงได้เป็นหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นเพลง ซึ่งถูกบรรจุโดยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น Ipod , เอาลงไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และฟังในโลกออนไลน์ฟรีแบบไม่จำกัด จำนวนและเวลา ฯลฯ

ม้วน VDO สมัยก่อน ราคาแพง หลายคนที่มีหัวด้านธุรกิจด้านการตลาด จึงเปิดร้านให้เช่าม้วน VDO แต่ปัจจุบันนี้ เราไม่เห็นม้วนเทปและม้วน VDO อีกต่อไป  เพราะต่อมาก็มีสินค้าและนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้น ก็คือ แผ่นเพลง CD และ แผ่น VDO แต่ตอนนี้ เราแทบไม่ได้เห็นแผ่นเพลง CD และ แผ่น VDO เพราะโลกยุคใหม่ ได้นำ เพลง นำหนัง(ภาพยนตร์) มาลงใน เว็บไซต์ (อังกฤษ: website, web site หรือ site) เช่น  Netflix , HBO Go, Apple TV+, LINE TV, Viu และ WeTv เป็นต้น

การตลาดออนไลน์ จึงเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นและมีความสำคัญที่จะต้องเรียนรู้ของคนในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในแวดวงของนักการตลาด ซึ่งจะต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆเป็นพื้นฐานเพื่อนำเอาไปใช้เพื่อเป็นเครื่องมือหรือเป็นช่องทางทางด้านการตลาดสมัยใหม่

ดังนั้น อย่าติดยึดกับอดีตที่ผ่านมา "กุญแจ" และ "รหัส" ที่สำคัญก็คือ จงพัฒนาและสร้างนวัตกรรมของสินค้า บริการของเราอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้น เราอาจจะพลาดโอกาสครั้งใหญ่และพ่ายแพ้ต่อการแข่งขันทางด้านการตลาด จงกล้าเสี่ยงและลองทำสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา

จงเป็น Marketing Mindset ใหม่ คือเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ ทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมต่อของตนเอง เพราะ Mindset เหมือนกับแบบแปลนบ้าน ก่อนที่จะสร้างบ้าน เราควรมีแบบแปลนบ้านเสียก่อน ไม่ใช้คิดจะปลูกบ้าน สร้างบ้าน ก็สร้างเลย ถ้าทำเช่นนี้ อาจจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการก่อสร้างได้ แล้วผลที่ตามมาก็คือ ต้องเสียเวลา เสียเงินทอง ในการแก้ไข ปรับปรุง

จงเปลี่ยนแบบแปลนบ้านใหม่( Marketing Mindset ใหม่) ให้เป็นบ้านที่ทันสมัยมากขึ้น เพราะลูกค้าปัจจุบัน ต้องการบ้านที่มีรูปทรงที่ทันสมัย และไม่นิยมแบบแปลนบ้านแบบในอดีต ที่ดูแล้วล้าสมัย ไม่สวย ไม่ดึงดูดใจ เพราะพฤติกรรม มุมมอง ความคิดของคนรุ่นใหม่(ลูกค้า)เปลี่ยนไป

สรุป คือ นักการตลาดและธุรกิจที่ล้มเหลวมักจะเป็นธุรกิจที่ทำอะไรเดิมๆ และไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ไอเดียเดิมๆ  กระบวนการเดิมๆ  คิดและทำแบบเดิมๆ ฉะนั้น ถึงแม้ว่าองค์การธุรกิจหรือบริษัทของเราจะไม่เปลี่ยนแปลงแต่ทุกวันนี้ โลกของเราเปลี่ยน คู่แข่งขันของเราเปลี่ยน  ลูกค้าของเราเปลี่ยน และสถานการณ์ต่างๆทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะถ้าเราไม่ยอมเปลี่ยน ในอนาคต โลกก็จะบังคับให้เราเปลี่ยน.....




วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

จงใช้พลังแห่งตนของคุณให้เต็มศักยภาพ

 

จงใช้พลังแห่งตนของคุณให้เต็มศักยภาพ

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

จงใช้พลังแห่งตนของคุณให้เต็มพิกัด ท่านผู้อ่านเคยเห็นแมวไล่จับหนู แล้วหนูวิ่งไวมากๆ จนแมววิ่งไล่จับหนูไม่ได้ไหมครับ ถามว่าทำไม แมวตัวใหญ่กว่าหนูหลายเท่าตัวแต่วิ่งช้ากว่า แต่ในทางกลับกัน หนูตัวเล็กกว่าหลายเท่าตัวแต่วิ่งหนี แมวได้

คำตอบก็คือ หนูวิ่งหนีแมวด้วยการใช้พลังอย่างเต็มความสามารถหรือเต็มศักยภาพ เพราะถ้าถูกแมวจับได้ หนูก็จะถูกแมวกินหรือตายนั้นเอง เลยต้องวิ่งหนีสุดชีวิต แต่แมววิ่งไล่จับหนูเพื่อหาอาหาร เลยวิ่งไม่เต็มความสามารถหรือเต็มศักยภาพที่มี

การใช้พลังแห่งตนของเรา ให้เต็มพิกัดหรือเต็มศักยภาพจึงมีความสำคัญในการทำงานหรือทำสิ่งต่างๆให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เพราะถ้าเราทำอย่างเต็มที่ เราก็จะพบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่า เราไม่ใช้พลังอย่างเต็มความสามารถ เราก็จะเดินทางไปถึงเป้าหมายได้อย่างช้าๆ และใช้เวลานานมากในการเดินทางให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้

ในการที่จะปลดปล่อยพลังที่อยู่ในตัวเองออกมานั้น เราอาจจะเหนื่อย เราอาจจะพบกับความลำบากอยู่บ้าง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของการออกแรง เพราะคนออกแรงอย่างเต็มที่ย่อมเหนื่อยกว่า คนที่ออกแรงที่น้อยกว่า

แล้วจะทำอย่างไร ถึงจะดึงพลังแห่งตนออกมา คำตอบก็คือ จงสร้างสถานการณ์ขึ้นมา ตัวอย่างเช่น ถ้าบ้านเราเกิดไฟไหม้ เราจำเป็นจะต้องขนของภายในบ้านออกมาให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุด ดังนั้น เราต้องดึงพลังแห่งตนหรือพละกำลังทั้งหมดเพื่อใช้ในการขนของ  เราคงได้ยินข่าว หรือ มีการเล่ากัน ว่า บางคนบ้านไฟไหม้ สามารถยกตู้เย็นหลังใหญ่ออกมาได้ทั้งหลัง แต่พอไฟดับ ใช้คนสามคนยกยังไม่สามารถเอากลับเข้าที่ได้

ถ้าให้พวกเราสัก 4 คน ยกรถยนต์กระบะขึ้น โดยให้ล้อลอยอยู่เหนือพื้น หลายคนบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้า ลูกคุณ หลานคุณ หรือคนที่คุณรัก ถูกล้อรถยนต์กระบะ ทับตัว พวกเรา 4 คน จะใช้พลังแห่งตนหรือพลังที่มีอยู่ภายในอย่างไร คำตอบก็คือ ถ้าให้ยกล้อรถยนต์กระบะ ขึ้น เราจะใช้พลังไม่เต็มที่ แต่ถ้า ลูกคุณ หลานคุณ หรือคนที่คุณรัก ถูกล้อรถยนต์กระบะ ทับตัว พวกเราก็จะใช้พลังที่มีอยู่ภายในอย่างเต็มที่มากกว่า หรือ ดึงพลังที่มีอยู่ภายในออกมาใช้อย่างสุดชีวิต

