วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษคือ ฟัง ฟัง ฟัง

เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษคือ ฟัง ฟัง ฟัง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
          การที่จะพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง เราต้องเริ่มต้นที่ การฟัง ฟัง ฟัง เราลองนึกภาพ เด็กทารกอเมริกัน  เราจะฝึกให้เด็กทารก พูดภาษาอังกฤษได้ เราต้องทำอย่างไร เราจะซื้อหนังสือภาษาอังกฤษให้อ่านหรือ  เปล่าเลย สิ่งแรกที่พ่อแม่ชาวอเมริกาต้องทำก็คือ พูดให้เด็กทารกฟัง บ่อยๆ มากๆ เช่นฝึกให้เรียกพ่อ แม่  ซึ่ง พ่อ  แม่ ต้องพูดให้เด็กทารกฟัง เป็นจำนวนหลายร้อยครั้ง กว่าเด็กจะจำได้ แล้วเริ่มพูดคำว่า “ พ่อ ”  “ แม่ ” หรือคำอื่นๆ กิน , นอน , นั่ง ฯลฯ ต่อจากนั้นเด็กทารกอเมริกา จึงสามารถพูดเป็นประโยคได้ เด็กสามารถพูดเป็นประโยคได้ เมื่อฟังภาษาอังกฤษมากพอ บางคนกว่าจะพูดได้ต้องฟังภาษาอังกฤษเป็นเวลานานถึง 1-2 ปี แล้วจึงเริ่มพูดได้ (ทั้งนี้แล้วแต่พัฒนาการของเด็กทารกแต่ละคนมีไม่เท่ากัน)
            แล้ว เราจะฟัง อย่างไร ถึงจะทำให้พูดได้ เราจะเริ่มจากการฟังข่าวภาษาอังกฤษดีไหม เราจะเริ่มจากการดูหนังฝรั่งดีไหม(soundtrack)เราจะเริ่มจากการฟังเพลงดีไหม คำตอบคือได้ครับ แต่เราจะใช้เวลานานมาก กว่าเราจะฟังรู้เรื่อง(เพราะศัพท์บางคำยากที่จะเข้าใจ) อีกทั้งบางคนอาจเบื่อไปเสียก่อน เนื่องจากฟังไม่รู้เรื่อง
            เทคนิคในการฟังภาษาอังกฤษที่ดีคือ เราต้องเริ่มจากการฟังที่ง่ายๆก่อน แล้วไปยากขึ้น ยากขึ้น เช่น เราต้องฟังนิทานสำหรับเด็กทารกหรือนิทานสำหรับเด็กเล็ก เมื่อเราฟังนิทานเหล่านี้ เราจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น กล่าวคือ นิทานบางเรื่องเราจะเข้าใจถึง 80-90 % เมื่อเราฟังนิทานสำหรับเด็กเล็กไปมากๆแล้ว จะทำให้ทักษะการฟังของเราดีขึ้น เราจึงค่อยเริ่มฟัง เรื่องราวนิทานสำหรับเด็กวัยรุ่น ซึ่งวัยรุ่นในที่นี้ตั้งแต่อายุ 12-19 ปี ซึ่งเรื่องราวนิทานสำหรับวัยรุ่นนี้ จะเริ่มมีศัพท์ภาษาอังกฤษที่ยากขึ้น และเมื่อเราฟังรู้เรื่องมากขึ้น เขาจะเข้าใจถึง 80-90 % แล้วเราค่อยไปดูหนังฝรั่ง ฟังข่าว(BBC VOA) เป็นต้น
            ทำไมผมถึงไม่แนะนำให้ดูหนังฝรั่ง(soundtrack) หรือฟังข่าวภาษาอังกฤษ สำหรับคนที่ฝึกใหม่ๆ หรือไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษ เพราะในหนังฝรั่งหรือข่าวภาษาอังกฤษ จะใช้คำศัพท์ที่ยาก เมื่อเราฟังไม่รู้เรื่องเราจะเริ่มเบื่อหน่าย อีกทั้งเทคนิคการฟังภาษาอังกฤษที่ดี เราไม่ควรเปิดคำบรรยาย (Subtitle) ไม่ว่าทั้งภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ
            เพราะถ้าเราเปิดคำบรรยาย (Subtitle)  ความสนใจของเราจะไม่มุ่งไปที่การฟัง แต่เราจะมุ่งสนใจไปกับการอ่าน  แต่ถ้าใครอยากจะฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ก็สามารถเปิดคำบรรยาย (Subtitle) ภาษาอังกฤษไปด้วยก็ได้ ก็จะทำให้เพิ่มทักษะการอ่านภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น แต่ไม่ควรเปิดคำบรรยาย (Subtitle) เป็นภาษาไทย เพราะจะทำให้การฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ได้ผลน้อยลง
