วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561

อภัยทาน

อภัยทาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
            อภัยทาน คือ การยุติผลกรรม  การจองเวร  การคิดแก้แค้น  การอาฆาตพยาบาท  การคิดร้าย การคิดลบ  กล่าวคือ สิ่งที่เป็นภัยที่เกิดขึ้นจากจิตใจหรือความคิดของเราเอง  ซึ่งถือว่าเป็นยาพิษสำหรับจิตใจของเรา หรืออาจจะเปรียบได้ว่า เป็นการตกนรกภายในใจ ทั้งๆที่มีชีวิตอยู่ เนื่องจากเกิดความทุกข์  ความไม่สบายใจ
          อภัยทาน คือ การไม่พยาบาท การไม่ผูกใจโกรธ  การไม่อาฆาตจองเวร หรือคิดร้ายแม้กระทั้งศัตรูของตนเอง
            เราจะเห็นว่า ศาสนาพุทธ เมื่อผู้ใดได้ตายลงไปแล้ว ประเพณีของไทยเราส่วนใหญ่  เราก็จะจุดธูปแล้ว กล่าวขออภัยต่อศพ  ว่าสิ่งใดที่เราได้ล่วงเกินไปด้วยกาย วาจา  ใจ  ก็ขออโหสิกรรม ถึงแม้จะเป็นศัตรูก็ตาม เพราะถ้ายังผูกใจเจ็บซึ่งกันและกัน ก็จะส่งผลไปยังภพชาติหน้า
            แม้แต่ประเพณี สงกรานต์ของไทยเราหรือวันขึ้นปีใหม่หรือพิธีบวช ของไทยเรา  ก็ยังคงมีเรื่องของ การอโหสิกรรม ซึ่งจะทำให้ใจของเราเกิดการอภัยทานซึ่งกันและกัน  จึงเป็นเรื่องของการชำระล้างใจ ทำให้ใจของเราเกิดความสงบร่มเย็น
            การอภัยทานจึงต้องอาศัยการฝึกทำ ไปทีละเล็กทีละน้อย จนเป็นปกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก แต่ถ้าใครทำได้ก็จะเป็นเรื่องการสร้างบุญบารมีให้แก่ตนเอง เพราะการให้อภัยการเมตตาจะเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเอง มากกว่าคนที่เราผูกใจเจ็บ
            ซึ่งตามหลักการพุทธศาสนานั้นได้สอนไว้ว่า การให้อภัยทานคือการให้ทานสูงสุด เป็นการให้ทานที่สูงกว่าการให้ธรรมทานเสียอีก การให้ธรรมทาน 100 ครั้ง ก็ไม่อาจสู้หรือได้บุญน้อยกว่าการให้     “ อภัยทาน”   
          การทะเลาะกัน ก็เหมือนกับ การโทรศัพท์หากัน ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยตอบโต้กัน ถ้าการพูดต่อโต้กันเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่มีความสุข เรื่องความรัก ความอบอุ่น ก็ดีไป แต่ถ้า ทะเลาะกันผ่านทางโทรศัพท์  ถ้ามีฝ่ายหนึ่งหยุดพูด  อีกฝ่ายก็ไม่สามารถโต้ตอบได้ ก็จะไม่เกิดอารมณ์ โกรธ เกลียด ที่มากขึ้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้น การหลบเลี่ยง การหลบหนี การหยุดทะเลาะ การยอมแพ้บ้าง  จึงเป็นเรื่องของการไม่เพิ่ม อารมณ์ ความโกรธ  ความเกลียด  ความเครียดแค้น การผูกใจเจ็บ ให้มากขึ้นได้      
            กระผมได้ฟังเทศนาจากพระคุณเจ้าในอดีตซึ่งจำไม่ได้ว่ามาจากพระท่านใด ท่านกล่าวว่า  “ การที่เราโกรธใคร  ไม่ไปอหิโสกรรมใคร จะทำให้บาปนั้นติดภายในใจเราไปอย่างยาวนาน  ข้ามภพข้ามชาติ ถ้าเราไปเกิดใหม่ กรรมหรือบาปนั้น ก็ยังติดตามไปด้วย บางคนเกิดมามักจะถูกใส่ร้ายตลอด บางคนเกิดมาก็มีผู้คนกลั่นแกล้ง ทำร้ายตลอด  นั่นเพราะเกิดจากกรรมในอดีต ”