สำหรับการสร้างสถานการณ์ในการนำพลังแห่งตนออกมาใช้ในการทำงานหรือชีวิต มีหลายวิธี คือ การตั้งเป้าหมายที่ต้องการ , การใช้พลังแห่งจินตนาการ , การใช้พลังแห่งคำพูด(พูดให้กำลังใจตนเองอย่างสม่ำเสมอ) , พลังแห่งอุปนิสัย(ทำอะไรให้เป็นนิสัยจนเคยชินกับมัน) , พลังแห่งการคิดบวก เป็นต้น

ดังนั้นในทุกๆวัน คุณต้องฝึกเขียน เป้าหมายที่ต้องการ จงนั่งแล้วเอากระดาษ ปากกา ขึ้นมา แล้วลองเขียนมันออกมา ท่านต้องการอะไรในชีวิต และอะไรที่ท่านต้องการจริงๆในชีวิตของท่าน

จงใช้พลังแห่งจินตนาการและการใช้พลังแห่งการคิดบวก  โดยล้มตัวลงนอนด้วยความรู้สึก คิดและจินตนาการในทางที่เป็นบวก จงฝึกคิดบวก บ่อยๆ จนการคิดบวกมันสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีที่ว่างให้ความทรงจำหรือความคิดที่เป็นลบหรือการคิดลบแทรกตัวเข้าไปได้ 

จงอย่าลืมบอกกับตัวเองซ้ำๆ อยู่เสมอตลอดวันว่า

"ชีวิตของฉันเปี่ยมพลัง , ชีวิตของฉันมีพลัง และฉันเต็มที่กับการใช้ชีวิต "

 


 

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สู่ชะตาชีวิตของคุณ

 

สู่ชะตาชีวิตของคุณ จงพร้อมที่จะเดินทาง

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

อันใครเล่ากำหนดชีวิตข้า ใช้เทวดาบนฟ้าที่กำหนด ตัวข้านี้กำหนดมันมา ชั่วดีหนาเกิดจากกรรมข้าทำเอง

            การเดินทางไปสู่ชะตาชีวิตของคุณมีความสำคัญมาก ซึ่งระหว่างทางอาจจะพบปัญหา อุปสรรค ต่างๆ มากมาย จนบางคนท้อแท้ ไม่อยากที่จะเดินทางต่อไปอีก และบางคนเลือกที่จะหยุด ยอมแพ้ พอ เพราะเหนื่อย เบื่อ สิ้นหวัง ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึง การเตรียมตัวเดินทางและขั้นตอนในการเดินทางไปยังชะตาชีวิตของคุณ

            1.กำหนดเป้าหมาย กำหนดสิ่งที่คุณอยากหรือต้องการมันจริงๆ หรือความฝันบางอย่างที่ต้องการทำจนประสบความสำเร็จ แล้วจงจินตนาการสร้างภาพในความคิด ในสมอง คุณต้องคิด ต้องจินตนาการ บ่อยๆ จนภาพที่เห็นมันเกิดความชัดเจน ลองหาที่เงียบ ลองคิด ลองฝัน ลองสร้างภาพ ครั้งละ 5-10 นาทีต่อวัน หรือบางคนอาจจะต้องเขียนเป้าหมาย หรือ ตัดรูปภาพที่เราฝันไว้ข้างฝาหรือฝาผนังบ้าน เลยยิ่งดี เพราะจะทำให้เห็นทุกๆวัน ภาพฝันหรือภาพเป้าหมายนั้นจะไม่ลืมเลือน การกำหนดเป้าหมาย จึงทำให้เรารู้ทิศทางในการที่จะเดินทางทาง ดังเช่น เรือลอยอยู่ในทะเล ในมหาสมุทร ไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ไหน ไม่อยู่ว่าที่ที่ตนเองจะไปอยู่ทิศทางไหน จึงทำให้ลอยไปตามคลื่น แต่ถ้าเรือรู้ว่า จะมุ่งหน้าไปทางเหนือ เรือนั้นมีทิศทางที่จะไปก็จะมีโอกาสถึงฝั่งในที่สุด