            ทำไมผมถึงให้ฝึกฟังในสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับการยกน้ำหนัก ถ้าเราฝึกยกน้ำหนักใหม่ๆ เราไม่ควรเริ่มยกน้ำหนักที่มากๆ เพราะเราไม่สามารถยกได้ ภาษาอังกฤษก็เช่นกัน เราไม่ควรฝึกฟังในสิ่งที่ยากๆ เช่น เรื่องราว ข่าว หนัง ที่มีคำศัพท์ที่ยากๆ เมื่อเราฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ก็จะทำให้เราท้อแท้ เบื่อหน่ายในการฝึกภาษาอังกฤษ
            ฉะนั้น เมื่อเราฝึกยกน้ำหนักใหม่ๆ เราควรเริ่มจากน้ำหนักที่น้อยๆ แล้วจึงเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น มากขึ้น สรุปก็คือ เราควรฝึกฟังเรื่องราว ข้อมูลภาษาอังกฤษจากสิ่งที่ง่ายๆ ไปก่อน แล้วจึง ฝึกฟังภาษาอังกฤษในเรื่องราวที่ยากขึ้น เป็นลำดับไป
            ที่นี่ เราลองสังเกตดูว่า ทำไมคนไทยเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย แล้วทำไมถึงพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้ เพราะในชั้นเรียนเราเรียนเรื่องของการอ่าน การเขียน เรียนหลักภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับไวยากรณ์ แต่ไม่เน้นการฟังภาษาอังกฤษ ครูที่สอนส่วนใหญ่ก็เป็นคุณครูคนไทย พอสอนวิชาภาษาอังกฤษก็มักจะพูดภาษาไทยในการสอนภาษาอังกฤษ ก็เลยทำให้เด็กๆ ขาดทักษะการฟังที่มากพอนั่นเอง


นักการตลาดยุคดิจิทัล

นักการตลาดยุคดิจิทัล
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
ยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีมีความทันสมัย ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ แปลกๆตลอดเวลาเฉพาะในโลกของอินเตอร์เน็ต ซึ่งโลกของอินเตอร์เน็ตมีการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร การค้าขาย การเมือง ตลาดหุ้น ความรู้ การศึกษา การกีฬา ฯลฯ ไปทั่วทุกมุมโลก
ดังนั้น นักการตลาดดิจิทัลจึงเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วนักการตลาดยุคดิจิทัลต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง นักการตลาดยุคดิจิทัลควรมีคุณสมบัติดังนี้
1.ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาและรักการเรียนรู้ ในโลกยุคนี้ เป็นโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง มีความรู้และสินค้าแปลกๆใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น นักการตลาดยุคดิจิทัล ต้องเป็นนักอ่านมาก นักฟังมาก นักอบรมสัมมนา อยู่ตลอดเวลา จึงจะสามารถติดตามความรู้ ข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ อย่างท่วงทันที
เช่นในยุคนี้ มีการพูดถึงคำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ๆ ในโลกของอินเตอร์เน็ต ซึ่งนักการตลาดจะต้องรู้และทำความเข้าใจถึงจะสามารถสื่อสารไปยังลูกค้าได้หรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น คำว่า Reach , Awareness ,. Impression, Content Marketing , Engagement , Conversion , Viral,Digital Marketing ,SEO , SEM ฯลฯคำศัพท์เหล่านี้ เป็นคำศัพท์ที่นักการตลาดยุคดิจิทัล ควรรู้และทำความเข้าใจ ถ้าหากว่าท่านยังไม่รู้ ก็ควรหาข้อมูลและทำการศึกษาเพื่อนำเอาไปใช้ในการทำงานต่อไป