            จงชนะใจของตนเองด้วยการให้อภัยทาน แล้วท่านจะพบกับความสุขภายในใจของตนเอง  จงแผ่เมตตาให้ตนเอง ให้กับผู้คน ให้กับสัตว์ร้ายและศัตรูของท่าน จงอโหสิกรรมให้แก่ตนเอง ผู้อื่น รวมทั้งศัตรูของท่าน จะทำให้ชีวิตของท่านเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน



วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561

​จะแข่งขันทางการตลาด....อย่างไรในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

จะแข่งขันทางการตลาด....อย่างไรในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
อดีตเรามีการปฏิวัติสังคมเกษตร  อดีตเรามีการปฏิวัติสังคมอุตสหกรรม และในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่อีกครั้งคือการปฏิวัติสังคมดิจิทัล ซึ่งในยุคสังคมเกษตรใครมีที่ดินมากกว่าย่อมมีความได้เปรียบในการแข่งขัน   ส่วนยุคสังคมอุตสหกรรมใครมีกำลังการผลิตที่มากกว่าคนคนนั้นมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ส่วนสังคมในยุคนี้ เราสามารถเอาชนะหรือหาทางได้เปรียบในการแข่งขันจากอะไร?
คำตอบก็คือ ในยุคนี้ เราสามารถเอาชนะในการแข่งขันหรือสร้างความได้เปรียบก็ด้วย วิธีคิดครับ...
โดยเฉพาะการคิดสร้างสรรค์การคิดเชิงนวัตกรรม และอีกหลายปัจจัยที่จะกล่าววอีกต่อไป  ซึ่งเราจะเห็นว่า ในยุคปัจจุบัน คนใช้อินเตอร์เน็ตกันเยอะมากๆ  โดยใช้กันทั่วทั้งโลก รวมทั้งประเทศไทยของเราก็เช่นกัน เรามีคนใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นทุกๆปี
Smartphone (สมาร์ทโฟน) คือเครื่องมือและคำตอบในปัจจุบัน ในอดีตเราเล่นอินเตอร์เน็ตโดยผ่านคอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ แต่ในปัจจุบัน Smartphone (สมาร์ทโฟน) มาแทนที่เนื่องจากมีความสะดวกสบาย สามารถพกพาไปได้ทุกแห่ง  ง่ายต่อการใช้งาน  พวกเราลองสังเกตในชีวิตประจำวัน เวลาเราขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดิน เราจะเห็นผู้คนใช้ Smartphone (สมาร์ทโฟน)หรือแม้แต่คนในครอบครัวเราเองก็เช่นกัน
อินเตอร์เน็ต คือ แหล่งที่รวมของ ข้อมูล ข่าวสาร การค้า การศึกษา ความบันเทิง  เกมส์  ดูหนัง ฟังเพลง  ฯลฯ ซึ่งเป็นแหล่งที่ใหญ่มาก และถ้าใครที่เก่งภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะภาษาอังกฤษก็จะยิ่งได้รับประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น จึงไม่แปลกใจว่าทำไม บริษัท องค์กรต่างๆ จึงเลือกที่จะสื่อสารกับลูกค้า ผู้บริโภค หรือประชาชน โดยผ่านอินเตอร์เน็ตมากขึ้น
ถามว่า แล้วจะแข่งขันอย่างไรในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล คำตอบก็คือ
1.การใช้ความคิดสร้างสรรค์และการใช้ความคิดสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ   การสื่อสารหรือการขายของหรือการประชาสัมพันธ์ผ่านอินเตอร์เน็ต ถ้ามีความเหมือนกัน ไม่แตกต่างกัน ก็จะทำให้ผู้ชมหรือผู้เข้ามาดูไม่เกิดความน่าสนใจ ดังนั้น การคิดสร้างสรรค์และการคิดนวัตกรรมใหม่ๆ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะการสร้างความแตกต่าง จะทำให้เกิดความน่าสนใจ เกิดการอยากติดตาม เกิดการอยากที่จะซื้อ หรือพูดง่ายๆว่า ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลจะต้องคิดนอกกรอบมากขึ้น
2.การใช้ Big Data เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในยุคนี้   บารัก โอบามา ชนะการเลือกตั้ง 2 สมัยก็เพราะการใช้ประโยชน์จาก Big Data ต่อมาโดนัลด์ ทรัมป์และฮิลลารี คลินตัน ก็พยายามใช้ Big Data เช่นเดียวกัน Big Data สามารถนำเอามาใช้ในการวิเคราะห์ฐานเสียง ซึ่งทั้งสองคนถึงกับลงทุนจ้างบริษัทที่ทำงานด้านนี้มาช่วยในการหาเสียง ดังนั้น ข้อมูลจึงมีความสำคัญ ใครที่มีข้อมูลที่ลึกกว่า ดีกว่า ถูกต้องมากกว่า  เร็วกว่า ทันสมัยกว่า แล้วสามารถนำเอามาวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งเอาข้อมูลไปใช้ประโยชน์มักที่จะได้เปรียบต่อการแข่งขัน