            2.วางแผนในการเดินทางไปสู่เป้าหมาย ลองหากระดาษ ปากกา มาวางแผนบนกระดาษ A4 วิธีการนี้ ไบรอัน เทรซี่ วิทยากรด้านความสำเร็จ ด้านการขาย ได้ใช้ตลอดชีวิตของเขา และได้แนะนำให้บุคคลต่างๆ หรือบุคคลที่มานั่งฟังสัมมนาของเขาได้ทำตามอีกด้วย เพราะถ้าคุณได้มีการวางแผนการบนกระดาษ คุณจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น การวางแผนนั้นจะทำให้รู้แต่ละขั้น ว่าจะทำอย่างไรให้ไปถึงเป้าหมาย มีวิธีการใดบ้าง ใช้เวลาเท่าไร มีกลยุทธ์และยุทธวิธีใด เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

3. ลงมือปฏิบัติหรือลงมือทำ ถ้าตัดสินใจให้แน่วแน่แล้วว่า เป้าหมายและวิธีการในการวางแผนของเรา เป็นไปได้ ขั้นตอนต่อไปก็คือลงมือทำอย่างไม่ลดละ อย่างสม่ำเสมอ ไม่หยุด เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายหรือความฝันที่ต้องการ จงเริ่มต้นก้าวแรกแม้เพียงเล็กน้อย แต่จงเดินไม่หยุด นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า กระต่ายวิ่งเร็วกว่าเต่า แต่กระต่ายหยุดวิ่ง ในทางกลับกัน เต่าวิ่งช้ากว่าแต่กลับชนะ เพราะวิ่งหรือเดินอย่างสม่ำเสมอไม่หยุดนั้นเอง

จงลงมือทำ แล้วก่อนนอนลอง มาทบทวนแผนการที่ได้วางไว้ ว่ามีความคืบหน้าหรือมีอะไรที่ต้องแก้ไข หรือมีปัญหา อุปสรรค แล้วก็ลงมือทำ แล้วทุกคืนลองกลับมาทบทวนแผน ถ้าทำทุกๆวัน ท่านก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

4.จงหาความสุขระหว่างเดินทาง หลายคนหรือคนเป็นจำนวนมาก มีความเครียดกับแผนการของตนเอง ในขณะที่ลงมือทำก็เครียดไป ไม่มีความสุขในการเดินทาง อาจจะเป็นไปได้ว่า หลายคน เร่งที่จะไปให้ถึงความสำเร็จ ซึ่งจะทำให้เกิดความวิตกกังวล ไม่มีความสุข ดังนั้น ลองให้รางวัลแก่ตนเอง ถ้าเราวางแผนทุกๆวัน แล้ว วันไหน เดินทางหรือลงมือทำได้ตามแผนรายวัน รายสัปดาห์ ก็อาจจะพักให้รางวัลตนเอง อาจจะเป็นการกินอาหารที่เราชอบ อาจจะดูหนังเรื่องที่ต้องการดู โดยสัญญากับตนเองว่า ถ้าทำงานชิ้นนี้สำเร็จ หรือ ทำได้ตามกำหนดตามเป้าหมายย่อยๆ ก็จะพาตนเองไปหาความสุข ระหว่างการเดินทาง จงฉลองให้ตัวเองอย่างมีความสุข?"