2.ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ ชอบสิ่งใหม่ๆ ชอบการเปลี่ยนแปลง เพราะโลกยุคนี้ อะไรๆ ก็รวดเร็วไปหมด โดยเฉพาะเทคโนโลยี ไม่ว่า มือถือ , คอมพิวเตอร์ , โปรแกรมหรือเครื่องมือต่างๆที่ใช้ผ่านอินเตอร์เน็ต มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง หากว่า ท่านต้องการจะเป็นนักการตลาดยุคดิจิทัล ท่านต้องเป็นคนชอบเรียนรู้ ชอบทดลอง เมื่อมีนวัตกรรมใหม่ๆ ในโลกของอินเตอร์เน็ตโดยเล่นผ่านหรือเชื่อมโยงผ่านมือถือหรือคอมพิวเตอร์ ท่านต้องรีบทดลองใช้ เครื่องมือที่ใช้ผ่านอินเตอร์เน็ตบางเครื่องมือ ใช้ได้เพียงแค่ 1-2 เดือน ก็ไม่นิยมใช้แล้ว แต่มีของใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ฉะนั้น นักการตลาดยุคดิจิทัล ต้องกล้าใช้ กล้าที่จะทดลอง เพื่อนำเอาไปใช้ในการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็น Hi5,Youtube, Facebook,Twitter,Line,Instagram,แอปและเกมต่างๆ เป็นต้น
3.ต้องเป็นนักจับกระแสทางการตลาดได้ เครื่องมือที่ใช้ในโลกอินเตอร์ เช่น Facebook,Twitter,Line,Instagram,แอปและเกมต่างๆ ความนิยมที่มีอาจจะมีไม่เท่ากัน บางยุคบางสมัย คนนิยมเล่น Hi5 แต่เดี๋ยวนี้คนกลับนิยมเล่น Facebook ส่วน Hi5 แทบไม่มีคนรู้จักในยุคปัจจุบัน ดังนั้น นักการตลาดยุคดิจิทัล จะต้องจับกระแสให้ได้ว่า ปัจจุบันลูกค้า ใช้เครื่องมืออะไรหรือชอบเล่นอะไร เพื่อที่เราจะสามารถติดต่อสื่อสารและขายสินค้าบริการกับลูกค้าของเราได้
4.ต้องวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าและวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าได้ เช่นต้องรู้ว่า ลูกค้าของเราเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง อายุเท่าไร สถานที่อยู่อาศัย ชอบอะไร สนใจอะไร
ซึ่งในยุคปัจจุบันเราสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ช่วยในการวิเคราะห์ เช่นใน Facebook มีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ว่า เราสามารถที่จะโฆษณาใน Facebook กับกลุ่มผู้ชายหรือผู้หญิง มีอายุเท่าไร สนใจเกี่ยวกับอะไร อยู่จังหวัดอะไร เราสามารถกำหนดเป้าหมายในการโฆษณา Facebook ได้
5.ต้องเป็นนักสื่อสารที่ดี ต้องสามารถให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ ต้องสามารถนำเสนอสินค้า บริการ ผลิตภัณฑ์ ที่ทำให้ดูแล้วน่าสนใจ อีกทั้งต้องมีการนำเสนอบ่อยๆ ซ้ำๆ เพื่อก่อให้เกิดการจดจำได้ โลกยุคดิจิทัล บริษัทเล็กๆ มีงบประมาณน้อย แต่สามารถสร้างความจดจำได้ดีกว่า บริษัทใหญ่ๆ ที่มีงบประมาณมากๆ ปัจจัยหนึ่งก็คือ นักการตลาดยุคดิจิทัลของบริษัทเล็กๆที่ประสบความสำเร็จ มักจะเป็นนักสื่อสารที่ดี สร้างความแปลกใหม่ สร้างความสนใจให้แก่กลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า นักการตลาดยุคดิจิทัลของบริษัทใหญ่ๆ พูดง่ายๆว่า บริษัทเล็กๆ มี Content ที่ดีกว่า ดึงดูดใจกลุ่มลูกค้ามากกว่านั้นเอง
6.ต้องเป็นนักหาข้อมูลและสามารถนำเอาข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ นักการตลาดยุคดิจิตอลจะต้องรู้ว่า จะหาข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าหรือข้อมูลที่เราต้องการได้จากแหล่งไหน และสามารถนำเอาข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เช่น นักการตลาดยุคดิจิทัลบางคนที่เก่งในการหาข้อมูล เขาสามารถหาข้อมูลจาก เว็บไซต์ถึง 10 เว็บไซต์ได้ในเวลาเดียวกัน โดยหาผ่านคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือสื่อสารต่างๆถึง 10 เครื่อง โดยเว็บไซต์เหล่านั้น เขาหาผ่าน Google + เพราะ Google + สามารถทำการวิเคราะห์ข้อมูลให้ด้วย