3.การใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย เทคโนโลยีทำให้เกิดความสะดวก  เกิดความรวดเร็ว เกิดความแม่นยำและถูกต้อง ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ให้ความสำคัญ เช่น การวางระบบจ่ายเงินผ่านธนาคารออนไลน์ , การเลี้ยงไก่และเลี้ยงหมูโดยการใช้เทคโนโลยีทางด้านการเกษตรเข้าช่วย    , การใช้คอมพิวเตอร์  เครื่องจักรที่ทันสมัยเข้าช่วยทำงานแทนแรงงานคน  ฯลฯ
4.การค้นหาหรือการสร้างธุรกิจ Startup ขึ้นมา คือ ธุรกิจประเภทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หรือแบบก้าวกระโดด ส่วนใหญ่จะเป็น แอพพลิเคชั่นหรือเวปไซค์ที่ช่วยแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน  เช่น สมัยอดีต Facebook กับ Youtube  ถือว่าเป็น Startup ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งต้องอาศัยไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์  นวัตกรรม มากกว่าการใช้เงินทุน
5.การใช้กลยุทธ์ Growth Hacking คือ การค้นหากลยุทธ์ใหม่ๆที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว  เช่น การใช้เครื่องมือโปรโมทหรือเครื่องมือการสื่อสารใหม่ๆ แทนที่จะใช้ Facebook ads หรือมีการปรับใช้เวปไซค์ที่ทันสมัยเพื่อให้รูปสวยขึ้น(รูปบ้าน รูปรถ รูปสินค้าต่างๆของลูกค้า) ,  หรือการเปลี่ยนแปลงสินค้า  ผลิตภัณฑ์ บริการ ให้เกิดความแปลกใหม่ แล้วทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 50 เท่า 100 เท่า
6.การคิดและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทุกๆวัน ทุกๆอาทิตย์ ทุกๆปี  คนที่จะประสบความสำเร็จในยุคนี้จะต้อง คิดและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  ไม่หยุดยั้ง   ต้องคิดต่อยอดอยู่ตลอดเวลา  ไม่หยุดนิ่ง กล่าวคือจะต้องคิดว่า จะทำอย่างไรให้สินค้าดีขึ้น  จะทำอย่างไรให้ขายสินค้าได้มากขึ้น จะทำอย่างไรให้ช่องทางการจัดจำหน่ายดียิ่งขึ้น จะทำอย่างไรให้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น
7.การเข้าหาหน่วยงานที่คอยให้การช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัย  กรมส่งเสริมอุตสหกรรม กระทรวงพาณิชย์   ธนาคารหลายแห่ง  อีกทั้งในยุคปัจจุบัน รัฐบาลมีกองทุนสนับสนุน และจัดตั้งหน่วยงานให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าเรื่องการฝึกอบรม  การเป็นที่ปรึกษา การหาแหล่งเงินทุน  การรวมกลุ่มกันเพื่อเป็นพันธมิตรทางด้านการค้า  แก่ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ในการทำธุรกิจ จงเข้าไปหาหน่วยงานและขอรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานเหล่านั้น
8.การขยายกิจการ ไปยังต่างประเทศ  เริ่มต้นเราอาจทำธุรกิจในประเทศไทย มีคนประชากรประมาณ 63 ล้านคน แต่ถ้าเราขยายไปยังอาเซียนหรือขยายธุรกิจไปทั่วโลก เราก็จะมีฐานลูกค้ามากขึ้นเป็นหลายพันเท่าเลยทีเดียวซึ่งในยุคนี้สามารถทำได้ง่ายกว่ายุคในอดีต เพราะเราสามารถขายผ่านอินเตอร์เน็ตโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร หรือทำคลิปแนะนำโดยพูดเป็นภาษาอังกฤษ เป็นต้น
ดังนั้นเราจะสามารถเอาชนะในการแข่งขันทางด้านการตลาด ก็ด้วยปัจจัยที่กล่าวไปในข้างต้น  ซึ่งในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลนี้  ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง มีการปรับตัว มีการปรับปรุง และพัฒนาตนเองตลอดเวลา  จึงจะประสบความสำเร็จในการแข่งขันในยุคนี้