สุดท้ายนี้ กระผมขอเป็นกำลังใจให้แก่คนที่ต้องการเดินทางไปสู่ชะตาชีวิตของตนเอง จงเริ่มต้นที่จะเดินทาง จงกล้าหาญที่จะเดินทาง และ เดินทางร้อยลี้ ต้องมีก้าวแรกเสมอ ขอให้ท่านผู้อ่านทุกๆท่าน โชคดี

 



จงสร้างภาพภายในใจ...ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จ

 

จงสร้างภาพภายในใจ...ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จ

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

ภาพภายในใจ หรือ ภาพแห่งตน (Self-image)  มีความสำคัญต่อบุคลิกภาพ ต่อความคิด ต่อทัศนคติ ของคุณ เพราะการสร้างภาพภายในใจ จะทำให้เราเห็นภาพตนเอง ล่วงหน้าและเราจะมีพฤติกรรม สอดคล้องหรือไปในทางเดียวกับภาพภายในใจที่ตัวเราเองสร้างขึ้น

ภาพภายในใจหรือภาพแห่งตน (self-image) คือลักษณะที่คุณมองเห็นและคิดเกี่ยวกับตัวเอง บางคนเรียกมันว่า "กระจกภายในใจ"

นักขายมืออาชีพหลายคนที่ประสบความสำเร็จในงานขาย จะมีความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น ถ้าเรากำหนดภาพภายในใจเรา ให้เป็นคนเยือกเย็น เป็นคนที่มีความมั่นใจ และคิดว่าตนเองมีความสามารถในการขาย  เราก็จะเป็นอย่างภาพภายในใจที่เราคิดเอาไว้

แต่ถ้าเราคิดว่า เราแย่ เราไม่มีความมั่นใจ ลูกค้าไม่ยอมซื้อของของเรา เราก็จะเป็นอย่างภาพภายในใจที่เราสร้างขึ้น

ไบรอัน เทรซี่: ไบรอัน เทรซี่ วิทยากรด้านการขาย ด้านการบริหาร ด้านความสำเร็จ เขาได้เขียนหนังสือ และพูด เกี่ยวกับเรื่องนี้ จนโด่งดัง มีชื่อเสียงไปทั่วสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก เขาได้เขียนหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับการเป็นนักขาย ซึ่งหลายเล่มได้แปลเป็นภาษาไทย เช่น เป็นสุดยอดนักขายดาวจรัสแสง ,เป็นเศรษฐีเงินล้านด้วยตนเอง,เป้าหมาย Goals และคัมภีร์ปิดการขาย เป็นต้น

ไบรอัน เทรซี่: ไบรอัน เทรซี่ เล่าว่า ตอนเขาเป็นนักขายใหม่ๆ (มือสมัครเล่น) เขาสร้างภาพภายในใจว่า ลูกค้าไม่ซื้อของเขา เขาไม่มีความเชื่อมั่นในการขายของเขา ปรากฏว่า ลูกค้าไม่ย่อมซื้อของของเขาเหมือนดังที่เขาสร้างภาพภายในใจขึ้นมา แต่พอเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นการสร้างภาพภายในใจใหม่ ว่า เขามีความเชื่อมั่นในงานขายและลูกค้าชอบเขา ลูกค้าต้องการซื้อของของเขา ตั้งแต่นั้น ยอดขายของเขาพุ่งเป็นหลายเท่าตัว แล้วในที่สุด เจ้าของบริษัทก็ได้ โปรโมทหรือเลื่อนตำแหน่งให้เขา เป็นผู้จัดการหรือผู้บริหารฝ่ายขาย ซึ่งมีลูกน้องเกือบ 50 คนเลยทีเดียว

นักพูดระดับโลกหลายคน ก็เป็นนักสร้างภาพภายในใจ ก่อนจะขึ้นเวทีหรือตอนอยู่เงียบๆ คนเดียวก็จะฝึกสร้างภาพภายในใจว่า มีคนดูหลายพันคน หลายหมื่นคน คนฟัง ชอบฟังเขาพูด คนฟังปรบมือให้กำลังใจเขา คนฟังหัวเราะ ยิ้ม มีความสนุกสนาน โดยเขาหมั่นฝึกฝนโดยการสร้างภาพภายในใจบ่อยๆ มากๆ จนในที่สุด พอเขาอยู่บนเวทีการพูด ผู้ฟังก็มีพฤติกรรม ดังเขาสร้างภาพภายในใจนั้นๆ