7.ต้องสามารถเขียนภาษาอังกฤษได้ ถ้าหากว่าต้องการจะขายสินค้า บริการ ผลิตภัณฑ์ ไปทั่วโลก นักการตลาดยุคดิจิทัล ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นตัวสื่อสารให้คนหรือลูกค้าทั่วโลกได้รู้จักสินค้า บริการ ผลิตภัณฑ์ของเรา เพราะถ้าเราเขียนภาษาไทยลงไปในโฆษณาในอินเตอร์เน็ต คนไทยเท่านั้นหรือคนอ่านภาษาไทยซึ่งมีจำนวนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่สามารถอ่านภาษาอังกฤษออก ฉะนั้น นักการตลาดยุคดิจิทัล จำเป็นจะต้อง เขียนภาษาอังกฤษหรือพูดภาษาอังกฤษได้ หากต้องการสื่อสารลงใน Youtube
ดังนั้น หากว่าท่านมีคุณสมบัติข้างต้น กระผมเชื่อว่าท่านจะเป็นนักการตลาดดิจิทัลที่เก่งและเป็นนักกาตลาดดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน


อาวุธทางการตลาด การสร้างแบรนด์


อาวุธทางการตลาด การสร้างแบรนด์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
            สภาพแวดล้อมในการแข่งขันในยุคปัจจุบันทำให้ธุรกิจทุกประเภท ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับการแข่งขัน ซึ่งรวมไปถึงหน่วยงานในองค์กรราชการด้วย  ก็มีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคปัจจุบัน
                เมื่อองค์กรจำเป็นจะต้องมีการปรับตัว ฉะนั้น หน่วยงานต่างๆ ที่ทำงานอยู่ภายในองค์กรเองก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัว  ไม่ว่าฝ่ายบุคคล ฝ่ายการเงิน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายการตลาด
                สำหรับบทความที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ กระผมขอพูดถึงเฉพาะเรื่องของการตลาด และขอเขียนถึงเฉพาะเรื่องของการสร้างแบรนด์ ซึ่งการสร้างแบรนด์มีความสำคัญมากในการทำการตลาดขององค์กร ของบุคคล ของสินค้า ของบริการ ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์มีดังนี้
                1.จงสร้างการจดจำในแบรนด์ให้กับลูกค้า เช่น
เมื่อกล่าวถึง KFC ท่านคิดถึงอะไร  หลายคนบอกว่า คิดถึง ผู้พัน KFC คิดถึงไก่ทอด
เมื่อกล่าวถึง  Nike  ท่านคิดถึงอะไร  หลายคนบอกว่า คิดถึง รองเท้า คิดถึงคำว่า Just do it และคิดถึงเครื่องหมายถูก
เมื่อกล่าวถึง  Volvo ท่านคิดถึงอะไร หลายคนบอกว่า คิดถึง รถที่มีความปลอดภัยสูง
 เมื่อกล่าวถึง Marlboro  ท่านคิดถึงอะไร หลายคนบอกว่าคิดถึง บุหรี่ คิดถึงเคาบอยและคิดถึงสีแดง
เมื่อกล่าวถึง Benz   ท่านคิดถึงอะไร หลายคนบอกว่า คิดถึง รถที่มีราคาแพง รถที่มีความหรูหรา สมฐานะ มีระดับ
                ฉะนั้น ท่านต้องการให้ลูกค้าจดจำสินค้า บริการ องค์กร ของท่านในแง่มุมใด จงเขียนมันออกมา จงทำการบ้านก่อนที่จะเริ่มโฆษณา เริ่มประชาสัมพันธ์ เพราะเมื่อท่านยังหาคำตอบไม่ได้ว่าจะให้ลูกค้าจดจำท่านในแง่มุมใด ท่านก็จะเสียเวลา เสียเงินทองในการโฆษณา ในการประชาสัมพันธ์ สินค้า บริการ องค์กร โดยเปล่าประโยชน์
                2.จงสร้างโลโก้ (Logo Design) พร้อมทั้งสโลแกน ขึ้นมา
                Logo Design เป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่แทนตัวของสินค้า บริการ องค์กร การออกแบบโลโก้ จึงมีความละเอียดอ่อน ควรต้องคำนึงถึงเรื่องของสี  เรื่องของตัวอักษร  เรื่องของขนาดตัวอักษร เรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ที่สามารถสื่อสารผ่านโลโก้
                การสร้างสโลแกน ก็เช่นกัน ควรใช้คำพูด ถ้อยคำ ความหมายที่สามารถทำให้ลูกค้า จดจำหรือสามารถทำให้ลูกค้าพูดได้จนติดปากได้ยิ่งดี ส่วนใหญ่ สโลแกนมันจะเป็นคำสั้นๆ มีความคล้องจองกัน