วันพุธที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2561

การให้อภัยศัตรู

การให้อภัยศัตรู
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
                การให้อภัย มีความสำคัญมากต่อ สุขภาพจิตใจ สุขภาพร่างกายของเรา เพราะการให้อภัยจะทำให้เราไม่ยึดติดในความร้อน ความแค้น เมื่อไม่ร้อน จิตก็จะกลางๆ คือเข้าสู่ความสงบ ความสว่าง ตามหลักการทางพุทธศาสนา  ตรงกันข้ามกับศัตรูของเรา เมื่อได้พูดไปแล้ว เมื่อได้กระทำต่อเราแล้ว ก็ลืมและก็ไม่ได้คิดมาก ศัตรูจึงไม่มีความทุกข์
            จงให้อภัย เป็นคำพูดที่ง่ายๆ แต่ในทางปฏิบัตินั้นยากมากๆ ที่จะให้อภัย โดยเฉพาะกับศัตรู  ตัวกระผมเอง ก็เคยมีประสบการณ์ ซึ่งเคยถูกข่มขู่ ที่จะฆ่า ที่จะทำร้าย ทำให้โกรธและอยากที่จะเอาคืน  แต่คิดโกรธ แค้นทีไร  ตัวกระผมเองก็เกิดความทุกข์ ความร้อนขึ้นทันที ซึ่งทำให้เกิดอาการและโรคต่างๆตาม มา เช่น โรคนอนไม่หลับ , โรคเครียด  โรคกระเพาะ  ตามมา
             ในทางจิตวิทยาได้กล่าวไว้ว่า  ถ้าเราคิดแต่สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในสมอง  ก็เสมือนเราเก็บของไม่ดีเอาไว้ในสมองมากๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะทำให้เราอ่อนแรง  ไม่มีพลังในการทำงาน อีกทั้งจะทำให้เราเกิดการเจ็บป่วยได้
            การให้อภัยจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะเป็นผลดีต่อเรามากกว่าเป็นผลดีต่อศัตรูของเรา  ซึ่งเทคนิคการให้อภัยมีดังนี้
            1.เราไม่ควรคิดทบทวนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะจะทำให้เรายิ่งเจ็บแค้น  ควรเปลี่ยนเรื่องคิด หรือความคิดที่ดีๆ มาใส่แทน  เสมือนว่า ในแก้วน้ำมียาพิษ หากว่าเราต้องการให้ยาพิษหมด เราต้องหาน้ำดีเติมลงไป เมื่อเติมลงไปเยอะๆ  น้ำและยาพิษก็จะล้นออกจากแก้ว  ก็จะทำให้ ยาพิษจางและค่อยๆหายไป ในที่สุด ดังนั้น ต้องหาความคิดที่ดีๆ  ความสุขเติมลงไปเยอะๆ