นักบาสและนักฟุตบอลระดับโลก ก็เช่นกัน พวกเขามักหมั่นสร้างภาพภายในใจ ตอนพวกเขาว่างๆ อยู่คนเดียว หลายคนหลับตา แล้วสร้างภาพภายในใจว่า เขา ชู๊ต บาส ได้อย่างแม่นยำ (นักบาส) หรือ นักฟุตบอล เขาสร้างภาพภายในใจว่าเขาแตะ เข้าประตูทุกลูก แล้วในที่สุด พอนักกีฬาเหล่านี้ ลงแข่งขัน ผลลัพธ์ก็ปรากฎเหมือนดังภาพที่เขาสร้างภาพภายในใจ

นักดนตรี นักเต้น นักเปียโน เขามักจะสร้างภาพภายในใจว่า เขาเล่นได้อย่างดี เวทีแสดงมีคนปรบมือให้กำลังใจเขา แล้วในที่สุดพอเวลาแสดงจริง ก็เป็นดังภาพภายในใจที่เขาคิดทุกประการ

ดังนั้น แบบฝึกหัด สำหรับผู้ที่ต้องการความสำเร็จ ก็คือ จงหมั่นฝึกฝนในการสร้างภาพภายในใจของตนเอง อาจจะเป็นเวลาก่อนนอน ตอนแช่น้ำอุ่นในห้องน้ำ ตอนนั่งผ่อนคลายที่ห้องนั่งเล่น จงหาที่เงียบๆ แล้วหมั่นสร้างภาพภายในใจ ให้บ่อยๆ จนมันฝั่งลงไปในจิตใต้สำนึกของเรา แต่ต้องเป็นการสร้างภาพภายในใจในเชิงบวก เพราะถ้าสร้างภาพภายในใจในเชิงลบ เราก็จะเป็นไปตามที่ภาพภายในใจของเรานั่นเอง



 

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ทำให้ทุกนาทีมีประโยชน์...ถ้าต้องการความสำเร็จ

 

ทำให้ทุกนาทีมีประโยชน์...ถ้าต้องการความสำเร็จ

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

www.drsuthichai.com

คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่คนที่ประสบความสำเร็จ จะเป็นนักบริหารเวลาและการบริหารเวลาก็เป็นทักษะหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางแห่งความสำเร็จ

ความสำเร็จและรางวัลในชีวิตของคุณ เกิดจากการวางเป้าหมายแล้วใช้ความสามารถในการ

บริหารเวลามุ่งสมาธิ ไปยังเป้าหมายที่วางไว้ แต่ถ้าคุณไม่มีเป้าหมาย คุณจะไม่มีทิศทาง และจะทำให้คุณต้องสูญเสียพลังงานของคุณไปโดยใช่เหตุ

สมองและความคิดของคุณคือทรัพย์สิน คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด คุณจะต้องทำพัฒนาความคิด พัฒนาสมองของคุณอยู่ตลอดเวลา วิธีการที่ดีที่สุด อย่างหนึ่งที่ผมใช้อยู่เป็นประจำก็คือ สร้างมหาวิทยาลัยภายในรถยนต์ที่คุณขับ กล่าวคือ ใช้เวลาศึกษา หาความรู้ระหว่างที่คุณขับรถหรือนั่งบนรถ จงฟัง MP 3 หรือ VDO หรือ คลิปให้ความรู้ใน YOUTUBE เพราะวันๆ หนึ่ง คุณและผมต้องเสียเวลาเดินทางไปไหนต่อไหน บนท้องถนน จงหาความรู้ ที่เราต้องการพัฒนามาฟัง เช่น การฝึกภาษาอังกฤษ , การฟังเรื่องราวที่ปลุกใจหรือสร้างแรงบันดาลใจ เป็นต้น