                3.จงสร้างความแตกต่างของสินค้า บริการ องค์กร เพื่อนำไปสู่การสร้างแบรนด์ที่มีความแตกต่าง  เมื่อสินค้า บริการ องค์กร มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือเหมือนกันกับคู่แข่ง การสร้างแบรนด์ที่แตกต่างกันกับคู่แข่งขัน ก็จะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้า ตัวสินค้า บริการ องค์กร มีความแตกต่างกันกับคู่แข่ง การสร้างแบรนด์ให้มีความแตกต่างกับคู่แข่งขันจะทำได้ง่ายกว่า
                4.จงสร้างเนื้อหาในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ให้โดนใจเพื่อให้แบรนด์เป็นที่จดจำ หลายคนทำธุรกิจประเภท SME หรือธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก มักบ่นว่า ไม่มีงบประมาณในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ เหมือนธุรกิจขนาดใหญ่ แต่จริงๆ แล้ว ในยุคปัจจุบัน ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถ ทำการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ในราคาที่ถูก และแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ เช่น นำโฆษณาและประชาสัมพันธ์ไปลงในอินเตอร์เน็ต ( Youtube , Blog , Facebook,เว็ปไซค์ ฯลฯ) แต่ทั้งนี้ ท่านจะต้องทำเนื้อหาของเรื่องที่จะโฆษณาให้โดนใจ จึงจะสร้างการจดจำให้แก่ผู้ดูได้
                ฉะนั้น บริษัทใหญ่ มีงบประมาณจำนวนมาก ทำโฆษณาในโทรทัศน์คนดู 1 ล้านคน เสียเงินเป็นจำนวน 10 ล้านบาท ตรงกันข้าม หากท่านเป็นบริษัทขนาดกลางขนาดเล็ก ท่านใช้เงินแค่ 1 หมื่นบาทหรือไม่กี่พันบาท แล้วนำไปลงใน Youtube มีคนดูถึง 3 ล้านคน นั้นแสดงว่า ท่านสามารถใช้งบประมาณจำนวนน้อย แต่สามารถเอาชนะบริษัทใหญ่ที่ใช้งบประมาณมาก
                5.จงสร้างแบรนด์ ให้มีความเชื่อมโยงกัน ความจริงเราสามารถแบ่งการสร้างแบรนด์ได้หลายประเภท เช่น           1.แบรนด์บริการ 2.แบรนด์สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ 3.แบรนด์องค์กร 4.แบรนด์บุคคล 5.แบรนด์สถานที่หรือเมือง(ตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ)
                ฉะนั้น การสร้างแบรนด์  เราควรคำนึงถึงการเชื่อมโยงกันหรือการสร้างแบรนด์ไปพร้อมๆกัน  ก็จะเกิดผลกระทบหรือเกิดความสนใจมากกว่าการสร้างแบรนด์แค่ประเภทเดียว เช่น ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า เจ้าของบริษัท มักจะใช้ตนเองในการนำเสนอสินค้าโดยการลงโฆษณา ประชาสัมพันธ์  ดังตัวอย่าง ตัน ภาสกรนที ใช้ตนเองในการนำเสนอสินค้า(ชาเขียว) โดยผ่านสื่อโฆษณา สื่อประชาสัมพันธ์
                6.จงให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่นๆด้วยในการสร้างแบรนด์ เช่น ผลิตภัณฑ์ สินค้า บริการต้องมีคุณภาพจริงๆ , ต้องมีการนำเสนอสินค้าอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่หยุด , วิธีการสื่อสารต้องเหมาะสมมีความสัมพันธ์กับตัวของสินค้า รวมไปถึงการออกแบบเว็ปไซค์ , ต้องมีการวางแผนที่ดี , ภาพลักษณ์ของแบรนด์ต้องไม่ขัดแย้งกันเอง
จากปัจจัยข้างต้น   เราจะเห็นได้ว่า การสร้างแบรนด์มีความสำคัญมากในการทำการตลาดขององค์กร   การสร้างแบรนด์ ก่อให้เกิดกำไร  การสร้างแบรนด์ทำให้เกิดผลดีในระยะยาว ฉะนั้น นักการตลาดที่เก่งหรือนักการตลาดมืออาชีพ จึงต้องคำนึงเรื่องของการสร้างแบรนด์ มาเป็นอันดับต้นๆ