            2.เข้าหาศาสนา ทุกศาสนาจะสอนให้ “ ให้อภัย”  ศาสนาพุทธ “ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”  ศาสนาคริสต์ “ เมื่อถูกคนตบหน้าด้านซ้ายก็จงเอาด้านขวาให้เขาตบด้วย”  หรือพระเยซูเอง ตอนตาย ก็ถูกตรึงไม้กางเขน ก่อนตายก็พูดกับพระเจ้าว่า “ ให้อภัยเขา”
          พระคัมภีร์ไบเบิล  ก็ยังได้กล่าวไว้ว่า “เรา​ให้​อภัย​คน​อื่น​เมื่อ​เรา​ไม่​ถือ​โทษ​และ​ไม่​เรียก​ร้อง​ให้​เขา​มา​ขอ​โทษ​หรือ​ชด​ใช้ คัมภีร์​ไบเบิล​สอน​ว่า​ความ​รัก​แบบ​ไม่​เห็น​แก่​ตัว​เป็น​หัวใจ​สำคัญ​ของ​การ​ให้​อภัย​อย่าง​แท้​จริง เพราะ​ความ​รัก ไม่​จด​จำ​เรื่อง​ที่​ทำ​ให้​เจ็บใจ”—1 โครินท์ 13:4, 5
            3.จงคิดบวกหรือเปลี่ยนทัศนคติให้บวก  เช่น เหตุการณ์ที่เลวร้ายนี้ ทำให้เราได้รับบทเรียนในชีวิต  อนาคตเราจะได้ไม่ทำผิดพลาดอีก และคิดเสียว่า บุคคลที่ได้ทำลายเรา ก็จะถูกเวรกรรมตามทัน
            4.จงหลีกเลี่ยง หรือไม่พบกับบุคคลที่เป็นศัตรูของท่าน เพราะจะทำให้ท่านคิดหรือเขาอาจจะสร้างปัญหาให้แก่ท่านได้ หรือ หลีกเลี่ยงไปยังสถานที่ของศัตรูของท่านหรือหลีกเลี่ยงพบกับพวกพรรคของเขา
โดยสรุปเมื่อท่านได้ให้อภัยแก่ศัตรูของท่าน ท่านก็จะได้รับประโยชน์ดังนี้ 
1. ท่านจะเป็นผู้ชนะ เพราะท่านจะชนะใจตนเอง อีกทั้งท่านจะไม่แคร์ศัตรูท่านอีกต่อไป
2. ท่านจะไม่คิดถึงมันเพราะแผลในหัวใจของท่านได้จางหายไปเสียแล้ว ทำให้ไม่เกิดความทุกข์กับเรื่องนั้นอีกต่อไป
3.ท่านจะได้รับ สารความสุข Endophine เพิ่มมากขึ้น
4.ท่านจะมีความภาคภูมิใจในตัวของท่านเอง เพราะ ท่านสามารถทำสิ่งที่ยากได้
5.ท่านจะไม่ได้สร้างเวร สร้างกรรม ต่อกันอีกต่อไป เพราะบางคน คิดจะแก้แค้นถึงกับฆ่ากันตายกันเลยทีเดียว จนตัวเองต้องเข้าคุกเข้าตารางกันไป






วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2561

บทความ เทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและคิดสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด

เทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและคิดสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
            ในบทความนี้กระผมจะไม่ขอพูดถึงความหมายของคำว่า “ นวัตกรรม ”  และความหมายของคำว่า “ ความคิดสร้างสรรค์”  เนื่องจากกระผมได้เคยเขียนไว้ในบทความฉบับก่อนหน้านี้แล้ว
            แต่บทความฉบับนี้ จะลงไปในเรื่องของรายละเอียดเรื่องของเทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและคิดสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด คนที่จะสร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ทางด้านการตลาดได้ จะต้องมีการพัฒนาด้านความคิดกันก่อนเป็นอันดับแรกๆ   ผมมีนิทานฉบับย่อๆ หนึ่งเรื่องจะเล่าให้ฟัง
            กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  ได้มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง หมู่บ้านแห่งนี้ได้จัดให้มีการแข่งขัน โดยการเดินทางไกลไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งจะต้องเดินทางเป็นระยะทาง 300 กม. ปรากฏว่ามีคนอยู่ 3 กลุ่ม ได้เข้าร่วมการแข่งขัน กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มใหญ่สุด ซึ่งผู้เข้าแข่งขันใช้วิธีเดินโดยการแบกเป้เอาไว้ด้านหลังซึ่งเป็นความคิดของคนโดยทั่วไปในสมัยนั้น  กลุ่มที่ 2 ใช้เกวียนเป็นพาหนะในการเดินทาง เป็นกลุ่มรองลงมา ที่คิดวางแผนก่อนที่จะเข้าแข่งขันโดยหาเครื่องมือทุ่นแรง  กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มคนที่มีน้อยที่สุด เขาริเริ่มคิดที่จะใช้เครื่องมือแปลกใหม่ๆหรือค้นหาวิธีการใหม่ๆ  เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแข่งขันเพื่อไปให้ถึงเส้นชัยโดยหาเครื่องมือที่ไปหรือขับเคลื่อนได้ไวกว่าเกวียน
            กระผมให้ท่านผู้อ่านเดาครับ ว่าคนกลุ่มไหนจะมีโอกาสชนะในการแข่งขัน แน่นอนครับ กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่มีน้อยที่สุด แต่เป็นกลุ่มที่ใช้ความคิดมากที่สุดเพื่อที่จะหาเครื่องมือใหม่ๆแปลกๆในการแข่งขัน
ถ้าเปรียบดังการแข่งขันด้านการตลาด กลุ่มที่ 1 เป็นพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปมีมากที่สุด ขายสินค้าเหมือนๆกัน  กลุ่มที่ 2 มีน้อยลงมาหน่อยคือพ่อค้าแม่ค้าที่รู้จักใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือ เทคโนโลยีเข้าช่วยในการทำงาน ส่วนกลุ่มที่ 3 มีน้อยที่สุด เป็นกลุ่มที่คิดพัฒนานวัตกรรมกับความคิดสร้างสรรค์ก่อนที่จะเข้าสู่การแข่งขัน      เช่น สตีฟ จอบส์ พัฒนาสินค้าตระกูล I ก่อนซึ่งต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะได้สินค้าแต่ละตัวแต่ตรงกันข้ามกับเจ้าของธุรกิจทั่วไป เขาอยากจะเปิดร้านขายอะไรก็เปิด ไม่ยอมคิดสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาด
            ดั้งนั้นเทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ทางการตลาดมีดังนี้