ถ้าจะให้ดี ความรู้ที่คุณฟัง ตอนนั้น ดี คุณก็ควรจดเอาไว้ในสมุดบันทึก และจงเรียนรู้แบบลึกซึ้ง กล่าวคือ จงฟังช้ำๆ อยู่ตลอดเวลา คุณก็จะได้ความลึกซึ้งและความซึมลึกลงไปในความคิดและมันสมองของคุณ

การเข้าสัมมนาทางวิชาการ ก็ช่วยได้เยอะ เพราะจะทำให้คุณมีเพื่อนในวงการเดียวกันหรือชอบอย่างเดียวกัน เช่น ถ้าคุณชอบวาดรูป แล้วเข้าสัมมนาในกลุ่มที่ชอบวาดรูป คุณก็จะมีเพื่อนมีเครือข่ายในการทำงานร่วมกันในอนาคต การสัมมนาทางวิชาการ จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาเป็นหลายร้อยชั่วโมง เพราะผู้เชี่ยวชาญที่มาให้ความรู้ เขาต้องเสียเวลาอ่านและค้นคว้า ลองผิดลองถูก แต่ถ้าคุณเข้าสัมมนาแล้วเขาเทคนิคของเขาไปใช้ก็จะประหยัดเวลาของคุณไปได้อีกมากทีเดียว

            จงถามคำถามกับวิทยากร ถ้าคุณมีปัญหาสงสัย จงถาม ถามและถาม บางที วิทยากรที่มีประสบการณ์มากๆ ตอบคำถามของคุณ แค่เพียงประโยคเดียว คุณก็สามารถแก้ไขปัญหาของคุณได้  ไปตลอดชีวิตการทำงานเลยก็ว่าได้

จงเพิ่มรายได้ของคุณ กูรูชาวอเมริกาท่านหนึ่ง เคยกล่าวไว้ว่า “  ถ้าคุณจะหาเงินได้มากขึ้นก็ต้องเรียนรู้ให้ได้มากขึ้น”  

แบบฝึกหัด ที่อยากชวนให้คุณปฏิบัติ

1.       จงหา MP 3 หรือ VDO หรือ คลิปให้ความรู้ใน YOUTUBE ไปฟังในรถยนต์ จงฟังให้มากๆ ถ้าตอนไหนชอบหรือดี ก็ให้ฟัง ตอนนั้น บ่อยๆ หาสมุดมาจดไอเดีย เพื่อนำเอาไปใช้ในชีวิตของคุณ

2.       จงหาสัมมนาหรือหลักสูตรฝึกอบรมที่ตรงกับสาขา อาชีพของคุณ ไปนั่งฟัง อย่างตั้งใจ แล้วหาเพื่อน หาเครือข่าย แล้วนำเอาไอเดียที่ได้ไปใช้

3.       จงใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยีเข้าช่วยในการบริหารเวลา เช่น Computer , ipad , มือถือ , ไดอารี , สมุดนัดหมายงานหรือสมุดวางแผนงาน แล้วบันทึกสิ่งต่างๆลงไปในเครื่องมือที่คุณใช้ทุกๆวัน

4.       จงทบทวน การทำงานของคุณทุกคืน ก่อนนอนทุกคือ จงถามตัวเองว่า ทำไมคุณถึงทำไม่ได้ตามแผนที่คุณวาง แล้วคุณควรที่จะปรับปรุง พัฒนา แผน ต่างๆอย่างไร ต่อไปได้บ้าง แล้ววันพรุ่งนี้ คุณจะทำอะไร ไปพบลูกค้าคนไหน โทรศัพท์นัดลูกค้าคนไหนบ้าง เป็นต้น

 

เวลาก็เหมือนน้ำในฟองน้ำ ถ้าเราพยายามบีบ พยายามรีด ก็ยังพอมีน้ำให้เราอยู่บ้าง