1.จงคิดสร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ทางการตลาดก่อนที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจจะต้องมีการวางแผน    การทำวิจัย  หรือการตั้งหน่วยงานนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ขึ้นในองค์กร  ซึ่งการวางแผน การทำวิจัยก่อนที่จะเปิดขายสินค้า ขายผลิตภัณฑ์ อาจจะทำให้เสียเวลาในช่วงแรก แต่ถ้ามองในระยะยาวจะมีผลดีตรงข้ามกับคนกลุ่มใหญ่ที่คิดจะเปิดร้านขายสินค้า ผลิตภัณฑ์อะไรก็เปิดเหมือนๆกันกับคู่แข่งขัน อาจจะไม่เสียเวลาและง่ายในการเริ่มต้น แต่ในระยะยาวจะไม่เกิดผลดีและอาจจะพ่ายแพ้ต่อการแข่งขัน
2.จงศึกษาความแตกต่างและความเหมือนกัน  จงค้นหาความแตกต่างของสิ่งที่เหมือนกัน
 และจงค้นหาความเหมือนกันในสิ่งที่แตกต่างกัน  เช่น ของโต๊ะ   เก้าอี้   ตู้   กาแฟ   สินค้าต่างๆ  บริษัทต่างๆ  ซึ่งการคิดบ่อยๆก็จะทำให้เราเห็นความแตกต่างกันระหว่างสินค้า ผลิตภัณฑ์  การตลาดของเรากับคู่แข่งขันและสามารถคิดวิเคราะห์ได้ดียิ่งขึ้น
3.จงจินตนาการ เพราะ อัลเบิรต์ ไอน์สไตน์  อัจฉริยะระดับโลกได้กล่าวไว้ว่า “ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” และนักวิทยาศาสตร์  นักประดิษฐ์  นักวิจัย  นักวิชาการ  นักการเมือง ระดับโลก บุคคลเหล่านี้เขามีจินตนาการและรู้จักใช้จินตนาการมากกว่าคนทั่วไป เช่น JFK อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้พูดไว้ว่า จะส่งคนไปดวงจันทร์ ซึ่งในสมัยนั้นเป็นไปได้ยากมากๆและคนทั่วไปอาจจะยังมองไม่เคยภาพ  แต่ ประธานาธิบดี JFK ก็มีจินตนาการที่จะส่งคนไปดวงจันทร์ให้ได้และก็ทำสำเร็จในเวลาต่อมา  บุคคลที่ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาดก็เช่นกัน ควรใช้จินตนาการให้มากขึ้น
4.จงนำเอาสิ่งตั้งแต่ 2 สิ่งขึ้นไปมารวมกัน เช่น  ยาสีฟันรวมตุ๊กตา(หลอดยาสีฟันแต่ตัวหลอดกับหัวหลอดยาสีฟันเป็นตัวตุ๊กตาที่มีความแปลกๆหรือตุ๊กตาที่อยู่ในกระแสความดัง)  , การนำเอาสิ่ง 3 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง (ธนาคาร+ร้านกาแฟ+ร้านอินเตอร์)  ,  การนำเอาสิ่ง 4 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง ปั๊ม ปตท.(ปั๊มน้ำมัน +คาเฟ่ อเมซอน+7-11+เชสเตอร์กริลล์) , การนำเอาสิ่ง หลาย สิ่งมารวมกัน ตัวอย่างเช่น  (มีด+ไขควง+กล้องขยาย+ช้อน+ส้อม+กรรไกร+ไม้จิ้มฟัน+ปากกา+ที่แคะขี้หู+เลื่อยขนาดเล็ก+เข็มทิศ+กรรไกรตัดเล็บ+คีม) สิ่งเหล่านี้สามารถพับออกมาใช้งานได้และสามารถพับเก็บได้ในชิ้นเดียวกัน
            เทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ทางการตลาด ทั้ง 4 อย่างข้างต้นนี้จะช่วยให้เกิดสิ่งใหม่ๆ และเกิดสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม อีกทั้งยังช่วยสร้างความได้เปรียบทางด้านการแข่งขันให้เหนือกว่าคู่แข่งขันอีกด้วย  จงสร้างนวัตกรรมและใช้ความคิดสร้างสรรค์ทางการตลาดอยู่ตลอดเวลา เพราะสิ่งที่เราคิดได้ว่าเป็นสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่แปลกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเป็นสิ่งเก่าทันที เนื่องจากมีคนเลียนแบบ

ดังนั้น จงสร้างนวัตกรรมและคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องแล้วท่านจะเป็นผู้รับชัยชนะ และเป็นผู้นำทางด้านตลาดในวงการธุรกิจของท่าน